ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ปัญหาสุขภาพจิตนั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น เช่น การจัดการกับความโกรธ เทคนิครับมือกับความเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคกลัวต่าง ๆ หาคำตอบได้ที่นี่เลย!

เรื่องเด่นประจำหมวด

ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

เช็กอาการ PTSD หลังแผ่นดินไหว และวิธีการรับมือ

แผ่นดินไหว คือภัยพิบัติทางธรรมชาติจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน โดยเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของชั้นหินและดิน ซึ่งอาจมีตั้งแต่การสั่นสะเทือนระดับเบาไปจนถึงรุนแรง และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ถนนหรือตึก และอาจส่งผลให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเกิดความวิตกกังวลหรือภาวะ PTSD ได้หลังจากนั้น [embed-health-tool-bmi] PTSD ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว PTSD (Post-traumatic stress disorder) คือ ความผิดปกติของสภาพจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์รุนแรง ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจทั้งทางตรงและทางอ้อม  โดยปกติแล้ว คนที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงอาจจะปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ในช่วงสั้น ๆ ได้ยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการก็มักจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงไม่ดีขึ้นแม้เวลาจะผ่านไป และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็จะถือว่าคนนั้นมีอาการ PTSD ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหว 7.7 ริกเตอร์ที่เมียนมาร์ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปจนถึงประเทศโดยรอบ รวมไปถึงประเทศไทย จนทำให้เกิดเหตุการณ์ตึกถล่ม ซึ่งส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ คนใกล้เคียง หรือแม้แต่ผู้ที่ได้รับรู้ผ่านทางข่าวจากช่องทางต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีโอกาสเกิด PTSD จากเหตุการณ์นี้ได้ทั้งสิ้น  การเข้ารับการรักษาหลังจากมีอาการ PTSD เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถรับมือและจัดการกับสภาพจิตใจให้ดียิ่งขึ้นได้ อาการ PTSD อาการ PTSD มักจะปรากฏภายในช่วง 3 เดือนแรกหลังจากเหตุการณ์รุนแรง แต่บางคนอาจมีอาการหลังจากนั้นหลายปีก็ได้เช่นกัน  อาการของ PTSD ที่พบได้ มีดังนี้ มองเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำ ๆ […]

สำรวจ ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคกลัวการถูกสัมผัส รักษาอย่างไร เพื่อให้เข้าสังคมได้ง่ายขึ้น

ส่วนมาก โรคกลัวการถูกสัมผัส เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในผู้หญิง มากกว่าเพศอื่นๆ เมื่อจำเป็นที่คุณต้องออกไปทำธุระด้านนอก พบเจอผู้คนที่เสี่ยงต่อการถูกเนื้อต้องตัว ทำให้มีความรู้สึกหวาดกลัว จนจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่เพียง ลำพังเข้าสังคมได้ยาก ไม่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับคนหมู่มากได้ เช่น ไปปาร์ตี้ หรือแฮงค์เอ้าท์ รวมทั้งทำงานร่วมกับบุคคลอื่นๆ ได้ค่อนข้างลำบาก  วันนี้ Hello คุณหมอ มีแนวทางการรักษา เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตประจำวันกันได้อย่างมีความสุขขึ้น โรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia) คืออะไร เป็นโรคเกี่ยวกับความวิตกกังวลที่มีลักษณะกลัวการถูกสัมผัสร่างกาย โดยเฉพาะกับเพศตรงข้าม หรือคนแปลกหน้าที่ตัวผู้ป่วยไม่ได้รับการยินยอม ทำให้เกิดความไม่สบายใจเมื่อต้องอยู่ในที่คนพลุกพล่าน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์สะเทือนจิตใจตั้งแต่เยาว์วัย หรือช่วงวัยกลางคน เช่น ถูกละเมิดทางเพศ การใช้ความรุนแรง (ทำร้ายร่างกาย) อาการที่เกิดขึ้นเมื่อคุณโดนสัมผัสร่างกาย รู้สึกกลัว วิตกกังวล และอารมณ์โกรธทันที เมื่อถูกการสัมผัส เมื่อถูกสัมผัสร่างกาย จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจถี่ขึ้น เหงื่อออก ร่างกายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เป็นลม หมดสติกะทันหัน อาการข้างต้นนี้สามารถส่งผลให้คุณก่อเกิดโรคความกลัวอื่นๆ อีกดังนี้ ความกลัวเชื้อโรค (mysophobia) : เป็นโรคความกลัวที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งปนเปื้อน หรือการสัมผัสกับสิ่งที่ไม่สะอาด เช่น ฝุ่นละอองบนโต๊ะ ความกลัวฝูงชน (ochlophobia) : คือภาวะที่ผู้ที่ป่วยมีความกลัวสังคม หรือฝูงชนเยอะๆ ในที่สาธารณะ เพราะจะทำให้เกิดความกังวล หวาดกลัวต่อการโดนสัมผัสจากผู้คนแปลกหน้า หากคุณอยู่กับภาวะนี้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้คุณเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในอนาคต ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพทางด้านจิตใจอย่างมากเลยทีเดียว วิธีรักษาให้อาการบรรเทาลง […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ชอบดึงผมบ่อย ๆ รู้ไหมว่าเป็นอาการทางจิต ของ โรคดึงผม

ใครมีพฤติกรรม ชอบดึงผม บ้าง รู้หรือไม่ว่า เมื่อทำแบบนี้ไปนานๆจะทำให้หัวล้าน ผมแหว่ง และเกิดอาการอักเสบของหนังศีรษะ จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน  หากคุณมีพฤติกรรมชอบดึงผมตัวเองบ่อยๆแล้วนั้น แสดงว่าคุณอาจเสี่ยงเป็น โรคดึงผม โดยไม่รู้ตัว วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปรู้จักโรคนี้กัน โรคดึงผม (Trichotillomania) คืออะไร โรคดึงผม (Trichotillomania) เป็นโรคที่เกิดจากภาวะผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง จนกลายมาเป็นอาการย้ำคิดย้ำทำที่แสดงออกโดยการดึงขนต่างๆบนร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ก็จะมีอาการเป็นๆ หายๆ และเรื้อรัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมากในช่วงที่มีความเครียด ความเศร้า วิตกกังวล หรือช่วงมีประจำเดือน ชอบดึงผมตัวเองบ่อยๆ สาเหตุเกิดจากอะไรกันนะ ความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงระหว่างส่วนควบคุมอารมณ์ ได้แก่ การเคลื่อนไหว ความเคยชิน และการยับยั้งชั่งใจ ความผิดปกติทางอารมณ์และจิตใจ เช่น ความเครียด วิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ เป็นต้น ความไม่พึงพอใจในภาพลักษณ์ของตนเอง และไม่มีความมั่นใจ พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยมีพฤติกรรมดังกล่าว อาจส่งผลมาถึงลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไป  สัญญาณเตือนว่าคุณเสี่ยงเป็นโรคดึงผม ดึงผมตนเองโดยรู้ตัว เมื่อดึงผมแล้วจะทำให้รู้สึกดีขึ้นและผ่อนคลายขึ้น ดึงผมตนเองโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่จะเกิดในตอนทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง เป็นต้น มีความวิตกกังวลประเภทย้ำคิดย้ำทำ หรือเป็นโรคซึมเศร้าก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคดึงผม สมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคดึงผม โรคเครียด หรือโรคที่มีพฤติกรรมการกินผิดปกติ เช่น โรคกลัวอ้วน […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

รู้ไว้ มลภาวะทางเสียง อาจเพิ่มความเสี่ยง โรคซึมเศร้า ไม่รู้ตัว

เสียงรบกวนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงก่อสร้างที่ดังรบกวนในเช้าวันหยุดขณะที่คุณกำลังนอนหลับ หรือเสียงพูดคุยจอแจในเวลาที่คุณกำลังต้องการสมาธิ มลภาวะทางเสียงเหล่านี้แม้ว่าจะสร้างความรำคาญให้คุณ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ให้เป็นอันตรายอะไรจนต้องระมัดวัง แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า มลภาวะทางเสียง นั้นอาจทำให้เรากลายเป็นโรคซึมเศร้าได้โดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างไรจึงจะเรียกว่า มลภาวะทางเสียง มลภาวะทางเสียงโดยทั่วไปแล้ว จะหมายถึงระดับเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ให้ข้อมูลว่า ระดับเสียงที่ต่ำกว่า 70 เดซิเบล นั้นจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ และระดับเสียงที่มากกว่า 85 เดซิเบลขึ้นไป หากฟังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง อาจจะเป็นอันตรายได้ หากคุณต้องทำงานนานกว่า 8 ชั่วโมง ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับสถานที่ที่มีเสียงรบกวน เช่น ติดถนน หรือติดกับไซต์ก่อสร้าง ก็อาจทำให้คุณได้รับอันตรายจากมลภาวะทางเสียงได้ มลภาวะทางเสียงที่คุณอาจจะพบเจอได้มีดังต่อไปนี้ เสียงการจราจรบนท้องถนน เช่น เสียงรถ เสียงแตร เสียงรถฉุกเฉิน เสียงจากการก่อสร้าง เช่น เสียงขุดเจาะ หรือเสียงเครื่องจักรอื่นๆ เสียงจากสนามบิน ในขณะที่เครื่องบินกำลังบินขึ้น หรือลงจอด เสียงจากที่ทำงาน โดยเฉพาะหากทำงานในสถานที่ที่เปิดโล่ง การฟังเสียงเพลงดังเป็นเวลานาน เสียงจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เสียงพัดลม หรือเครื่องจักร เสียงจากสถานีรถไฟ เสียงจากเครื่องใช้ในบ้าน เช่น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องตัดหญ้า หรือการเปิดเพลงดังเป็นเวลานานๆ เสียงจากพลุหรือดอกไม้ไฟ มลภาวะทางเสียงเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าอย่างไร เสียงรบกวน หรือมลภาวะทางเสียงนั้นเป็นตัวการในการสร้างความรำคาญและความตึงเครียดทางสภาพแวดล้อม การเปิดรับกับมลภาวะทางเสียงในระดับที่ดังเกินกำหนด หรือเป็นเวลานาน […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

จากจอหนัง สู่ชีวิตจริง! โรคอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ ที่คุณควรรู้จัก

เชื่อว่าหลายๆ คน อาจเคยดูหนังหรือได้ยินนิทานเรื่องอลิซในดินแดนมหัศจรรย์กันมาบ้าง บางคนถึงกับจินตนาการว่าอยากเป็นสาวสวยวัยใสอย่างอลิซที่นั่งจิบน้ำชาในดินแดนแปลกประหลาด และยังสามารถพูดคุยกับสัตว์ต่างๆ ได้อีกด้วย ความเป็นจริงนั้นอาจไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณคิด แต่กลับมีผู้ป่วย โรคอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นอาการทางจิต และความผิดปกติอย่างหนึ่ง ไปรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกับ Hello คุณหมอ กันเถอะ มารู้จักกับโรคแปลกใหม่ ที่ชวนให้คุณต้องอึ้ง อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland syndrome) ไม่ใช่แค่ชื่อหนังแต่เป็นชื่อของโรคทางจิตกลุ่มใหม่ที่มีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยทางจิต ระบบประสาท และการทำงานของสมองส่งผลให้เห็นภาพหลอนมองเห็นวัตถุเคลื่อนไหวได้ รวมถึงรู้สึกได้ว่าตัวคุณเองดูเล็กลง หรือใหญ่ขึ้นกว่าความเป็นจริง ทางการแพทย์ได้พบผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอายุเพียง 6 ขวบมีการรับรู้ทางสายตาที่มองเห็นสิ่งรอบตัวอยู่ไกลขึ้นและมีขนาดที่เล็กลง โดยในเฉพาะช่วงเย็นของวัน ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นเพียง 15- 20 นาทีเท่านั้น สันนิษฐานว่าคลื่นไฟฟ้าในสมองของเด็กมีผลเป็นลบจึงทำให้เกิดอาการมองเห็นที่ผิดเพี้ยนขึ้น ดร.จอห์น ทอดด์ (Dr. John Todd) จิตแพทย์ชาวอังกฤษได้ระบุไว้ในปี 1950 เขาได้ตั้งข้อสังเกตของผู้ป่วยที่มีอาการนี้ และเห็นว่าเป็นอาการคล้ายในนวนิยายของ ลูอิสคาร์โรลล์ (Lewis Carroll’s) ในเรื่องอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ เขาเชื่อว่ามีการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะระบบประสาทของสมอง จึงทำให้เกิดการประมวลผลสภาพแวดล้อมรอบข้างต่างไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ได้แก่ อาการซึมเศร้า โรคจิตเภท ความตึงเครียด ไมเกรน การใช้ยาหลอนประสาทเกินขนาด โรคลมบ้าหมู […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคนิมโฟมาเนีย คลั่งไคล้ในเซ็กส์

หากใครมีอาการคลั่งไคล้ในเซ็กส์ หรือที่เรียกกันว่า โรคนิมโฟมาเนีย อยู่นั้นไม่ต้องเป็นกังวล หรือรู้สึกว่าตนเองแปลกประหลาดกว่าผู้อื่น เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องของอารมณ์ทางเพศที่ควบคุมได้ค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารักษาให้หายไม่ได้ ถึงเวลาที่ทุกคนควรเปิดใจทำความรู้จัก และหาวิธีรับมือกับอาการคลั่งไคล้ในเซ็กส์ [embed-health-tool-heart-rate] สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนิมโฟมาเนียโดยไม่รู้ตัว ในปัจจุบันมีการเปิดให้เพศทางเลือกได้มีสิทธิ อิสระต่างๆ ไม่ว่าจะชาย หญิง สาวประเภทสอง ในการทำกิจกรรมร่วมกันได้มากขึ้น เช่น การเลือกจำแหน่งหน้าที่การทำงาน การคบหาดูใจ การแต่งตัวตามแฟชั่นอย่างไม่มีจำกัด และอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็ คือ การมีเซ็กส์ ขณะเดียวกันยังมีผู้คนบางกลุ่มที่คุณอาจคาดไม่ถึง และมีอยู่ในสังคมรอบตัวของเราจริงๆ พวกเขาเหล่านี้มักมีความหลงไหลในการมีเพศสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าคนปกติทั่วไป หรือที่เรียกว่า โรคนิมโฟมาเนีย (Nymphomania) ซึ่งเป็นโรคทางจิตที่มีพฤติกรรมความต้องการทางเพศสูง โดยอาจเกิดได้จากการชักชวน หรือการมีเซ็กส์บ่อยจนทำให้เกิดความเคยชินมีอารมณ์เกินกว่าที่จะควบคุม รวมถึงความสมดุลของสารเคมีในสมองผิดปกติ และการถ่ายทอดพันธุกรรมภายในครอบครัวที่สามารถส่งผลให้คุณเป็นนิมโฟมาเนียได้ ในบางครั้งอาจเกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล จนทำให้ผู้ป่วยใช้เซ็กส์เป็นทางออกของปัญหาในการระบายอารมณ์ภายในจิตใจได้อีกด้วย อาการแรกเริ่มที่ก่อให้เกิดโรคนิมโฟมาเนีย  ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย ช่วยตนเองให้สำเร็จความใคร่อยู่บ่อยครั้ง เสพสื่ออนาจาร จากสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ภาพที่มีแบบเปลือยโป๊ มีคู่นอนหลายคน รวมถึงการนอกใจคู่รัก มีเพศสัมพันธ์ด้วยความรู้สึกอับอาย ซึมเศร้าหรือแสดงอาการวิตกกังวล โรคนิมโฟมาเนียอาจเกิดมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่เคยมีประวัติทางจิต เหตุการณ์ในชีวิตบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้รู้สึกจดจำฝังใจ ความเจ็บป่วยทางจิต และความเครียดสะสม วิธีรักษาความต้องการทางเพศให้สมดุล  การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญาจากนักบำบัด ยาคลายกังวล ยารักษาอาการซึมเศร้า และอาการทางจิต โดยได้รับการอนุญาตจากแพทย์เท่านั้น […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

บุคลิกภาพผิดปกติ เปลี่ยนไปจากเดิมเกี่ยวข้องกับ โรคฮิสทีเรีย ?

คุณเคยสังเกตคนใกล้ตัว หรือสังคมรอบข้างที่คุณอยู่หรือไม่ ว่าทำไมบางคนถึงมีบุคลิกแปลกๆ เช่น ชอบพูดคุยเสียงดัง แสดงกิริยาที่โดดเด่นเกินงาม พฤติกรรมเหล่านี้คุณสามารถฟันธงได้เลยว่าพวกเขากำลังเข้าสู่ โรคฮิสทีเรีย อย่างแน่นอน! วันนี้ Hello คุณหมอ ขอพาทุกคนมารู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น เพื่อที่คุณจะได้รับมือให้ทัน รู้จักกับโรคใกล้ตัวอย่าง โรคฮิสทีเรีย กันเถอะ ผู้คนส่วนใหญ่มักตีความหมายของโรคฮิสทีเรีย (Hysteria)  กันแบบผิดๆ โดยเข้าใจว่าเป็นอาการที่ขาดผู้ชาย หรือเพศตรงข้ามไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่พฤติกรรม และอาการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางด้านจิตเวชเท่านั้น โรคฮิสทีเรีย นี้สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ ความผิดปกติของระบบประสาท (Conversion disorder) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว หรืออารมณ์ความรู้สึก เช่น การเดิน การได้ยินผิดเพี้ยนไป กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจก่อให้เกิดอัมพาตที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ส่วนสาเหตุหลักๆ นั้นยังไม่มีการทราบแน่ชัด เพียงแต่สันนิฐานว่าอาจมาจากความเครียด ความวิตกกังวล ส่งผลให้ไปทำลายระบบประสาทจนโครงสร้างสมองได้รับความเสียหาย บุคลิกภาพที่ผิดปกติแบบฮิสทีเรีย (Histrionic Personality Disorder) มักพบได้บ่อยกว่าความผิดปกติของระบบประสาท เป็นความผิดปกติของภาวะทางจิตที่จัดอยู่ในกลุ่มบุคลิกภาพที่ผิดปกติของกลุ่มบี (Cluster B : Dramatic Personality Disorders) มีอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีความรู้สึกหลงตัวเองปะปน ภูมิใจในตัวเองเกินควร […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ทำความเข้าใจ โรคหลายบุคลิก อาการทางจิตที่มาพร้อมความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ “โรคหลายบุคลิก” หรือเคยได้ดูภาพยนตร์ที่มีตัวละครเป็นโรคหลายบุคลิกกันมาบ้างแล้ว โรคหลายบุคลิกนี้ไม่ใช่แค่ความแฟนตาซีที่ถูกสร้างขึ้นในโลกภาพยนตร์เท่านั้น แต่เป็นโรคทางจิตที่มีอยู่จริง โรคนี้ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วย และมักสร้างปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจรวมถึงการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายด้วย โรคหลายบุคลิก คืออะไร โรคหลายบุคลิก (Multiple Personality Disorder หรือ MPD) จัดเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งในกลุ่มโรคดิสโซสิเอทีฟ (Dissociative Disorders) ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ (Dissociative Identity Disorder หรือ DID) แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงคุ้นเคยกับชื่อโรคหลายบุคลิกมากกว่า คำว่า “อัตลักษณ์ (Identity)” หมายถึง ผลรวมของลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นที่รู้จักหรือจำได้ โดยปกติแล้ว คนเราจะมีเพียงอัตลักษณ์เดียวเท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นโรคหลายบุคลิกหรือโรคหลายอัตลักษณ์ มักมีมากกว่าหนึ่งอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการทางจิต (mental process) ทำให้สติ ความคิด ความทรงจำ อารมณ์ความรู้สึก การกระทำ และการยอมรับอัตลักษณ์ของตนเองแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่ปะติดปะต่อกัน ผู้ป่วยโรคนี้จึงแสดงพฤติกรรมและอารมณ์ไม่ต่อเนื่องและไม่เหมือนกัน หรือมีบุคลิกภาพแตกแยก ราวกับว่ามีหลายคนอยู่ในร่างเดียว วิธีสังเกตอาการของโรคหลายบุคลิก สัญญาณและอาการของโรคหลายบุคลิก หรือโรคหลายอัตลักษณ์ ในผู้ใหญ่ รู้สึกสับสน มีบุคลิกภาพ หรืออัตลักษณ์มากกว่า 2 แบบ โดยแต่ละแบบแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และผลัดกันแสดงออกมา ความทรงจำขาดหาย […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคชอบขโมยของ โรคทางจิตที่แปลกแต่จริง

เคยดูข่าวแล้วเกิดความสงสัยกันบ้างไหมคะว่า บางคนรวยมาก มีทรัพย์สินเป็นพันล้าน บางคนเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงๆ แต่ยังมีข่าวเรื่องการขโมยของ ซึ่งสิ่งของที่ขโมยนั้นมีมูลค่าเพียงหลักร้อยถึงหลักพันเท่านั้น เป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงเป็น โรคชอบขโมยของ ฟังดูชื่อโรคแล้วอาจจะไม่คุ้นหู เป็นโรคที่แปลกและมีอยู่จริง แต่จะมีลักษณะอาการเป็นอย่างไรบ้างนั้น วันนี้ Hello คุณหมอจะพาไปหาคำตอบกันค่ะ โรคชอบขโมยของ (Kleptomania) คืออะไร? โรคชอบขโมยของ (Kleptomania) คือ อาการป่วยทางจิตเป็นโรคเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติทางสมอง  โดยสมองมีการหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) น้อยลง ทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ไม่สามารถยับยั้งใจต่อแรงกระตุ้นที่จะลักขโมยได้ผู้ป่วยยังสามารถมีอาการทางจิตอื่นๆร่วมด้วยได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตหวาดระแวง เป็นต้น ไขข้อข้องใจ สาเหตุอะไร ที่ทำให้เป็นโรคชอบขโมยของ ผู้ป่วยโรคชอบขโมยของเกิดจากความผิดปกติของการหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง จนอาจเสี่ยงเป็นโรคภาวะซึมเศร้า โดยมีสาเหตุดังนี้ พันธุกรรม การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก ความเครียด ความวิตกกังวล อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคชอบขโมยของ มีความสุขทุกครั้งที่ได้หยิบฉวยสิ่งของหรือขโมยของจากผู้อื่น เวลาเครียด หรือ มีปัญหา เพียงได้ขโมยของเล็กๆน้อยๆ จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาทันที หลังจากขโมยของไปแล้วจะมีความรู้สึกผิดทางใจ รู้สึกเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่สามารถห้ามใจตัวเองขณะหยิบของได้ วิธีการรักษา ผู้ป่วยเป็นโรคชอบขโมยของมีวิธีการรักษา แบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้ การใช้ยาบำบัดร่วมกับการบำบัดทางจิตใจโดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา ใช้วิธีอธิบายถึงผลเสียของพฤติกรรมการลักขโมย ทำให้ผู้ป่วยตระหนักถึงพฤติกรรมดังกล่าวที่ส่งผลเสียต่อตนเอง การใช้ยาในการบำบัดเพิ่มควบคุมการหลั่งสารเคมีในสมอง โดยสารเพิ่มเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองช่วยในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก ลดความเสี่ยงจากภาวะเครียด ซึมเศร้า อาจเป็นการเพิ่มความรู้สึกให้ผู้ป่วยรู้ถึงผลเสียของการขโมยของ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมชอบขโมยของ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคชอบขโมยของเสมอไป […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ความนับถือในตัวเอง (Self-Esteem) นั้นสำคัญไฉน?

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มี ความนับถือในตัวเอง นั่นแสดงว่าคุณกำลังรู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเอง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้รักตัวเองแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตดีอีกด้วย แต่ถ้าหากใครมีความนับถือในตัวเองต่ำ ลองอ่านบทความที่ Hello คุณหมอนำมาฝากกันดู ทำความรู้จักกับความนับถือในตัวเอง ความนับถือในตัวเอง (Self-esteem) หมายถึงการมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง ทั้งยังเป็นเหตุผลสำคัญของสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย ประสบการณ์ในวัยเด็กของคนๆ หนึ่ง มักทำให้เขามีความนับถือในตัวเองเกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้วผู้ปกครอง ครู และเพื่อนในวัยเด็ก ก็ล้วนมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาความนับถือในตัวเองอีกด้วย ซึ่งในผู้ใหญ่นั้นก็จำเป็นจะต้องมีความนับถือในตัวเอง และรักษาความภาคภูมิใจในตัวเองเอาไว้ ในด้านจิตวิทยานั้น คำว่า “ความนับถือในตัวเอง” นั้น ใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกโดยรวมของบุคคลเกี่ยวกับคุณค่าของตัวเอง หรือคุณค่าส่วนบุคคลว่า ตัวคุณนั้นชื่นชมและชอบตัวเองมากแค่ไหน ความนับถือในตัวเองมักเป็นลักษณะของบุคลิกภาพ ซึ่งหมายถึง ความมั่นคงและยั่งยืน ความนับถือในตัวเองสามารถเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่หลากหลายเกี่ยวกับตัวเอง เช่น การประเมินรูปลักษณ์ ความเชื่อ อารมณ์ และพฤติกรรมของคุณ ความนับถือในตัวเอง (Self-Esteem) ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพบ้าง? อย่างที่กล่าวไปข้างตนแล้วว่า ความนับถือในตัวเองนั้น ก็คือ การที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ความนี้ลองมาดูดีกว่าว่า ความนับถือในตัวเองส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพบ้าง มีความนับถือในตัวเอง ถ้าหากคุณมีความนับถือในตัวเอง คุณจะแสดงอาการต่างๆ เหล่านี้ออกมาก มีความมั่นใจ สามารถที่จะกล่าวคำว่า “ไม่” ออกมาได้ มีมุมมองเชิงบวก มีความสามารถในการดูจุดแข็งและจุดอ่อนโดยรวมของผู้อื่น และยอมรับได้ ประสบการณ์เชิงลบไม่ส่งผลต่อมุมมองโดยรวม สามารถแสดงความต้องการออกมาได้อย่างชัดเจน มีความนับถือในตัวเองต่ำ แต่ถ้าหากคุณมีความนับถือในตัวเองต่ำ คุณจะแสดงอาการต่างๆ เหล่านี้ออกมาก มีความคิดเชิงลบ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่สามารถแสดงความต้องการของตัวเองออกมาได้ มักจะมองหาแต่จุดอ่อนของตัวเอง มีความรู้สึกละอาย ซึมเศร้า หรือวิตกกังมากเกินไป มีความเชื่อว่าคนอื่นมักดีกว่าตัวเอง มีปัญหาในการยอมรับข้อเสนอแนะในเชิงบวกของผู้อื่น กลัวความล้มเหลวอย่างรุนแรง หากมีความนับถือในตัวเองต่ำ (Self-Esteem) จะส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพจิตบ้าง? แม้ว่าการมีความนับถือในตัวเองต่ำ จะไม่ได้รับการจัดประเภทว่าเป็นสภาวะสุขภาพจิตในตัวเอง […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคกลัวงู จนเข้าขั้น Phobia มีจริง

โรคกลัวงู หมายถึง คนที่แค่เพียงพูดถึงคำว่า งู ก็อาจทำให้รู้สึกขนลุกขนพองกันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่คนที่ไม่เคยเห็นงูตัวเป็น ๆ มาก่อน ก็อาจจะรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เห็นรูปของสัตว์เลื้อยคลานที่เต็มไปด้วยเกล็ดนี้ ลองทำความรู้จักและสำรวจตัวเองว่าเป็น โรคกลัวงู หรือไม่ และรับมืออย่างไร [embed-health-tool-bmi] อย่างไรจึงจะเรียกว่า โรคกลัวงู โรคกลัวงู (Ophidiophobia หรือ ophiophobia) เป็นหนึ่งในโรคกลัว (Phobia) ที่พบได้มากที่สุด นักวิจัยบางรายมีความเชื่อว่าโรคกลัวงูนี้เกิดจากการวิวัฒนาการของมนุษย์ เนื่องจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ งูนั้นจะมีภาพลักษณ์ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นอันตราย และสามารถฆ่าเราได้โดยการกัดเพียงแค่ครั้งเดียว จึงไม่แปลกที่เรามักจะรู้สึกหวาดกลัวงู แม้ไม่เคยพบเจองูตัวจริงมาก่อน การที่เราจะรับรู้ได้ว่าตัวเองนั้นเป็นโรคกลัวงูหรือไม่ สามารถสังเกตได้จากอาการเมื่อพบเจอกับงู อยู่ใกล้งู พูดหรือคิดอะไรเกี่ยวกับงู หรือเห็นรูปงูในสื่อต่าง ๆ โดยอาการที่เกิดขึ้นอาจมีดังนี้ วิงเวียน หน้ามืด หมดสติ คลื่นไส้ อยากอาเจียน ตื่นตกใจ กรีดร้อง เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะในบริเวณฝ่ามือ หัวใจเต้นเร็ว ขนลุก ตัวสั่น หายใจไม่ออก หรือหายใจไม่อิ่ม อาการเหล่านี้อาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้กับตัวงูนั้นมากขึ้น หรือเมื่อเวลาที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่องูนั้นใกล้เข้ามาทุกที ในบางครั้งอาจวินิจฉัยการเป็นโรคกลัวงูได้โดยใช้ข้อบ่งชี้ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (the Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders หรือ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน