backup og meta

จูบที่แสนหวาน กับความรักที่ขมขื่น เมื่อคุณเป็น โรคจูบ โดยไม่รู้ตัว

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย จินดารัตน์ สิริวิจักษณ์ · แก้ไขล่าสุด 19/10/2022

    จูบที่แสนหวาน กับความรักที่ขมขื่น เมื่อคุณเป็น โรคจูบ โดยไม่รู้ตัว

    การจูบ เป็นการแสดงออกถึงความรักรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยสานสัมพันธ์ให้คู่รักได้ใกล้ชิดและผูกพันธ์กันมากยิ่งขึ้น แต่จูบที่แสนหวานอาจต้องสะดุดลง เมื่อคุณเป็น โรคจูบ โดยไม่รู้ตัว ฟังดูแล้วอาจไม่น่าเชื่อ! แต่โรคนี้มีอยู่จริงค่ะ และมักเกิดขึ้นกับคู่รักหลายคู่ จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้คุณค่ะ 

    โรคจูบ (Kissing Disease) สัมผัสรักที่จำขึ้นใจ

    โรคจูบ (Kissing Disease) คือ การติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epsterin Barr Virus : EBV) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการจูบ การสัมผัส สารคัดหลั่ง รวมถึงการใช้ของร่วมกัน โรคดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-30 ปี 

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคจูบจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท โรคหัวใจ เชื้อไวรัสตับอักเสบ  โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจูบ ดังต่อไปนี้

    • ประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-30 ปี 
    • นักเรียน นักศึกษา
    • นักศึกษาแพทย์
    • ยาบาล
    • ผู้ดูแล หรือใกล้ชิดกับคนป่วย
    • บุคคลที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน 

    5 สัญญาณเตือนอาการของ ผู้ป่วยโรคจูบ

    ผู้ป่วยโรคจูบ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไป โดยจะเริ่มมีอาการภายใน 4-7 สัปดาห์ ดังต่อไปนี้ 

    วิธีการรักษาโรคจูบ

    ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา ผู้ป่วยโรคจูบ เฉพาะทาง แพทย์อาจรักษาตามสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แพทย์อาจแนะนำยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เพื่อบรรเทาอาการบวมที่คอและต่อมทอมซิล (อาการมักจะหายไปเองใน 1-2 เดือน) 

    หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที 

    การป้องกันและดูแลตนเองจากโรคจูบ

    ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาโรคดังกล่าวนี้ได้ แต่เราสามารถป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจูบนี้ได้ โดยมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ 

    • ล้างมือเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
    • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน แก้วดื่มน้ำ ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 
    • พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ข้าวกล้อง ปลาแซลมอน แอปเปิลเขียว
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ แนะนำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว/วัน

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย จินดารัตน์ สิริวิจักษณ์ · แก้ไขล่าสุด 19/10/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา