ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้จักกับ โยโย่ เอฟเฟค (YoYo Effect) ก่อนการลดน้ำหนักกันเถอะ

โยโย่ เอฟเฟค ถือได้ว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะแม้จะออกกำลังกาย และควบคุมการรับประทานอาหาร ก็ยังไม่เป็นผล ถึงแม้ตัวเลขน้ำหนักจะลดลง แต่เมื่อกลับมากินปกติอีกครั้ง น้ำหนักกลับดีดตัวพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิมเสียอีก ลองมาหยุด ภาวะโยโย่เอฟเฟค ก่อนที่หุ่นคุณจะพังไปมากกว่านี้กับบทความของ Hello คุณหมอ ที่ทางเราได้นำเคล็ดลับดีๆ มาฝากทุกคนกัน โยโย่เอฟเฟค คืออะไร ทำไมเราควรรู้ก่อนลดน้ำหนัก? โยโย่ เอฟเฟค (YoYo Effect) คือผลกระทบจากที่คุณลดน้ำหนัก โดยการอดอาหาร ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดและไม่สมควรทำอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นกระบวนการที่ทำให้ตัวเลขลดลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคุณกลับมารับประทานอาหารอีกครั้งด้วยความชะล่าใจ ส่งผลให้น้ำหนักเกิดเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า และยังรวมไปถึง สรีระร่างกายของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น กล้ามเนื้อหย่อนคล้อย ลงพุง การลดน้ำหนักแบบผิดวิธี ส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง น้ำหนักที่ดีดตัวกลับมา หรือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี สามารถทำให้สุขภาพร่างกายของคุณแย่ลง รวมถึงยังนำโรคแทรกซ้อนเหล่านี้มาด้วย โรคอ้วน โรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด โรคเบาหวานประเภท 2 โรคไขข้อเสื่อม โรคถุงน้ำดี ความดันโลหิตสูง วิธีหยุด โยโย่เอฟเฟค ก่อนหุ่นจะพังโดยไม่รู้ตัว ลดไขมันในร่างกาย พร้อมกับการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย ในการสร้างกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายเป็นทางออกที่ดีที่สุด คุณสามารถเลือกวิธีออกกำลังกายให้เหมาะกับตนเองได้ ตามความถนัดและความสะดวก โดยควรคำนึงถึงความปลอดภัย นอกจากจะช่วยลดไขมันแล้ว ยังสามารถทำให้คุณเกิดความผ่อนคลายลดความเครียดได้อีกด้วย ไม่ควรงดอาหารไม่ว่าจะเป็นมื้อใดๆ ก็ตาม เพราะอาหารทุกมื้อล้วนสำคัญในการเปลี่ยนเป็นพลังงานกระจายตามทั่วร่างกาย โดยเฉพาะมื้อเช้าที่เป็นมื้อเริ่มต้น ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองให้มีสมาธิในการทำกิจกรรมระหว่างวันต่างๆ เช่น ทำงาน เรียนหนังสือ เป็นต้น หากคุณอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งไปอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ในอนาคต จำกัดปริมาณอาหารที่เหมาะสม ปรับสมดุลมื้ออาหาร และของว่าง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

บาร์โฮส สวรรค์บนดินที่สาวขี้เหงาจ่ายได้เพื่อความสุข

“บาร์โฮส” สถานบริการที่ให้บริการสำหรับผู้หญิง กับพฤติกรรมการแสวงหาความสุขที่สังคมบางส่วนยังคงตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ แท้จริงแล้วมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์อันฉาบฉวย หรือเป็นแค่บริการคลายเหงาให้สาวๆ ที่ต้องการเพื่อนร่วมดื่ม ร่วมคุยเพียงเท่านั้น วันนี้ Hello คุณหมอ จะพามาหาคำตอบกัน บาร์โฮส คืออะไร? บาร์โฮส เป็นบาร์ที่เปิดให้บริการคล้ายบาร์ทั่วๆไป โดยมีโฮส ทำหน้าที่เทคแคร์เอาใจลูกค้า หากคุณเข้าไปเที่ยวในนั้นรับรองได้เลยว่าจะได้รับการบริการจากหนุ่มโฮสเสมือนคุณเป็นเจ้าหญิงเลยล่ะ สุภาพ พูดเพราะ ปากหวาน เอาใจเก่ง แต่จะมี PR ของร้านหรือผู้จัดการเดินเข้ามาต้อนรับ เชียร์ให้ผู้ใช้บริการเปิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นขวดในราคาหลายพันบาท รวมค่ามิกเซอร์ ไม่รวมค่าอาหารและค่าดื่ม จากนั้น PR พาลูกค้าไปเลือกเด็กโฮสเพื่อให้ลูกค้าเลือก หากถูกใจคนไหนก็จะเรียกมาให้บริการ ตามกฎทั่วไปแล้ว ลูกค้าจะต้องเหมาจ่าย 3 ดริงก์ ดริงก์ละ 350 บาท ซึ่งทางร้านจะหัก 30 บาท ส่วนอีก 320 บาท โฮสจะได้ไปโดยยังไม่รวมกับค่าทิป ยิ่งเปย์ ยิ่งฟิน มีความสุขทุกครั้งที่ได้เปย์ แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวหลายคนชื่นชอบบาร์โฮสก็คือ บรรยากาศของร้านที่เต็มไปความสนุกสนาน ได้ผ่อนคลายความอึดอัดเคร่งเครียดจากการทำงาน โดยมีหนุ่มหล่อที่ลูกค้าเลือกมานั่งเป็นเพื่อนคุย เพื่อนดื่ม ดูแลเอาอกเอาใจ ให้ความบันเทิงแต่ลูกค้า […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

อาหารปิ้งย่าง ต้นเหตุมะเร็งร้าย แต่ใจก็อยากกิน

อย่างที่หลายๆ คนคงเคยได้ยิน หรือว่าพอจะทราบข้อมูลมาบ้างแล้วว่า การรับประทานอาหารปิ้ง ย่าง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง แต่หลายคนก็อาจจะยังมีข้อส่งสัยว่าแล้วการรับประทานอาหารปิ้งย่างนั้น ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ อาหารปิ้งย่าง ต้นเหตุมะเร็งร้าย พร้อมเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่กินอาหารปิ้งย่างอย่างไรให้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ อาหารปิ้งย่าง ส่งผลต่อโรคมะเร็งอย่างไร จากการศึกษาในปี 2010 โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย Vanderbilt พบว่า การรับประทานเนื้อย่างนั้น ส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยการย่างเนื้อแดง หรือการทำให้เนื้อสุกด้วยอุณหภูมิที่สูงด้วยวิธีการ อบ ย่าง ต้ม หรือทอด จะก่อให้เกิดสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ซึ่งเป็นสารที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้การปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงยังก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons ; PAHs) ซึ่งสาร PAHs เป็นสารเคมีที่โดยทั่วไปแล้วพบได้ในถ่านหรือน้ำมันซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ เมื่อมีการปิ้งหรือย่างเนื้อ น้ำมันที่เกิดจากการย่างเนื้อ หยดลงบนถ่านหรือเชื้อเพลิง จึงเกิดเป็นควันลอยขึ้นในอากาศ ซึ่งควันเหล่านั้นมีการปนเปื้อนของสาร PAHs เมื่อสาร PAHs […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ก่อนจะ นอนกับแมว ทาสแมวควรรู้อะไรบ้าง

สัตว์เลี้ยงก็เหมือนกับสมาชิกในครอบครัวที่เราทุกคนต่างก็รัก และมอบความห่วงใยให้แก่กัน แต่แค่มีเบาะนอน หรือมีที่นอนสำหรับแมวแยกต่างหาก อาจจะยังไม่พอ พาเจ้าเหมียวไปนอนที่เตียงด้วยกันเลยดีกว่า จะได้เพิ่มความรักที่เปี่ยมล้นให้เจ้าแมวได้รับรู้ แต่เดี๋ยวก่อน… อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้า นอนกับแมว หากคุณยังไม่ได้รับรู้ข้อควรระวัง และประโยชน์ของการนอนกับสัตว์เลี้ยง จากบทความนี้ของ Hello คุณหมอ [embed-health-tool-bmi] ประโยชน์ของการ นอนกับแมว ทาสแมวทั้งหลาย ต่างก็อยากที่จะมีช่วงเวลาอันสุดแสนจะอบอุ่นกับเจ้าเหมียวหรือนายท่านของบ้านด้วยกันทั้งนั้น และแน่นอนว่า นั่นรวมไปถึงการพาแมวไปนอนบนเตียงด้วย ซึ่งการนอนกับแมวนั้น ดร.สตีฟ เวนเบิร์ก (Dr. Steve Weinberg) ผู้ก่อตั้ง 911 VETS กล่าวว่า การนอนกับแมวช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และยังอาจช่วยลดความเครียด หรือความวิตกกังวลที่คุณกำลังเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี ความเสี่ยงของการนอนกับเจ้าเหมียว แม้การพาแมวเข้าไปนอนกับคุณบนเตียงด้วยจะมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายความเครียดและความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมและปัญหาในชีวิตประจำวัน แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ควรลืมที่จะระวังว่า การพาสัตว์เลี้ยงเข้าไปนอนด้วยนั้น สามารถที่จะส่งผลเสียได้เช่นกัน ดังนี้ รบกวนการนอนหลับ คุณควรระลึกไว้เสมอว่าเจ้านายสุดน่ารักของคุณนั้น เอาแต่ใจแค่ไหน คุณไม่สามารถควบคุมการหลับหรือตื่น หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของแมวได้ ในขณะที่กำลังนอนหลับฝันหวาน เจ้าแมวอาจจะกระโดดมาทับหน้าคุณเพียงเพราะมันรู้สึกหิวและต้องการออกไปหาอะไรกิน ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณต้องลุกขึ้นมากลางดึก และถ้าแมวทำให้คุณต้องลุกกลางดึกอยู่บ่อย ๆ ก็จะทำให้คุณพักผ่อนไม่เพียงพอ เรื่องของความสะอาด หากคุณเลี้ยงแมวไว้ในระบบเปิด เจ้าเหมียวอาจเที่ยวตระเวนไปในโลกกว้างตลอดทั้งวัน ซึ่งคุณไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า แมวของคุณไปเล่นซนที่ไหนมาบ้าง เชื้อโรคและสิ่งสกปรกอาจจะยังติดอยู่ที่อุ้งเท้า หรือที่เล็บ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณได้ อาการภูมิแพ้และอาการหอบหืด เจ้าเหมียวสุดน่ารักที่คุณเลี้ยงดูมาอย่างถนุถนอม อาจชอบที่จะนอนทับอะไรนิ่ม ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตาพร่ามัวขณะปวดหัว อันตรายมากน้อยแค่ไหน?

อาการตาพร่านั้น เป็นปัญหาทางสายตาที่หลายคนล้วนเคยเป็นกันมาบ้าง ในช่วงเวลาที่เหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลีย แต่ถ้าหากอาการตาพร่านั้นเกิดขึ้นจากอาการปวดศีรษะ นั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายทางสุขภาพหรือเปล่า? มาหาคำตอบของ อาการ ตาพร่ามัวขณะปวดหัว กันได้ ที่บทความนี้ค่ะ [embed-health-tool-bmr] อาการตาพร่า เบลอ เกิดขึ้นจากอะไร เราทุกคนสามารถที่จะพบกับอาการทางสายตาที่เรียกว่า ตาพร่ามัว กันได้ทุกคน แม้แต่ตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ก็สามารถมีอาการตาพร่า มองอะไรไม่ค่อยเห็น หรืออาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น การสายตาสั้น ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีอาการบางอย่างที่ส่งผลให้คุณมีอาการตาพร่า เบลอ ได้ นั่นคือ ระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อระดับน้ำตาลภายในเลือดของคนเราสูงขึ้น ก็จะส่งผลต่อต่อการทำลายเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่เรตินาในดวงตา ซึ่งทำหน้าที่ในการรับแสง ทำให้จอประสาทตาในเรตินาเกิดอาการบวม ส่งผลให้เกิดอาการตาเบลอขึ้นได้ โรคหลอดเลือดสมอง คุณสามารถที่จะสังเกตด้วยตนเองได้ว่าคุณเสี่ยง หรือมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือ โดยสังเกตได้จากสัญญาณของสุขภาพดวงตา หากจู่ ๆ คุณมีอาการเห็นภาพซ้อน ตาพร่า หรือเบลอแบบกะทันหัน โดยที่ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดใด ๆ ในระหว่างนั้น อาจสันนิษฐานได้ว่า คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง สำหรับกรณีนี้ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยที่แน่นอน ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Preeclampsia) คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่า? หากคุณกำลังตั้งครรภ์แล้วมีอาการตาพร่ามัวขึ้นมา นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความดันโลหิตที่ขึ้นสูงในขณะตั้งครรภ์โดยที่ไม่เคยมีภาวะความดันโลหิตสูงมาก่อน โรคเอ็มเอส (MS) หรือ Multiple Sclerosis โรคเอ็มเอส คือโรคที่เกี่ยวกับอาการอักเสบของเส้นประสาท […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

คุณรู้จัก น้ำมูก ดีแค่ไหน มีอะไรที่เราควรรู้เกี่ยวกับน้ำมูกบ้าง

ทุกครั้งที่อากาศเริ่มเย็น หรืออากาศเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย หนึ่งในสัญญาณแรก ๆ เลย ที่จะแสดงอาการก็คือ อาการคัดจมูก และน้ำมูกไหล แล้วจึงตามมาด้วยอาการไข้หวัด แต่ทำไมแค่อากาศเย็นถึงทำให้น้ำมูกไหลได้ มีสาเหตุอื่นที่ทำให้ น้ำมูก ไหล ได้อีกหรือไม่ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ ทำไมคนเราถึงมี น้ำมูก (Snot or Nasal mucus) เมื่ออากาศเย็นเข้ามาเยือน ร่างกายของคนเราจะเสี่ยงต่อการเป็นหวัดมากขึ้น เพราะในช่วงที่อากาศเย็น จมูกและโพรงจมูกของคนเราจะมีความอ่อนไหวต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส เมื่อเกิดการติดเชื้อ ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารฮีสตามีน ซึ่งสารดังกล่าวจะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ และผลิตน้ำมูกออกมา น้ำมูกที่ออกมาจำนวนมากนั้น จะทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียฝังตัวในเยื่อบุโพรงจมูกได้ยากขึ้น และการที่น้ำมูกไหลก็คือกระบวนการที่ร่างกายขับเอาแบคทีเรียและสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากจมูกและโพรงจมูก อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงอากาศเย็น หรือไข้หวัดเท่านั้นที่ส่งผลให้น้ำมูกไหล อาการแพ้ หรือโรคภูมิแพ้ ทั้งแพ้ไรฝุ่น แพ้ละอองเกสรดอกไม้ หรืออาการแพ้อื่น ๆ แม้แต่การร้องไห้ ก็มีส่วนที่ทำให้น้ำมูกไหลออกมาด้วยเช่นกัน น้ำมูกสีนี้หมายถึงอะไร น้ำมูกในจมูกของเราที่ไหลออกมาให้รำคาญใจอยู่นั้น รู้หรือไม่ว่ามีสีที่แตกต่างกัน และสีที่แตกต่างกันของน้ำมูก ก็ยังสามารถที่จะบอกถึงอาการทางสุขภาพอื่น ๆ ได้ ดังนี้ น้ำมูกมีสีแดง หากน้ำมูกมีสีแดง นั่นคือสัญญาณที่เตือนให้คุณทราบว่า ภายในจมูกของคุณนั้นมีอาการแห้ง ได้รับความระคายเคือง หรือเนื้อเยื่อในจมูกได้รับความเสียหาย และยังรวมถึงอาการแพ้ การติดเชื้อ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เส้นเลือดที่มือปูด โปนออกมา เป็นเพราะอะไร

เคยเป็นไหม จะใส่เสื้อโชว์แขน เผยมืออย่างชัดเจน แต่ก็รู้สึกอาย เพราะ เส้นเลือดที่มือปูด ออกมาจนเห็นได้ชัด ปูดแค่ที่มือยังไม่พอ ยังเป็นทั้งที่แขน และที่ขาอีก เล่นเอาหมดความมั่นใจกันเลยทีเดียว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นจากอะไร สามารถรักษาให้หายได้หรือเปล่า Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้ทุกท่านแล้วค่ะ [embed-health-tool-heart-rate] เส้นเลือดที่มือปูด คืออะไร ลองก้มลองมองสังเกตที่มือของตัวเองดูว่า คุณสามารถที่จะมองเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนหรือไม่ มีเส้นเลือดปูดโปนออกมาที่หลังมืออย่างเห็นได้ชัดหรือเปล่า นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าเส้นเลือดที่มือปูด หรือเรียกกันอีกอย่างว่า หลอดเลือดขอด ลักษณะคล้ายกับอาการเส้นเลือดขอด โดยเส้นเลือดที่ปูดออกมานั้น คือ หลอดเลือดดำ แต่หลอดเลือดดำที่แขนและมือนั้น เป็นหลอดเลือดดำที่มีความแตกต่างจาก หลอดเลือดดำบริเวณต้นขา อย่างไรก็ตามอาการเส้นเลือดปูดนั้นไม่ได้มีแค่เพียงเฉพาะที่มือ แต่ยังสามารถเห็นได้ชัดที่แขน และต้นขาอีกด้วย สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เส้นเลือดที่มือปูด เส้นเลือดปูดนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะของโรคใด ๆ แต่มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ต่างกัน ดังนี้ อายุ หนึ่งในสาเหตุหลักของการมีเส้นเลือดที่มือปูดนั่นก็คืออายุที่มากขึ้น เมื่อสูงวัย หรือสูงอายุขึ้นผิวหนังของเราก็จะเริ่มบอบบางลง และสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้สามารถมองเห็นเส้นเลือดที่ฝ่ามือได้อย่างชัดเจน การออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดปูดออกมาด้วย เนื่องจากการออกกำลังกายนั้นทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้น ก็จะไปดันให้หลอดเลือดเข้าใกล้ผิวหนังมากขึ้น และโดยปกติแล้ว หลังออกกำลังกายหรือใช้แรงอย่างหนักความดันโลหิตก็จะลดลงสู่ระดับปกติ หมายความว่าเส้นเลือดที่ปูดออกมานั้นก็ควรจะคืนสภาพปกติด้วย แต่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาเป็นประจำจะทำให้เส้นเลือดปูดออกมาอย่างถาวร อากาศที่ร้อนจัด สภาพอากาศร้อน หรือสภาวะที่อุณหภูมิสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เล่นมือถือก่อนนอน ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

ในปัจจุบันนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต และอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของเรามากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าการ เล่นมือถือก่อนนอน นั้น สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้เช่นกัน ดังนั้นวันนี้ Hello คุณหมอ จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน หาก เล่นมือถือก่อนนอน อาจทำให้คุณเกิดอาการเหล่านี้ รู้หรือไม่ว่าการเล่นมือถือก่อนนอนนั้น อาจทำให้เราเกิดอาการนอนไม่หลับได้ ทางที่ดีที่สุดคือ ก่อนเข้านอนนั้น คุณควรหยุดเล่นมือถือสัก 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการเหล่านี้ได้ ใช้เวลาในการนอนหลับมากขึ้น เนื่องจากมือถือนั้นปล่อยแสงสีฟ้าออกมาจากหน้าจอ ซึ่งแสงนี้จะทำให้คุณเกิดอาการง่วงช้าลงไปอีก โดยใช้เวลาเฉลี่ยกว่า 10 นาทีกว่าจะนอนหลับได้ ดังนั้นลองหันไปอ่านหนังสือก่อนนอนแทนจะเป็นการดีกว่าการอ่านเรื่องราวหรือเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ มีผลต่อสมอง มือถือถูกออกแบบมาเพื่อให้เราทำงานได้มากขึ้นและทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถให้ข้อมูลและความบันเทิงแก่เราได้อีกด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเข้านอน สมองของเรานั้นต้องการการพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องประมวลข้อมูลและความบันเทิงที่เราเสพผ่านมือถือก่อนเข้านอน เพราะเราใช้สมองมากพอแล้วในช่วงระหว่างวัน ทำให้นาฬิกาชีวภาพ (Circadian Clock Rhythm) ของคุณชะลอและยุ่งเหยิง นาฬิกาชีวภาพ หรือ Circadian Clock Rhythm ถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อสุขภาพที่ดีของเรา เนื่องจากมันส่งผลต่อระบบร่างกายเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ ความอยากอาหาร และเรื่องของน้ำหนัก เพราะฉะนั้นการเล่นมือถือก่อนนอนจะทำให้นาฬิกาชีวภาพของคุณยุ่งเหยิงได้ นอกจากนั้นยังส่งผลทำให้สมองของคุณสับสนอีกด้วย ระงับเมลาโทนิน (Melatonin) แสงสีฟ้า (Blue light) ที่ออกมาจากหน้าจอมือถือนั้น จะยับยั้งการสร้างเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ การตื่น และจังหวะการเต้นของหัวใจ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เรื่องน่ารู้ ก่อนไปฉีด วัคซีนบาดทะยัก

การฉีดวัคซีนนั้นเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมาก เพราะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับโรคต่างๆ วัคซีนบาดทะยัก เป็นหนึ่งในวัคซีนสำคัญที่เรามักจะมองข้ามและไม่ให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่ผู้ที่เป็นโรคบาดทะยักอาจะมีโอกาสในการเสียชีวิตที่ค่อนข้างสูง บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนบาดทะยัก เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่ต้องการจะฉีดวัคซีนบาดทะยัก วัคซีนบาดทะยัก คืออะไร บาดทะยัก (Tetanus) หมายถึงโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani แบคทีเรียชนิดนี้สามารถพบได้ในดิน ละอองฝุ่น และสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติอื่นๆ เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เช่น บาดแผลจากของมีคม เมื่อเชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายก็จะสร้างสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ผู้ที่ติดเชื้อบาดทะยักอาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกอย่างรุนแรง หายใจไม่ออก หรืออาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ และวิธีในการป้องกันบาดทะยักที่ดีที่สุด ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก วัคซีนบาดทะยัก เป็นวัคซีนที่ได้จากการนำสารพิษ มาทำให้หมดฤทธิ์ด้วยสารเคมี ทำให้มีความปลอดภัยในการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรค โดยรูปแบบและปริมาณของพิษจะขึ้นอยู่กับประเภทของวัคซีนบาดทะยักแต่ละประเภท วัคซีนบาดทะยัก มีด้วยกันทั้งหมด 4 ประเภท คือ วัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (DT) สำหรับเด็กที่อายุ 7 ปีขึ้นไป วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน (DTaP) สำหรับเด็กที่อายุไม่เกิน 7 ปี วัคซีนบาดทะยักและคอตีบ (Td) สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Tdap) สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ วัคซีนบาดทะยักต้องฉีดเมื่อไหร่จึงจะได้ผลสูงสุด วัคซีนบาดทะยักนั้น ไม่ใช่วัคซีนที่ฉีดเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วก็เสร็จ แต่คุณจะต้องรับวัคซีนเป็นชุดๆ โดยมีระยะการรับวัคซีนที่แนะนำคือ ทุกๆ 10 ปี สำหรับเด็ก สำหรับเด็กเล็กในวัยแรกเกิดนั้น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตัวเอง คุณก็ทำได้

ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตัวเอง คุณก็ทำได้ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เป็นส่วนสำคัญในการประเมินความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน และถ้าคุณเป็นเบาหวาน การตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง จะเป็นตัวช่วยในการวางแผนการรักษาและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน คุณสามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวคุณเองได้ที่บ้าน โดยใช้เครื่องตรวจระดับน้ำตาลปลายนิ้ว ซึ่งสามารถทำได้ ตามคู่มือการใช้งานของเครื่องแต่ละประเภท ทำไมจึงต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การ ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตนเอง ยังช่วยให้เราทราบข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ได้แก่  ทำให้ทราบว่า เราบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้มากน้อยเพียงใดในการดูแลภาวะเบาหวาน  ทำให้ทราบว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปและการออกกำลังกายนั้นมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร เพื่อปรับพฤติกรรมให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย ทำให้เข้าใจว่าปัจจัยอื่น ๆ เช่น อาการเจ็บป่วย หรือความเครียดนั้น ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร สามารถติดตามผลอันเนื่องมาจากการรักษาด้วยยาเบาหวานที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ทราบว่าค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่มีระดับสูงหรือต่ำ ตรวจให้แน่ใจว่าอาการที่กำลังเกิดขึ้น เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไปหรือไม่ ควร ตรวจน้ำตาลในเลือด เมื่อไหร่ แพทย์ผู้รักษาสามารถให้คำแนะนำได้ว่า คุณควร ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อใดและบ่อยแค่ไหน โดยทั่วไป ความถี่ของการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวาน และแผนการรักษา เป็นต้น หากคุณเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด 4–10 ครั้งต่อวัน โดยอาจจะต้องตรวจก่อนมื้ออาหารและก่อนทานของว่าง ก่อนและหลังออกกำลังกาย ก่อนนอน และบางครั้งอาจมีการตรวจในช่วงกลางคืนด้วย นอกจากนี้คุณอาจจะต้องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยขึ้นกว่าเดิม หากคุณมีการปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่แตกต่างไปจากเดิม หรือเริ่มมีการใช้ยาเบาหวานตัวใหม่เพิ่มเข้ามา หากคุณเป็นเบาหวานชนิดที่  2 และต้องใช้อินซูลินเพื่อการรักษา แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด 2–3 ครั้งต่อวัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของอินซูลินที่คุณใช้อยู่ บ่อยครั้งที่การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจะแนะนำให้ตรวจก่อนอาการและก่อนนอน หากคุณได้รับอินซูลินหลายครั้งต่อวัน หรือหากคุณได้รับอินซูลินที่ออกฤทธิ์ยาว คุณอาจตรวจระดับน้ำตาลเพียง 2 ครั้งต่อวัน คือก่อนอาหารเช้าและก่อนอาหารเย็น […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน