ไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis) หมายถึง การที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนจนมีปริมาณมากเกินไป ซึ่งมักส่งผลให้มีอาการหัวใจเต้นเร็ว น้ำหนักลดลง หรือรู้สึกร้อนกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ไทรอยด์เป็นพิษรักษาให้หายได้จากการรับประทานยาและการผ่าตัด
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
ไทรอยด์เป็นพิษคืออะไร
ไทรอยด์เป็นพิษหมายถึงภาวะที่ร่างกายมีฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์มากเกินไป ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพหรือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา จนก่อให้เกิดอาการป่วยต่าง ๆ ตามมา
ทั้งนี้ ภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) หรือการที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากผิดปกติ จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งมักพบในเพศหญิงประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ และพบในเพศชายประมาณ 0.2 เปอร์เซ็นต์
อาการ
อาการ ไทรอยด์เป็นพิษ
อาการที่พบได้ เมื่อมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ มีดังนี้
อาการในระดับเบาหรือปานกลาง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หัวใจเต้นเร็ว มักเกิน 100 ครั้ง/นาที
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ตัวสั่น
- ประหม่า วิตกกังวล ขี้หงุดหงิด
- รู้สึกร้อนกว่าปกติ เหงื่อออก
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
อาการในระดับรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็วมาก
- ไข้สูง
- รู้สึกมึนงง ปั่นป่วน
- ท้องร่วง
- หมดสติ
สาเหตุ
สาเหตุของ ไทรอยด์เป็นพิษ
ไทรอยด์เป็นพิษมักเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- โรคเกรฟส์ (Graves’ Disease) เป็นโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากกว่าปกติ หรือมีภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
- ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ เมื่อมีก้อนบวมที่ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอาจมีทั้งแบบก้อนเดียวหรือหลายก้อน จะส่งผลให้ต่อมไทรอยด์จะผลิตฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ
- ต่อมไทรอยด์อักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิด รวมถึงโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง ซึ่งส่งผลให้ต่อมไทรอยด์บวมและผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินไป
- การรับประทานยาไทรอยด์หรือฮอร์โมนไทรอยด์สังเคราะห์มากเกินไป มักเกิดกับผู้ที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้น้อยเกินไป ซึ่งต้องบริโภคยาไทรอยด์อยู่เสมอ
เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ
ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษควรไปพบคุณหมอ หากน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากไทรอยด์เป็นพิษ
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไทรอยด์เป็นพิษ
โดยทั่วไป คุณหมอจะวินิจฉัยไทรอยด์เป็นพิษ ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- ตรวจร่างกาย อย่างการฟังอัตราการเต้นของหัวใจด้วยหูฟังทางการแพทย์ การสัมผัสมือว่าสั่นหรือไม่ รวมถึงการตรวจดูต่อมไทรอยด์ว่ามีลักษณะบวมหรือไม่
- ตรวจเลือด หรือการเจาะเลือด เพื่อนำตัวอย่างเลือดไปตรวจดูว่ามีฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์สูงเกินเกณฑ์หรือไม่
- ตรวจการดูดซึมไอโอดีนกัมมันตภาพรังสี เป็นการให้รับประทานไอโอดีนกัมมันตภาพรังสี แล้วใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า แกมมา โพรบ (Gamma Probe) ตรวจการดูดซึมไอโอดีนกัมมันตภาพรังสีของต่อมไทรอยด์ หากต่อมไทรอยด์ดูดซึมไอโอดีนกัมมันตภาพรังสีในปริมาณมาก จะหมายความว่า ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากกว่าปกติ
- ไทรอยด์ สแกน เป็นการให้ดื่มเครื่องดื่มกัมมันตภาพรังสี แล้วใช้กล้องทางการแพทย์ถ่ายภาพบริเวณต่อมไทรอยด์ เพื่อตรวจดูว่าต่อมไทรอยด์มีก้อนบวม อักเสบ หรือกำลังเป็นมะเร็งหรือไม่
- อัลตราซาวด์ เป็นการตรวจหาก้อนบวมบริเวณต่อมไทรอยด์ ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง
การรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
ไทรอยด์เป็นพิษ อาจรักษาได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การให้ยาต้านไทรอยด์ เช่น เมไทมาโซล (Methimazole) โพรพิลไทโอยูราซิล (Propylthiouracil หรือ PTU) เพื่อทำให้ต่อมไทรอยด์ของผู้ป่วยผลิตฮอร์โมนน้อยลง
- การให้ไอโอดีนกัมมันตภาพรังสี เพื่อทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ แล้วทำให้ต่อมไทรอยด์มีขนาดเล็กลงและผลิตฮอร์โมนได้น้อยลง
- การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือการนำต่อมไทรอยด์บางส่วนหรือทั้งหมดออกจากร่างกาย วิธีการรักษาแบบนี้จะทำให้ต่อมไทรอย์ผลิตฮอร์โมนได้น้อยลงจนต่ำกว่าระดับที่ร่างกายต้องการ และทำให้ต้องรับฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนตลอดชีวิต
- เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blockers) เป็นยาซึ่งลดการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ทำให้อาการไทรอยด์เป็นพิษทุเลาลง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
ไทรอยด์เป็นพิษไม่สามารถป้องกันได้ ยกเว้นในกรณีที่เกิดจากการกินยาไทรอยด์เกินขนาด ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการกินยาตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด