การจูบ เป็นการแสดงออกถึงความรักรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยสานสัมพันธ์ให้คู่รักได้ใกล้ชิดและผูกพันธ์กันมากยิ่งขึ้น แต่จูบที่แสนหวานอาจต้องสะดุดลง เมื่อคุณเป็น โรคจูบ โดยไม่รู้ตัว ฟังดูแล้วอาจไม่น่าเชื่อ! แต่โรคนี้มีอยู่จริงค่ะ และมักเกิดขึ้นกับคู่รักหลายคู่ จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้คุณค่ะ
[embed-health-tool-heart-rate]
โรคจูบ (Kissing Disease) สัมผัสรักที่จำขึ้นใจ
โรคจูบ (Kissing Disease) คือ การติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epsterin Barr Virus : EBV) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการจูบ การสัมผัส สารคัดหลั่ง รวมถึงการใช้ของร่วมกัน โรคดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-30 ปี
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคจูบจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท โรคหัวใจ เชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจูบ ดังต่อไปนี้
- ประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-30 ปี
- นักเรียน นักศึกษา
- นักศึกษาแพทย์
- พยาบาล
- ผู้ดูแล หรือใกล้ชิดกับคนป่วย
- บุคคลที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
5 สัญญาณเตือนอาการของ ผู้ป่วยโรคจูบ
ผู้ป่วยโรคจูบ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไป โดยจะเริ่มมีอาการภายใน 4-7 สัปดาห์ ดังต่อไปนี้
- อาการไข้
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- เจ็บคอ
- ต่อมน้ำเหลืองบวม
- เจ็บกล้ามเนื้อ
- ความอยากอาหารลดลง
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- ผื่น
วิธีการรักษาโรคจูบ
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา ผู้ป่วยโรคจูบ เฉพาะทาง แพทย์อาจรักษาตามสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แพทย์อาจแนะนำยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เพื่อบรรเทาอาการบวมที่คอและต่อมทอมซิล (อาการมักจะหายไปเองใน 1-2 เดือน)
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที
การป้องกันและดูแลตนเองจากโรคจูบ
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาโรคดังกล่าวนี้ได้ แต่เราสามารถป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจูบนี้ได้ โดยมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ล้างมือเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน แก้วดื่มน้ำ ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ข้าวกล้อง ปลาแซลมอน แอปเปิลเขียว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ แนะนำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว/วัน