โซเดียมคืออะไร? โซเดียม เป็นธาตุอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ทั่วไปในอาหาร รวมถึงในเกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสต่าง ๆ โซเดียมมีประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยรักษาสมดุลของของเหลวภายในร่างกาย ช่วยควบคุมความดันเลือด ช่วยในกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ หากร่างกายขาดโซเดียมอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติอย่างคลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสมองบวม ในขณะที่การรับประทานโซเดียมมากเกินไปจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
[embed-health-tool-bmi]
โซเดียมคืออะไร ใช่เกลือหรือไม่
โซเดียมเป็นธาตุอาหารอย่างหนึ่ง พบได้ในอาหารหลาย ๆ ชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ชีส ไข่ รวมถึงอาหารแปรรูปอย่างขนมปัง พิซซ่า หมูหยอง ไส้กรอก
บ่อยครั้ง คำว่าโซเดียมกับเกลือมักถูกใช้แทนกัน จนหลายคนคิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โซเดียมไม่ใช่เกลือ แต่เป็นส่วนประกอบของเกลือ เช่นเดียวกับธาตุอาหารคลอไรด์ (Chloride) ทั้งนี้ เกลือประกอบด้วยโซเดียม 40 เปอร์เซ็นต์และคลอไรด์ 60 เปอร์เซ็นต์
โซเดียมคืออะไร สำคัญต่อร่างกายอย่างไร
โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีดังต่อไปนี้
- ช่วยรักษาสมดุลของปริมาณเลือดในระบบหมุนเวียนเลือด ระดับโซเดียมในร่างกายสัมพันธ์กับปริมาณของเลือด เมื่อโซเดียมสูงขึ้น ปริมาณเลือดจะสูงขึ้นตาม และหากโซเดียมสูงเกินไป ไตจะขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ เพื่อให้ปริมาณเลือดกลับสู่ระดับปกติ แต่หากโซเดียมและปริมาณเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (Aldosterone) ออกมาเพื่อทำให้ไตหยุดขับโซเดียมและไม่เกิดการขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ช่วยให้ปริมาณเลือดสูงขึ้นสู่ระดับปกติ
- ช่วยลดการขาดน้ำ โซเดียมช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ดังนั้น จึงช่วยป้องกันการขาดน้ำหลังใช้แรงงานหรือออกกำลังกายได้ ทั้งนี้ การบริโภคโซเดียม 400 มิลลิกรัม อาจช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำได้มากขึ้นประมาณ 2 แก้ว หรือ 240 มิลลิลิตร
- ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหดตัว การหดตัวของกล้ามเนื้อ เป็นการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อเมื่อออกกำลังกายหรือยกสิ่งของ โดยโซเดียมในร่างกายจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณผ่านไปยังเซลล์ประสาทเพื่อทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
ร่างกายควรได้รับโซเดียมมากแค่ไหน
เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2.4 กรัม/วัน หรือปริมาณเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา
ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีนั้น ควรบริโภคโซเดียมในปริมาณดังต่อไปนี้
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 0.8 กรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-6 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 1.2 กรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-10 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2 กรัม/วัน
จะเป็นอย่างไรเมื่อร่างกายขาดโซเดียม
การขาด โซเดียม หรือมีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) เป็นสาเหตุของอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดหัว สับสน มึนงง
- อ่อนล้า อ่อนเพลีย ง่วงนอน เมื่อยล้า
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว
- สมองบวม ซึ่งอาจนำไปสู่อาการโคม่าและเสียชีวิตได้
ปัจจุบัน ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำนั้นพบได้ไม่บ่อยนัก เพราะอาหารส่วนใหญ่ล้วนมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุมักเกิดภาวะโซเดียมต่ำ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถกักเก็บน้ำและโซเดียมได้ดีเท่ากับคนหนุ่มสาว
สำหรับปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้โซเดียมในเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ ได้แก่
- การอาเจียนหรือท้องร่วงเรื้อรังและรุนแรง
- การดื่มน้ำมากเกินไปจนร่างกายต้องขับปัสสาวะออกมามากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมหมวกไต
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากล่อมประสาท ยาแก้ปวด
- ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ ไต และตับ
- กลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม (Syndrome of Inappropriate Antidiuretic Hormone Secretion หรือ SIADH)
การบริโภค โซเดียม มากเกินไป ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร
หากบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก ปริมาณเลือดจะสูงขึ้น และส่งผลให้ความดันเลือดสูงขึ้นตาม และหากบริโภคโซเดียมในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ความดันเลือดก็จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจึงอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดโป่งพอง และโรคไตได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เรื่องการบริโภคโซเดียมและโรคความดันเลือดสูง เผยแพร่ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2562 ระบุว่า เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางและมีงานวิจัยหลายชิ้นรองรับว่าระดับโซเดียมนั้นมีผลต่อความดันเลือด หากร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมาก จะส่งผลให้ความดันเลือดสูง ซึ่งมักเพิ่มความเสี่ยงให้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้