ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ระวัง! เป้สะพายหลัง หากใช้ผิดปัญหาสุขภาพอาจตามมา

เป้สะพายหลัง ถือเป็นไอเท็มยอดนิยมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะนักเรียน หนุ่มสาววัยทำงาน หรือวัยไหน ๆ ก็หันมาสะพาย กระเป๋าเป้ กันทั้งนั้น นั่นเพราะเป้สะพายหลังมีข้อดี คือ จุของได้เยอะ ใช้แล้วคล่องตัว สะดวกเวลาขึ้นรถลงเรือ แต่ถึงอย่างไร เป้สะพายหลังคู่ใจของใครหลาย ๆ คน ก็อาจกลายเป็นบ่อนทำลายสุขภาพได้ หากเลือกใช้และสะพายผิดวิธี แต่จะส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง ติดตามอ่านได้ในบทความ Hello คุณหมอ เป้สะพายหลัง ก่อปัญหาสุขภาพได้อย่างไร ผลการศึกษาวิจัยในนักเรียนอิตาลีช่วงอายุ 6-19 ปีจำนวน 5,318 คน ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Spine Journal ของประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ. 2559 พบว่า 60% ของนักเรียนที่เข้าร่วมการศึกษาวิจัย มีอาการปวดหลังและบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะในอาสาสมัครกลุ่มที่เป็นเด็กโตและวัยรุ่น และเด็กผู้หญิงมักปวดหลังรุนแรงและบ่อยกว่าเด็กผู้ชาย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะรูปร่างของเด็กผู้หญิงเล็กกว่าเด็กผู้ชายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การใช้ กระเป๋าเป้ อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ หากใช้งานผิดวิธี เช่น สะพายเป้ หนักเกิน สะพายเป้ ต่ำเกิน สะพายเป้ ข้างเดียว จนทำให้เกิดน้ำหนักกดทับมากเกินไป […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สำรวจตัวเองหน่อย ร่างกายคุณรับ ปริมาณคาเฟอีน เกินขนาดหรือเปล่า

คนส่วนใหญ่ต้องการ คาเฟอีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังตลอดวัน คาเฟอีนนั้นพบได้ทั้งในกาแฟ ชา และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยได้รับการพิสูจน์ว่ามีส่วนช่วยในการกระตุ้นความตื่นตัว บรรเทาอาการเหนื่อยล้า และเพิ่มระดับความจดจ่อและสมาธิ อย่างไรก็ตาม ในบางรายที่บริโภค ปริมาณคาเฟอีน มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ด้วยเช่นกัน คุณได้รับ ปริมาณคาเฟอีน มากเกินไปหรือเปล่า ปริมาณคาเฟอีนที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่ระดับ 400 มิลลิกรัมต่อวัน เทียบเท่ากับปริมาณกาแฟ 4 แก้ว โคลา 10 กระป๋อง หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลัง 2 กระป๋อง อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มแต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เพื่อให้ทราบปริมาณคาเฟอีนที่บริโภคเข้าไปคุณจำเป็นต้องอ่านฉลากอย่างระมัดระวัง ในขณะที่คาเฟอีนนั้นดูจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อผู้ใหญ่นัก แต่ในเด็กนั้น ไม่ควรบริโภคคาเฟอีน ในขณะที่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นก็ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มในแต่ละวันด้วยเช่น รวมทั้งอย่าผสมคาเฟอีนกับสารชนิดอื่นๆ เช่น แอลกอฮอล์ เป็นอันขาด หากคุณดื่มกาแฟมากกว่าสี่แก้วต่อวัน เป็นไปได้ว่าคุณอาจได้รับปริมาณคาเฟอีนมากเกินไป โดยสัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ชี้ว่าคุณควรตัดลดปริมาณคาเฟอีน ได้แก่ ไมเกรน นอนไม่หลับ วิตกกังวลกระวนกระวาย กระสับกระส่าย มีปัญหาด้านระบบปัสสาวะ คลื่นไส้ หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อกระตุก และอื่นๆ ใครบ้างที่ไม่ควรบริโภคคาเฟอีน นอกจากเด็ก ผู้ที่อดนอน การเพิ่มปริมาณคาเฟอีนเพื่อเอาชนะความง่วงนอนนั้นอาจก่อให้เกิดวงจรไม่พึงประสงค์ ความง่วงที่หายไปจากการกระตุ้นด้วยการดื่มกาแฟนั้นทำให้คุณสามารถทำงานได้ยาวนานขึ้น แต่การบริโภคคาเฟอีนระหว่างวันนั้นจะทำให้คุณนอนไม่หลับในตอนกลางคืน ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดหรือสมุนไพรเสริม […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat stroke) สาเหตุ อาการ และการรักษา

ลมแดด ถือว่าเป็นอาการป่วยจากความร้อนที่อันตรายที่สุด และมักเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป [embed-health-tool-heart-rate] คำจำกัดความ ลมแดด คืออะไร ลมแดด (Heat stroke) คือภาวะที่ร่างกายร้อนจัดเกินไป อันเป็นผลมาจากการที่ร่างกายสัมผัสหรือต้องออกแรงในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเป็นระยะเวลานาน ลมแดด ถือว่าเป็นอาการป่วยจากความร้อนที่อันตรายที่สุด และมักเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ผู้ป่วยโรคลมแดดนั้นเป็นควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบร้ายแแรงต่อสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อได้ ยิ่งได้รับการรักษาที่ช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตสูงขึ้น ลมแดด พบบ่อยเพียงใด? โรคลมแดดเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบได้ในทุกกลุ่มอายุ สามารถป้องกันได้ด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยง หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์ อาการ อาการของโรค ลมแดด อาการทั่วไปของโรคลมแดด ได้แก่ ร่างกายมีอุณหภูมิสูง เกิน 40 องศาเซลเซียส คืออาการหลักของโรคลมแดด สมองเบลอ ท่าทางเปลี่ยนแปลง งุนงง พูดวกวนไม่รู้เรื่อง สับสน เพ้อคล้ายคนเมา ชักและหมดสติ เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการระบายความร้อนของร่างกาย อาการโรคลมแดดเกิดขึ้นได้จากอากาศร้อน ผิวหนังของผู้ป่วยจะรู้สึกร้อนและแห้งเมื่อสัมผัส แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยลมแดดที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ผิวหนักอาจมีเหงื่อซึมได้ คลื่นไส้และอาเจียน ผู้ป่วยอาจรู้สึกกระอักกระอ่วน คลื่นไส้หรืออาเจียน ผิวหนังมีสีเลือดฝาด และร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น หายใจหอบถี่ หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากความร้อนและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้หรือยัง โซเชียลมีเดีย มีส่วนช่วยทำให้คุณลดความอ้วนได้สำเร็จ

จากสถิติในปี 2016 พบว่า วัยผู้ใหญ่ประมาณ 1.9 พันล้านคนทั่วโลก มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ ดังนั้นจึงควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกกำลังกาย และการกินอาหาร นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่ชี้ว่า โซเชียลมีเดีย อาจมีส่วนช่วยทำให้คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จ ดังนี้ โซเชียลมีเดีย มีส่วนช่วยทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างไร ความจริงแล้ว ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการลดน้ำหนัก อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เรื่องการกินโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ จะสามารถทำให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเลขน้ำหนักได้ คนรอบข้าง มีผลต่อความอ้วนของเราจริงหรือ ในปัจจุบันโซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ของใครหลายคน และสังคมในโซเชียลมีเดีย สามารถส่งผลต่อไลฟ์สไตล์และการลดน้ำหนักของคุณ เนื่องจากมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อมสามารถทำให้เรากลายเป็นคนอ้วนได้ โดยคนอ้วนที่อยู่ในกลุ่ม อ้วนตามสิ่งแวดล้อม หรือ Socially Contagious หมายถึง คนอ้วนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคอ้วน หากครอบครัวและเพื่อนเป็นโรคอ้วน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อ้วน นอกจากสิ่งแวดล้อมจะทำให้คนมีนิสัยที่คล้ายกันแล้ว แต่ยังทำให้ต่างคนต่างก็ส่งเสริมนิสัยของกันและกันอีกด้วย เช่น คุณอาจจะรู้สึกลำบากที่จะกินอาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากเพื่อนและครอบครัวไม่มีใครกินอาหารที่มีประโยชน์เลย โซเชียลมีเดียกับการลดความอ้วน อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ให้มีสุขภาพดีได้ เพราะปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย ที่มีกลุ่มสังคมที่แตกต่างจากเพื่อนและครอบครัวของคุณ โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางใหม่ในการติดต่อกับผู้อื่น ซึ่งโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้แก่ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และสำหรับประโยชน์ของโซเชียลมีเดีย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ก้มจิ้มมือถือทั้งวันระวัง โรคเท็กซ์เน็ค ไหล่ห่อคอตก

ใครที่ก้มเล่นมือถือแล้วมักเกิดอาการปวดที่คอ บ่า ไหล่กันบ้างคะ ยกมือขึ้นค่ะ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จัก โรคเท็กซ์เน็ค (Text Neck) หรือ โรคไหล่ห่อคอตก เป็นโรคที่เมื่อก้มเล่นมือถือ แทปเล็ต หรือคอมพิวเตอร์มากๆ ก็จะส่งผลให้เราปวดคอ บ่า และไหล่ แต่ผลกระทบไม่ได้มีแค่ปวดนะคะ ยังส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น โครงสร้างกระดูกสันหลัง และยังมีผลที่ร้ายแรงกว่าที่เราคิดไว้อีกนะคะ หากใครมีอาการปวดเรามีท่าบริหารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดมาแนะนำด้วยค่ะ โรค เท็กซ์เน็ค คืออะไร ปัจจุบันแทบจะทุกคนใช้เวลาไปกับการเล่นเกมส์ออนไลน์ การใช้โปรแกรมแชตต่างๆ บนสมาร์ทโฟน แทปเล็ต และคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งท่าทางการใช้งานส่วนใหญ่เรามักจะก้มเล่นอุปกรณ์เหล่านั้น เมื่อคอค้างอยู่ท่าก้มเป็นเวลานานทำให้เกิดอาการปวด เมื่อยล้า เราจึงเรียกโรคนี้ว่า โรคเท็กซ์เน็ค หรือภาษาไทยเรียกว่า โรคไหล่ห่อคอตก (Text Neck) เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในยุคสังคมก้มหน้า เมื่อเกิดจากการก้มหน้าใช้โทรศัพท์มือถือนานเกินกว่าวันละ 10 ชั่วโมง ในการก้มหน้าทุก ๆ 15 องศาทำให้คอและหลังแบกรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น ยิ่งก้มหน้ามากคอก็ยิ่งรับน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลทำให้ปวดไหล่ คอ และหลังได้ อาการของโรคเท็กซ์เน็ค มีอาการปวดหลังส่วนบนและคอเมื่อใช้มือถือ มีอาการเวียนหัวเมื่อใช้มือถือ ปวดหัวเป็นประจำ อาการจะแย่ลงเมื่อก้มเล่นมือถือหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ มีอาการปวดคอหรือไหล่ ไหล่จะมีอาการปวดทั่วไปและจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้หดตัว ส่งผลให้กระดูกสันหลังโค้งและผิดรูป ผลกระทบต่อร่างกาย โรคเท็กซ์เน็ค เป็นโรคที่มีแนวโน้มว่าผู้คนจะเป็นโรคนี้กันมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟน แทปเล็ต และคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำหนักลดลง 5% ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

รู้หรือไม่ ว่าความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องรอให้ลดน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม ถึงจะมีสุขภาพดี เพราะเพียงแค่ลดน้ำหนักไม่กี่กิโลกรัมก็สร้างความแตกต่างให้ร่างกายแล้ว เนื่องจากมีงานวิจัยที่พบว่า น้ำหนักลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัมของผู้ที่มีน้ำหนัก 90 กิโลกรัม ก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ น้ำหนักลดลง 5% ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Cell Metabolism ให้ข้อมูลว่า สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคอ้วนและพยายามจะลดน้ำหนักนั้น นักวิจัยพบว่า ประโยชน์ด้านสุขภาพที่ดีที่สุดมาจากการลดน้ำหนักเพียง 5% ของน้ำหนักร่างกาย เนื่องจากนักวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย กับการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงช่วยปรับปรุงการทำงานของการเผาผลาญในตับ ไขมัน และเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การลดน้ำหนัก 5% ยังส่งผลที่ดีต่อสุขภาพของคุณ ดังนี้ ลดแรงกดดันบริเวณข้อต่อ หากคุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 4.5 กิโลกรัม (10 ปอนด์) จะเพิ่มแรงกดดันบริเวณเข่าและข้อต่อประมาณ 18 กิโลกรัม (40 ปอนด์) นอกจากนี้การมีไขมันส่วนเกินยังอาจทำให้เกิดการอักเสบ เนื่องจากเมื่อสารเคมีในร่างกายสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อเป็นเวลานาน เช่น บริเวณข้อต่อ ร่างกายอาจเกิดการอักเสบได้ การลดน้ำหนักเพียง 5% ของน้ำหนักตัวจึงสามารถช่วยลดแรงกดดันบริเวณข้อต่อได้ และถ้าคุณลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไขข้ออักเสบในตอนที่อายุมากด้วย ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เสริมสร้างภูมิคุ้มกันขณะ ทำเคมีบำบัด ด้วยวิธีง่ายๆ ได้ผลจริงเหล่านี้

การรักษาด้วยเคมีบำบัด (chemotherapy) หรือที่มักเรียกกันว่า คีโม คือการให้ยาเพื่อรักษาโรค ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะรู้จักคำนี้ว่าเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งอย่างหนึ่ง การ ทำเคมีบำบัด ถือเป็นวิธีรักษาโรคมะเร็งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้รวดเร็ว และใช้ได้กับร่างกายทุกส่วน แต่เคมีบำบัดก็มีข้อเสียคือ อาจไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอ่อนแอลงจนเสี่ยงติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ในช่วงทำเคมีบำบัด ผู้ป่วยจึงควรรักษาสุขภาพและ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ของร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยวิธีง่ายๆ เหล่านี้ ใช้ยาที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย คุณหมออาจสั่งจ่ายสารเร่งการเจริญเติบโต (Growth factors) หรือที่เรียกว่า ยา colony-stimulating factors (CSFs) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดและลดโอกาสในการติดเชื้อ หากภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอมาก อาจต้องกินยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ (Prophylactic antibiotic) ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อรา เชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย อย่างไรก็ตาม ยาแต่ละตัวอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรปรึกษาคุณหมอให้ดีก่อนตัดสินใจใช้ยาเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กินให้ดีในช่วง ทำเคมีบำบัด การกินอาหารบางชนิดเช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลสูง สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดจึงต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารและสารอาหารดังต่อไปนี้ โปรตีน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเนื้อเยื่อ ถือเป็นสารอาหารสำคัญมากสำหรับผู้รักษามะเร็ง ไขมันดี อย่างไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fat) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

บำรุงขนตา ให้ยาวหนาแบบเป็นธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวช่วยได้

น้ำมันมะพร้าว จัดเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีประโยชน์ ในด้านสุขภาพและความงามมากมาย เช่น ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ต้านเชื้อรา รวมไปถึงช่วย บำรุงขนตา ให้ยาวหนา ดกดำเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทั้งในมนุษย์และสัตว์ที่ยืนยันว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ปลอดภัยต่อผิวหนังส่วนที่บอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตา และไม่อุดตันรูขุมขนบริเวณดวงตา เหมือนผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันอื่นเป็นส่วนประกอบ จึงไม่เพียงแค่ช่วยบำรุงขนตา แต่ยังช่วยบำรุงผิวรอบดวงตาอีกด้วย Hello คุณหมอ นำเรื่องของน้ำมันมะพร้าวใช้บำรุงขนตามาฝากกัน ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อขนตา ช่วยให้ขนตาแข็งแรงขึ้น ผลการศึกษาระบุว่า น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายโมเลกุลยาวปานกลาง (Medium-Chain Triglycerides) หลายชนิด เช่น กรดลอริก (Lauric acid) กรดไมริสติก (Myristic acid) กรดคาไพรลิก (Caprylic acid) กรดคาพริก (Capric acid) ซึ่งมีประโยชน์ต่อเส้นผมและผิวพรรณ กรดไขมันเหล่านี้ช่วยให้น้ำมันมะพร้าวสามารถซึมซาบเข้าสู่เส้นผมได้ง่าย การทาน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจึงช่วยลดการสูญเสียโปรตีนในเส้นขน ทำให้ขนตาแข็งแรง ไม่ถูกทำลายเพราะการเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาและการล้างหน้า ป้องกันเชื้อโรคและรังแค หลายคนอาจไม่รู้ว่า บนขนตาของคนเรามีจุลินทรีย์ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา และสามารถเป็นรังแคได้ไม่ต่างจากหนักศีรษะ กรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณในการต่อต้านจุลินทรีย์และเชื้อรา รวมถึงป้องกันการอักเสบ การทามันมะพร้าวที่ขนตาและผิวหนังโดยรอบจึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ เช่น รากขนอักเสบ (Folliculitis) รังแคได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า มาสคาร่าสองยี่ห้อที่ใช้ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โรคกับเครื่องพ่นละอองยา ใครบ้างต้องพึ่งเครื่องพ่นละอองยา

เครื่องพ่นละอองยา (Nebulizer) ถือเป็นอุปกรณ์รักษาและระงับอาการแบบเฉียบพลันประเภทหนึ่งที่ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมักจะใช้กัน โดยในบางกรณี เครื่องพ่นละอองยานี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตของผู้ป่วยเลยก็ว่าได้ อุปกรณ์นี้คืออะไร ทำงานอย่างไร และทำไม โรคกับเครื่องพ่นละอองยา ถึงมีความสัมพันธ์และความสำคัญต่อภาวะสุขภาพของผู้ป่วยโรคต่างๆ ไปดูกัน เครื่องพ่นละอองยาคืออะไร เครื่องพ่นละอองยา เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ออกซิเจนอัดอากาศหรือใช้พลังอัลตราโซนิกเพื่อเปลี่ยนยาซึ่งอยู่ในรูปของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยเพื่อให้เหมาะต่อการสูดดมทางลมหายใจ โดยเครื่องพ่นละอองยาจะช่วยส่งอนุภาคของละอองยาที่มีฤทธิ์ในการรักษาตรงไปสู่ปอด มักใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือเพื่อการรักษาที่บ้านในกลุ่มผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ โดยสามารถบรรเทาอาการป่วยของโรคต่างๆ ได้แก่ โรคกับเครื่องพ่นละอองยา สัมพันธ์กันอย่างไร หอบหืด หอบหืดเป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของทางเดินหายใจ เมื่อทางเดินหายใจเกิดอาการบวมและคัดแน่น จะผลิตสารคัดหลั่งปริมาณมากออกมาเป็นสาเหตุของอาการหายใจลำบาก อาการหอบหืดกำเริบนั้นเกิดจากการที่อาการหอบหืดแย่ลงแบบทันทีทันใด เป็นเหตุให้ทางเดินหายใจบวมและมีสารคัดหลั่งหนาแน่นกว่าปกติ ผู้ที่มีอาการหอบหืดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องพ่นละอองยาในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม เครื่องพ่นละอองยานั้นมักใช้เพื่อการฉีดพ่นละอองยาปริมาณมากในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน เมื่อเทียบกับยาพ่น (inhaler) เครื่องพ่นละอองยานั้นอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่าสำหรับเด็กที่ยังไม่โตพอที่จะใช้ยาพ่น หรือในผู้ใหญ่ที่สามารถควบคุมอาการหอบหืดได้ยากและเกิดอาการกำเริบเฉียบพลันขั้นรุนแรงบ่อยๆ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นอาการปอดอักเสบต่อเนื่องที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ซึ่งยังไม่มีวิธีรักษาแต่สามารถควบคุมอาการเพื่อป้องกันไม่ให้ปอดถูกทำลายมากขึ้น วิธีการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้นคือการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อาการเฉพาะของโรคนี้ คืออาการผิดปกติในระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและทางเดินหายใจถูกอุดกั้น อาการทางเดินหายใจอุดกั้นเกิดจากโรคทางเดินหายใจย่อยๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น โรคถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบแบบเรื้อรัง และโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ยาก แม้ว่าผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมักถูกพิจารณาว่า ภาวะหลอดลมตีบตันที่ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพเดิมได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็มีอาการดีขึ้นได้ด้วยยาขยายหลอดลมในปริมาณมาก ดังนั้น การใช้เครื่องพ่นละอองยาจึงมักถูกนำมาใช้การรักษาอาการทางเดินหายใจกำเริบ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังแสดงอาการรุนแรงมากขึ้น หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) หลอดลมฝอยอักเสบ เกิดจากหลอดลมฝอยในปอดเกิดการบวมและอักเสบจาการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่พบบ่อยในเด็กทารกและมีแนวโน้มที่จะพัฒนากลายเป็นโรคหอบหืดได้ในภายหลัง หลอดลมฝอยอักเสบอาจถูกเข้าใจสับสนว่าเป็นอาการของหลอดลมอักเสบ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบบริเวณหลอดลม เครื่องพ่นละอองยานั้นอาจถูกนำมาใช้ในกรณีพิเศษในผู้ป่วยที่มีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา โรคหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) โรคหลอดลมโป่งพอง หรือเรียกอย่างหนึ่งว่า โรคมองคร่อ เกิดจากการมีแผลเป็นและการอักเสบบริเวณหลอดลมที่มีสารคัดหลั่งหรือเสมหะคั่งอยู่ หลอดลมจึงขยายตัวและไม่สามารถกำจัดเสมหะออกไปได้ตามปกติ จึงก่อให้ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแบคทีเรีย เครื่องพ่นละอองยาจึงถูกนำมาใช้เพื่อส่งตัวยาที่สามารถลดอาการคั่งของเสมหะ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

6 วิธีรับมือ อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังเข้ารับการรักษาโรคนี้อยู่ คุณอาจมี อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง ที่เกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างเข้ารับการรักษาและหลังรักษา ซึ่งความรู้สึกเหนื่อยล้านี้มักไม่ดีขึ้นแม้คุณได้พักหรือนอนหลับแล้วก็ตาม อาการนี้เรียกว่า อาการอ่อนเพลียจากโรคมะเร็ง และส่งผลเสียต่ออารมณ์ ความสัมพันธ์และกิจวัตรประจำวัน Hello คุณหมอ ขอนำเสนอวิธีที่จะมาช่วยในการควบคุมอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้น และปรับสภาพความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้นมาฝากกันค่ะ 6 วิธีรับมือ อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง 1. พักผ่อนให้พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป ควรจัดตารางเวลาเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ เช่น คุณอาจพักสายตาช่วงสั้น ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง แทนการพักนาน ๆ ในระหว่างวัน และต้องพยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมง แต่ระวังอย่านอนมากไป เพราะจะทำให้ระดับพลังงานของร่างกายลดลงได้ 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เวลาที่คุณรู้สึกเหนื่อยตลอดทั้งวัน การจะให้ตื่นตัวอยู่เสมออาจฟังดูยาก แต่งานวิจัยเผยว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลังงาน และบรรเทาอาการอ่อนเพลีย โดยคุณสามารถเริ่มออกกำลังกายได้ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ เหล่านี้ เริ่มจากการออกกำลังกายเบา ๆ ที่เหมาะกับระดับของคุณ เช่น การเดิน การฝึกโยคะ การว่ายน้ำ เพิ่มระดับหรือความยากตามต้องการ ฟังร่างกายตนเองให้ดี อย่าหักโหมเกินไป แต่ควรทำอย่างต่อเนื่อง จดบันทึกความก้าวหน้าและปรึกษาผู้ดูแลสุขภาพ เพื่อคำแนะนำเพิ่มเติม 3. ปรับพฤติกรรมการนอน นิสัยการนอนหลับที่ดี เป็นวิธีที่ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรง และเทคนิคต่อไปนี้จะช่วยทำให้การนอนของคุณดีขึ้น ช่วงเช้า ตื่นในเวลาเดิมทุกวัน ไม่ว่าคุณจะนอนหลับได้กี่ชั่วโมงก็ตาม ช่วงกลางวัน งีบช่วงสั้น ๆ ระหว่างเวลาเที่ยงวันและบ่ายสามโมง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน