backup og meta

หัวหอม ประโยชน์ต่อสุชภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

หัวหอม ประโยชน์ต่อสุชภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

หัวหอม เป็นพืชตระกูลเดียวกับกระเทียม หอมแดง ได้รับความนิยมและปลูกกันทั่วโลกเพราะสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งต้ม ผัด ทอด หรือบริโภคสดในเมนูสลัดผัก หัวหอมอุดมไปด้วยสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบี และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคหัวใจและอาจช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

[embed-health-tool-bmi]

คุณค่าทางโภชนาการของ หัวหอม

หัวหอมสด 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 38 กิโลแคลอรี่ และประกอบไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้

  • คาร์โบไฮเดรต 8.61 กรัม
  • โปรตีน 0.83 กรัม
  • ไขมัน 0.05 กรัม
  • โพแทสเซียม 182 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 15 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 8.2 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 1 มิลลิกรัม

นอกจากนี้ หัวหอม ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นสารประกอบ เช่น สังกะสี ทองแดง แมงกานีส เหล็ก ไอโอดีน และซีลีเนียม (Selenium) ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงสุขภาพ

ประโยชน์ของหัวหอมต่อสุขภาพ

หัวหอมมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณสมบัติบำรุงสุขภาพของหัวหอม ดังนี้

1.อาจช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

การบริโภคหัวหอม อาจช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากหัวหอมมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidation) และช่วยกระตุ้นการเพิ่มของเซลล์สร้างเนื้อกระดูก

นอกจากนั้น หัวหอมยังอุดมไปด้วยซัลเฟอร์ (Sulfur) ซึ่งมีคุณสมบัติในการยึดติดเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นเอ็นต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อกระดูกเพราะช่วยยึดกระดูกและกล้ามเนื้อ ลดการสูญเสียมวลกระดูกซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและเสริมสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูก

งานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคหัวหอม และความหนาแน่นของกระดูก ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนอายุ 50 ปีหรือมากกว่า ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Menopause ปี พ.ศ. 2552

นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มบริโภคหัวหอมในความถี่แตกต่างกัน เช่น เดือนละครั้ง 1 ครั้ง เดือนละ 2 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง สัปดาห์ละ 3-6 ครั้ง หรือวันละ 1 ครั้ง

จากการทดลองและทำแบบสอบถาม นักวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานหัวหอมวันละ 1 ครั้งหรือมากกว่านั้น มีความหนาแน่นของกระดูกโดยรวม มากกว่ากลุ่มที่บริโภคเดือนละ 1 ครั้งหรือน้อยกว่า ราว  5 เปอร์เซ็นต์ สรุปได้ว่า การบริโภคหัวหอมส่งผลดีต่อความหนาแน่นของมวลกระดูกในผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนและวัยหลังหมดประจำเดือน นอกจากนั้น ผู้หญิงที่บริโภคหัวหอมบ่อยที่สุดมีความเสี่ยงต่อการปวดสะโพกลดลงมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบกับผู้ที่ไม่บริโภคหัวหอมเลย

2.อาจช่วยต้านมะเร็งได้

หัวหอม จัดอยู่ในพืชตระกูลกระเทียม ซึ่งพืชตระกูลนี้ มีสารประกอบออร์กาโนซัลเฟอร์ (Organosulfur Compounds) มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ ต้านอนุมูลอิสระและการเติบโตของเนื้องอก การบริโภคหัวหอม จึงอาจช่วยต้านมะเร็งได้

ผลการศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับคุณสมบัติของผักตระกูลกระเทียม ในการป้องกันโรคมะเร็ง เผยแพร่ในวารสาร Asian Pacific Journal of Cancer Prevention ปี พ.ศ. 2547 ระบุว่า การบริโภคพืชตระกูลกระเทียม เช่น หอมแดง หัวหอม กระเทียมต้น อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ เนื่องจากคุณสมบัติของสารประกอบออร์กาโนซัลเฟอร์

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังระบุว่า ควรมีการทดสอบเพิ่มเติม เพื่อหาหลักฐานที่แสดงความเป็นเหตุผลเป็นผลของคุณสมบัติต้านมะเร็งของพืชตระกูลกระเทียมต่อไป

3.อาจช่วยลดระดับไขมันไม่ดี

หัวหอม มีสารเควอซิทิน (Quercetin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดระดับไขมันในเลือด ต้านการอักเสบ ดังนั้น การบริโภคหัวหอม อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันความหนาแน่นต่ำ (Low-Density Lipoprotein) หรือไขมันเลว

ในบทความของงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการทดลองเกี่ยวกับคุณสมบัติของหัวหอมสีแดง ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Obstetrics and Gynaecology Research ปี พ.ศ. 2557

นักวิจัยให้กลุ่มอาสาสมัครเพศหญิงซึ่งป่วยด้วยโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ สุ่มรับประทานหัวหอมสีแดง ในปริมาณแตกต่างกันไปตามน้ำหนักตัว ระหว่าง 20-90 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ แล้วตรวจวัดผลค่าต่าง ๆ ในร่างกาย พบว่า กลุ่มอาสาสมัครมีค่าดัชนีมวลกายลดลง รวมทั้งระดับการเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลลดลง โดยกลุ่มที่รับประทานหัวหอมปริมาณมาก จะเห็นผลชัดเจนกว่ากลุ่มที่บริโภคหัวหอมปริมาณน้อย จึงสรุปได้ว่า

การบริโภคหัวหอมแดง อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันความหนาแน่นต่ำในผู้หญิงซึ่งป่วยด้วยโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหัวหอมในการลดระดับไขมันเลว

4.อาจช่วยรักษาโรคเบาหวาน

หัวหอม มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด บำรุงสุขภาพ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง การบริโภคหัวหอมจึงอาจช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ในผู้ป่วยเบาหวานได้

จากบทความวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของหัวหอมต่อผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 เผยแพร่ในวารสาร Environmental Health Insights ปี พ.ศ. 2553 โดยนักวิจัยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 บริโภคหัวหอม 100 กรัม แล้วหลังจากนั้น 4 ชั่วโมงจึงวัดผลระดับน้ำตาลในเลือด พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง89 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในขณะที่ การบริโภคฮอร์โมนอินซูลินทดแทน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ราว 145 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 40  มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในขณะที่การใช้ยาต้านเบาหวานไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ราว 81 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

จึงสรุปได้ว่า หัวหอมอาจมีประสิทธิภาพในการต้านเบาหวาน และอาจเหมาะสมที่จะใช้เป็นอาหารในการบริโภคสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ข้อควรระวังในการบริโภคหัวหอม

แม้ว่าหัวหอมจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการบริโภคหัวหอมในปริมาณมากจนเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ดังต่อไปนี้

  • ลมหายใจเหม็น
  • กลิ่นตัวแรงขึ้น
  • แสบร้อนกลางอก
  • ท้องอืด
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน

ในของกรณีของผู้แพ้หัวหอม การบริโภคหรือสัมผัสหัวหอม อาจเป็นสาเหตุของอาการคัน น้ำตาไหล หรือผื่นขึ้นตามลำตัว

ทั้งนี้ หัวหอมสามารถบริโภคขณะตั้งครรภ์ได้ แต่ควรบริโภคในปริมาณจำกัด และบริโภคผักและผลไม้ให้หลากหลาย เพราะปัจจุบันยังไม่มีผลการศึกษาที่ระบุว่าการบริโภคหัวหอมเพื่อใช้บำรุงร่างกายในสตรีมีครรภ์นั้นปลอดภัย

นอกจากนี้ การบริโภคหัวหอม อาจมีผลข้างเคียง เมื่อบริโภคร่วมกับยาบางชนิด เช่น

  • ยาต้านเบาหวาน เนื่องจากหัวหอมอาจช่วยลดน้ำตาลในเลือด และยาต้านเบาหวานมีสรรพคุณเดียวกัน ดังนั้น การบริโภคหัวหอมร่วมกับยาต้านเบาหวานอาจทำให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำเกินไป
  • ยาชะลอการแข็งตัวของเลือด หัวหอมอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง เมื่อรับประทานคู่กับยาชะลอการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงมีภาวะเลือดออกผิดปกติได้
  • ยาอื่น ๆ หัวหอมอาจทำให้ตับย่อยสลายตัวยาช้าลง การบริโภคหัวหอมร่วมกับยาบางชนิด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) ยาคลอร์ซอกซาโซน (Chlorzoxazone) ทีโอฟิลลีน (Theophylline) จึงอาจทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากตัวยาหรือผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่าปกติ ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาโรค จึงควรปรึกษาคุณหมอก่อนบริโภคหัวหอม

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Onions, yellow, raw. https://fdc.nal.usda.gov/fdc-app.html#/food-details/790646/nutrients. Accessed May 12, 2022

Preliminary Study of the Clinical Hypoglycemic Effects of Allium cepa (Red Onion) in Type 1 and Type 2 Diabetic Patients. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2978938/. Accessed May 12, 2022

Allium vegetables in cancer prevention: an overview. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15373701/. Accessed May 12, 2022

The association between onion consumption and bone density in perimenopausal and postmenopausal non-Hispanic white women 50 years and older. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19240657/. Accessed May 12, 2022

Onion – Uses, Side Effects, and More. https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-643/onion. Accessed May 12, 2022

Effects of raw red onion consumption on metabolic features in overweight or obese women with polycystic ovary syndrome: a randomized controlled clinical trial. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24612081/. Accessed May 12, 2022

เวอร์ชันปัจจุบัน

27/05/2022

เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet

อัปเดตโดย: Duangkamon Junnet


บทความที่เกี่ยวข้อง

ผักกาดขาว สารอาหารและข้อควรระวังในการบริโภคต่อสุขภาพ

อาหารที่ย่อยง่าย มีอะไรบ้าง ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ


ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 27/05/2022

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา