ของอร่อย ใครๆ ก็ชอบ สำหรับบางคน แค่ได้กินของอร่อยๆ ก็ทำให้มีความสุขไปได้ทั้งวัน ยิ่งเป็นเมืองไทย ของอร่อยมีอยู่ได้ทุกที อยากเลือกทานอาหารสัญชาติไหน จะคาว หวาน หรือเครื่องดื่ม มีให้เลือกเต็มไปหมด
อย่างไรก็ตาม แม้ของกินเหล่านั้นจะรสชาติดีถูกปากมากแค่ไหน การกินในปริมาณที่เกินพอดี ก็ไม่ส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาวแต่อย่างใด พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมบวกกับพฤติกรรมเนือยนิ่ง อาจนำไปสู่การเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และอาจกลายมาเป็นโรคอ้วนในที่สุด
โดยโรคอ้วนอาจนำไปสู่โรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
รู้จัก “โรคเบาหวาน”
โรคเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้
- เบาหวานชนิดที่1 เกิดจากการขาดอินซูลิน
- เบาหวานชนิดที่2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน
จะเห็นได้ว่า ตัวแปรสำคัญของกระบวนการนี้ คือ “อินซูลิน” ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เปรียบเสมือนกุญแจในการนำน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย หากร่างกายขาดอินซูลินก็จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงตามไปด้วย โดยสำหรับประเทศไทย หากตรวจพบเกิน 2 ครั้งว่าเกณฑ์ตัวเลขระดับน้ำตาลอยู่ที่ 126 มก./ดล.1 ระดับ HbA1c (ค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือดโดยเฉลี่ย) มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% และผลตรวจความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test) ซึ่งตรวจวัดจากการเจาะเลือดหลังดื่มน้ำหวานกลูโคส 2 ชั่วโมง อยู่ที่ 200 มก./ดล. จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
โรคอ้วน นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างไร
จริงอยู่ที่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ แต่การเป็นโรคอ้วนจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ทั้งยังทำให้อาการเบาหวานแย่ลงอีกด้วย นั่นเพราะไขมันส่วนเกินที่เกาะช่องท้อง รวมถึงปริมาณไตรกลีเซอไรด์ในตับและกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อภาวะก่อนเบาหวาน และเบาหวานชนิดที่ 2
โดยสรุปแล้ว ไขมันส่วนเกินในร่างกายถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งความเสี่ยงนี้ก็จะเพิ่มขึ้นคู่ขนานไปตามค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคอ้วน คือการที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินเกาะอยู่ตามอวัยวะและเซลล์ภายในร่างกาย โดยปกติแล้ว ตับมีหน้าที่เก็บน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินเอาไว้ แต่ไขมันส่วนเกินที่เกาะตับ ทำให้เซลล์ตับดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ตับอ่อนจึงผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น เพื่อขับย้ายน้ำตาลออกจากเลือด แต่ยิ่งตับอ่อนทำงานหนักมากเท่าไร ก็ยิ่งเสื่อมสภาพลงไปเท่านั้น สุดท้ายจึงผลิตอินซูลินได้น้อยลง โรคเบาหวานจึงยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ2,3
ทุกคนที่เป็นโรคอ้วนจะเป็นโรคเบาหวานหรือไม่?
แม้เบาหวานชนิดที่ 2 อาจเกิดขึ้นกับคนที่มีน้ำหนักปกติได้เช่นกัน แต่การเป็นโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปถึง 6 เท่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้แปลว่าคนที่เป็นโรคอ้วนทุกคนจะต้องเป็นโรคเบาหวาน เพราะยังมีปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม อาหารการกิน การออกกำลังกาย ความเครียด รวมถึงสุขภาพลำไส้ อีกด้วย
[embed-health-tool-bmi]
น้ำหนักลด ความเสี่ยงโรคเบาหวานก็ลด
เมื่อความอ้วนสัมพันธ์กับอาการของโรคเบาหวาน เพราะฉะนั้น การลดน้ำหนักก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน รวมถึงอาการของโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน การลดน้ำหนักเพียงแค่ 5-10% สามารถช่วยให้อาการเบาหวานดีขึ้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
หลักสำคัญของการลดน้ำหนักคือการปรับพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต โดยอาการเลือกกินอาหาร low carb และออกกำลังกายให้บ่อยขึ้น บางคนอาจพิจารณาถึงแนวทางการรักษาทางเลือกที่อยู่ภายใต้การแนะนำของคุณหมอควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีกำลังใจและมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวทางรักษาที่ได้รับความนิยม คือการใช้ “ปากกาลดน้ำหนัก”
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการใช้ปากกาลดน้ำหนัก ที่มีฮอร์โมน 2 ชนิด คือ GIP (Glucose-Insulinotropic Polypeptide) และ GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) agonist ช่วยลดน้ำหนักของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินร่วมกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เฉลี่ยถึง 14.7% เมื่อใช้ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยผู้เข้าร่วมวิจัยมากถึง 1 ใน 3 สามารถลดน้ำหนักได้เกิน 20% นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมวิจัยเกินกว่าครึ่งยังมีระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงปกติได้อีกด้วย
หยุดเสี่ยงโรคเบาหวาน และโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วน เริ่มต้นได้ด้วยการควบคุมน้ำหนักและรักษาสุขภาพ ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นที่ตัวคุณ




















