การรับประทานอาหาร มีความสำคัญอย่างมากกับสุขภาพหัวใจ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระดับความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ หรือหากเป็นโรคหัวใจอยู่ ก็อาจส่งผลให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น ดังนั้น จึงควรศึกษาเกี่ยวกับอาหารโรคหัวใจ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่ควรรับประทานและอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อช่วยรักษาสุขภาพหัวใจ และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
[embed-health-tool-bmr]
อาหารโรคหัวใจที่ควรรับประทาน
อาหารโรคหัวใจที่ควรรับประทาน มีดังนี้
-
ผักและผลไม้
ผักและผลไม้เป็นแหล่งรวมวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร อีกทั้งยังมีแคลอรี่ต่ำ จึงอาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ จากการศึกษาในวารสาร Annals of Internal Medicine ปี พ.ศ. 2544 ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของผักและผลไม้ในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยติดตามผลสุขภาพในผู้หญิง 84,251 คน อายุระหว่าง 34-59 ปี เป็นเวลา 14 ปี และผู้ชาย 42,148 คน อายุระหว่าง 40-57 ปี เป็นเวลา 8 ปี พบว่า ผู้ที่รับประทานผักและผลไม้ 1 เสิร์ฟ/วัน อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลง 4 % โดยเฉพาะการรับประทานผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี่ กะหล่ำ คะน้า
-
ธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งของใยอาหารและสารอาหาร ที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เช่น แมกนีเซียม (Magnesium) ไนอาซิน (Niacin) ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินเอ ที่อาจมีส่วนช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตที่มีผลต่อสุขภาพหัวใจ โดยควรเลือกรับประทานธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น แป้งโฮลวีต ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต คีนัว พาสต้าโฮลเกรน และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานธัญพืชที่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว โดนัท ขนมเค้ก ป๊อปคอร์น
จากการศึกษาในวารสาร The BMJ ปี พ.ศ. 2559 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานธัญพืชไม่ขัดสีและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ โดยทบทวนการศึกษาจำนวน 45 ชิ้นพบว่า การรับประทานธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ในปริมาณ 90 กรัม/วัน อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ โรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วย
-
อาหารที่มีไขมันต่ำและมีโปรตีนสูง
การรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ และมีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน สัตว์ปีก ปลาแซลมอน พืชตระกูลถั่ว ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ อาจช่วยลดปริมาณของไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้
จากการศึกษาในวารสาร Current Developments in Nutrition (CDN) ปี พ.ศ. 2563 ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในสตรีที่มีภาวะสุขภาพปกติ โดยให้ลดการรับประทานไขมัน และเพิ่มการรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดยเฉพาะโปรตีนที่มีไขมันต่ำจากพืช พบว่า อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตีบ
-
ไขมันดี
การรับประทานไขมันดีหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า อะโวคาโด ถั่ว อาจช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ที่อาจนำไปสู่อาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้
จากการทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Atherosclerosis ปี พ.ศ. 2545 เกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Arteriosclerosis) พบว่า การรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือด
อาหารโรคหัวใจที่ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหัวใจ คืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ น้ำตาล และโซเดียมปริมาณมาก ที่อาจเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดชนิดไม่ดี (LDL) และอาจเพิ่มระดับความดันโลหิต ที่ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง
ตัวอย่างอาหารเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้
- เนื้อสัตว์ที่ติดมัน
- อาหารแปรรูป
- อาหารทอด
- คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวขาว แป้ง
- ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ขนมขบเคี้ยว
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ มีดังต่อไปนี้
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แขนขาบวม เจ็บหน้าอก วิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก หายใจถี่ อาหารไม่ย่อย อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ และควรเข้าพบคุณหมอทันทีที่มีอาการ
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามที่คุณหมอแนะนำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ผัก และผลไม้ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป ของทอด รวมถึงอาหารที่มีน้ำตาล เกลือ ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์สูง
- ออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรืออาจมีการเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อยในระหว่างวัน เช่น การทำความสะอาดบ้าน ขึ้นลงบันได พาสุนัขเดินเล่น ก็ถือเป็นการออกกำลังกายอีกรูปแบบหนึ่งที่ให้ประโยชน์โดยไม่จำเป็นต้องฝืนออกกำลังกายอย่างหนัก
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ โดยอาจวัดจากดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่ควรเกิน 25 หรืออาจวัดจากรอบเอว สำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 40 นิ้ว และผู้หญิงไม่ควรเกิน 35 นิ้ว
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการนอนพักผ่อน ออกกำลงกาย หรือหากิจกรรมอื่น ๆ ที่ชอบทำ ยกเว้นการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารปริมาณมาก เพราะอาจเพิ่มคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ที่อาจทำลายหลอดเลือดหัวใจ
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจคัดกรองโรคหัวใจ โดยคุณหมออาจตรวจระดับความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล และตรวจหาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อดูความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด