ค่าเบาหวานปกติ หรือค่าน้ำตาลเป้าหมายของผู้ป่วยเบาหวาน โดยทั่วไปควรอยู่ระหว่าง 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตรหากตรวจก่อนรับประทานอาหาร และควรมีค่าไม่เกิน 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตรหากตรวจหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลสุขภาพให้ดี พยายามควบคุมรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้ระดับน้ำตาลสูงเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นตา ภาวะเบาหวานลงเท้า โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต การติดเชื้อแทรกซ้อน
[embed-health-tool-bmi]
ค่าเบาหวาน สามารถตรวจวัดได้อย่างไร
การตรวจวัดค่าเบาหวานหรือระดับน้ำตาลในเลือด อาจทำได้ดังนี้
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Sugar Test) เป็นการตรวจความเข้มข้นของระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหารข้ามคืนหรือประมาณ 8-12 ชั่วโมง
สามารถแปลผลค่าระดับน้ำตาลได้ ดังนี้
- ไม่เกิน 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
- 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
- 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน
การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล
การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (Oral glucose tolerance test) เป็นการทดสอบความทนทานของร่างกายต่อน้ำตาลกลูโคส โดยผู้ที่จะรับการทดสอบต้องอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วจะได้รับการเจาะเลือดครั้งที่ 1 เพื่อตรวจค่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร หลังจากนั้นให้ผู้รับการทดสอบดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม แล้วรอ 2 ชั่วโมง จึงเจาะเลือดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เพื่อตรวจค่าระดับน้ำตาล
ผลการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล สามารถแปลผลตามค่าระดับน้ำตาลที่เจาะเลือดครั้งที่ 2 (ระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคส) ได้ดังนี้
- ต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
- ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
- 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน
การทดสอบน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม
การทดสอบน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม (Random Blood Sugar Test) เป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือดในเวลาใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องอดอาหารก่อนเข้ารับการตรวจ หากมีค่าระดับน้ำตาลในเลือด 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน (แต่การตรวจวิธีนี้จะแม่นยำน้อยที่สุด)
การตรวจวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมหรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี
การตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี หรือการตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobin A1C หรือ HbA1c) เป็นการตรวจที่บ่งบอกถึงค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยการวัดเปอร์เซ็นต์ของฮีโมโกลบินที่จับกับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนสำคัญของเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย การตรวจน้ำตาลสะสม หรือ HbA1c ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยประเมินความสม่ำเสมอในการควบคุมโรคเบาหวานได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ
ผลการตรวจวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมหรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี สามารถแปลผลได้ดังนี้
- ต่ำกว่า 5.7% หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
- 5.7-6.4% หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน หรือ เสี่ยงต่อเป็นโรคเบาหวาน
- 6.5% ขึ้นไป หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน
ค่าเบาหวานปกติ อยู่ที่เท่าไหร่
โดยทั่วไป ค่าเบาหวานปกติ หรือค่าระดับน้ำตาลในเลือดเป้าหมายที่ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมให้ได้ มีดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหาร ควรอยู่ระหว่าง 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง ควรต่ำกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ทั้งนี้ ค่าระดับน้ำตาลเป้าหมายของผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอายุ ภาวะสุขภาพ โรคร่วม หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคุณหมอจะช่วยกำหนดค่าเบาหวานปกติหรือระดับน้ำตาลเป้าหมายให้เหมาะสมกับสุขภาพของผู้ป่วยมากที่สุด
เบาหวานขึ้นเท่าไหร่อันตราย
หากผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายได้ ซึ่งอาจมาจากยังไม่สามารถปรับพฤติกรรมสุขภาพได้ดีนัก เช่น รับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นประจำ รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ร่วมกับในผู้ป่วยบางราย หรือแม้จะควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี แต่หากมีปัจจัยทางสุขภาพบางอย่างมากระตุ้น เช่น การเจ็บป่วยแทรกซ้อน ความเครียด การรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ก็อาจทำให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ได้ โดยทั่วไปแม้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง แต่หากไม่สูงมากนักหรืออยู่ในระยะเริ่มต้นก็มักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ให้สังเกตได้ อย่างไรก็ตาม หากร่างกายมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน อาจทำให้มีอาการผิดปกติ ดังนี้
- ถ่ายปัสสาวะบ่อย
- หิวบ่อย กระหายน้ำมากขึ้น
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- สายตาพร่ามัว
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่หากมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไปเป็นเวลานานโดยไม่รับการรักษาที่เหมาะสมหรือไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร อาจนำไปสู่ภาวะฉุกเฉินอันตรายอย่างภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis หรือ DKA) เกิดจากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง แต่ไม่สามารถนำน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงานได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนมาสลายไขมันไปใช้เป็นพลังงานแทน โดยกระบวนการเผาผลาญไขมันนี้จะทำให้เกิดสารคีโตน (Ketones) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อหากมีคีโตนในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดตามมา
อาการของภาวะเลือดเป็นกรด อาจมีดังนี้
- ลมหายใจมีกลิ่นเปรี้ยวคล้ายผลไม้หมัก
- ปากแห้ง คอแห้ง
- ปวดท้อง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจติดขัด หายใจหอบ
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
ภาวะแทรกซ้อนเบาหวานควบคุมไม่ดี
ภาวะแทรกซ้อนเมื่อปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้องรัง อาจมีดังนี้
- โรคไต หรือภาวะไตวาย
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจขาดเลือด
- ภาวะสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอด
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- โรคเส้นประสาทจากเบาหวาน ทำให้เส้นประสาทส่วนปลายเสียหาย จนมีอาการชาที่ปลายมือปลายเท้า หรือบางรายมีอาการปวดแสบร้อน หรือเจ็บปวดแม้สัมผัสเบา ๆ
- ภาวะเลือดไหลเวียนบริเวณขาและเท้าน้อยลง เนื่องจากหลอดเลือดส่วนปลายเสื่อม
- แผลหายช้าลง
- ความเสี่ยงในการถูกตัดอวัยวะ เช่น นิ้วเท้า นิ้วมือเท้า ขา หากมีแผลติดเชื้อลุกลาม หรือมีแผลเนื้อตายเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง