ทานตะวัน เป็นไม้ดอกที่มีดอกสีเหลืองสดใสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย นอกจากจะนำดอกไปประดับตกแต่งแล้ว ยังนิยมรับประทานเมล็ดทานตะวันเป็นของว่างเพื่อสุขภาพ และนำเมล็ดทานตะวันมาสกัดน้ำมันไปประกอบอาหารและทาบำรุงผิว เนื่องจากมีโปรตีนสูง อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถนำต้นอ่อนทานตะวันมาประกอบอาหารได้ด้วย การบริโภคทานตะวันในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยในการลดระดับความดันโลหิต อาจควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และอาจช่วยลดการอักเสบได้
คุณค่าทางโภชนาการของ ทานตะวัน
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture หรือ USDA) ระบุว่า เมล็ดทานตะวัน 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 584 กิโลแคลอรี่ และอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุ เช่น
- ไขมัน 51.5 กรัม
- โปรตีน 20.8 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 20 กรัม
- ฟอสฟอรัส 660 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 645 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 325 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 78 มิลลิกรัม
- โซเดียม 9 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ ในเมล็ดทานตะวันยังมีสังกะสี ทองแดง วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินอี โคลีน (Choline) เบทาอีน (Betaine) มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณสูงและมีโซเดียมต่ำ
ประโยชน์ต่อสุขภาพของ ทานตะวัน
อาจช่วยลดระดับความดันโลหิต
เมล็ดทานตะวันอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดลิโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งจะผลิตสารคล้ายฮอร์โมนที่ช่วยคลายหลอดเลือด ช่วยลดระดับความดันโลหิตในช่วงหัวใจบีบตัว (Systolic blood pressure หรือ SBP) และอาจช่วยระดับคอเลสเตอรอลได้ด้วย
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร International scholarly research notices เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคอัลมอนด์หรือเมล็ดทานตะวันทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 22 คนรับประทานอัลมอนด์และเมล็ดทานตะวันในปริมาณ 30 กรัม/วัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ร่วมกับการรับประทานอาหารแบบสมดุล พบว่า การรับประทานเมล็ดทานตะวันช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทั้งยังสามารถลดความดันช่วงหัวใจบีบตัวได้ 5% ลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ได้ 9% และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ 12% จึงอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
อาจช่วยลดการอักเสบ
ทานตะวันอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอยด์ เลซิทิน (Lecithin) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติยับยั้งอาการอักเสบ จึงอาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Epidemiology เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคถั่วและเมล็ดพืชกับการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวน 2,000 ฉบับ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอายุระหว่าง 45-68 ปี รวม 6,080 คน พบว่า ผู้ที่รับประทานถั่วและเมล็ดพืช รวมถึงเมล็ดทานตะวันเป็นประจำ สามารถลดปริมาณสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ เช่น โปรตีนซีรีแอคทีฟ (C-reactive) อินเตอร์ลิวคิน-6 (Interleukin-6) ไฟบริโนเจน (Fibrinogen) ได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงอาจเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน แต่ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
ข้อควรระวังในการบริโภค ทานตะวัน
ข้อควรระวังในการบริโภคทานตะวัน อาจมีดังนี้
- แม้เมล็ดทานตะวันจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่ก็มีแคลอรี่สูง จึงควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะ
- บางคนอาจมีอาการแพ้เกสรและเมล็ดทานตะวัน ผู้ที่เคยมีอาการแพ้หรือสงสัยว่าจะแพ้ทานตะวัน จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือบริโภคทานตะวัน เพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ลมพิษ คันปากและผิวหนัง ริมฝีปากบวม
- น้ำมันดอกทานตะวันบางชนิดที่มีปริมาณกรดโอเลอิคต่ำ มักมีปริมาณกรดไลโนเลอิกหรือโอเมก้า 6 สูง กรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะอาจไปลดปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จนอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้
- การแปรรูปเมล็ดทานตะวันมักนำไปอบเกลือ หากบริโภคอาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมสูงเกินไป อาจเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพหัวใจและไตได้ จึงควรบริโภคเมล็ดทานตะวันแปรรูปในปริมาณพอเหมาะหรือเลือกบริโภคเมล็ดทานตะวันไม่ปรุงรส เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายรับโซเดียมเกินขนาด
[embed-health-tool-bmr]