ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting)

คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) เป็นอาการที่แสดงออกผ่านอาการไม่สบายท้อง และอยากอาเจียน (Vomit) อาการคลื่นไส้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการอาเจียน เพื่อขับสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา อาการคลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ก็ได้   คำจำกัดความคลื่นไส้และอาเจียน คืออะไร คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) เป็นอาการที่แสดงออกผ่านอาการไม่สบายท้อง และอยากอาเจียน (Vomit) อาการคลื่นไส้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการอาเจียน เพื่อขับสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา อาการคลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ก็ได้ พบบ่อยเพียงใด คลื่นไส้และอาเจียนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการคลื่นไส้และอาเจียน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาวะ อาการคลื่นไส้และอาเจียน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ กรดไหลย้อน มีไข้ เวียนศีรษะ ไม่สบายท้อง ปวดท้อง ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรเข้าพบหมอหากคุณหรือคนที่คุณรักมีอาการ ดังต่อไปนี้ อาการคลื่นไส้ที่ร่วมกับกับอาการหัวใจวาย อาการหัวใจวาย ได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกราม เหงื่อออก หรือปวดที่แขนซ้าย อาการคลื่นไส้เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง หายใจลำบากหรือมึนงง อาการคลื่นไส้เกิดตามหลังสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อาการคลื่นไส้เกิดร่วมกับภาวะขาดน้ำ เกิดอาการรับประทานหรือดื่มน้ำไม่ได้นานกว่า 12 ชั่วโมง เนื่องจากอาการคลื่นไส้ อาการคลื่นไส้เกิดนานกว่า 4 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานยาที่หาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อสังเกตว่าเกิดอาการต่าง ๆ หรือมีคำถาม ควรปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละคนแสดงอาการแตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อสอบถามถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับอาการที่เกิดขึ้น สาเหตุสาเหตุของ อาการคลื่นไส้และอาเจียน สาเหตุของ อาการคลื่นไส้และอาเจียน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เผยความลับ! สร้างความแข็งแรงให้กระดูก ง่ายนิดเดียว!

กระดูก มีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหว และกิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำ ในขณะที่บางคนมีความเสี่ยง ต่อการเกิดกระดูกเปราะบางได้มากกว่าคนอื่น แต่มีวิธีมากมาย ที่คุณสามารถช่วย สร้างความแข็งแรงให้กระดูก ได้ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาหารที่มีแคลเซียมสูงประกอบด้วย โยเกิร์ต ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ และมีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก เพื่อประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น คุณควรรับประทานควบคู่กับผักใบเขียวเข้ม ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมอยู่สูง อาหารประเภทอื่นๆ ที่เสริมสร้างกระดูก ได้แก่ เต้าหู้ และหากคุณแพ้ผลิตภัณฑ์จากนม ลองรับประทานถั่วเหลือง หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตรายต่อกระดูก อาหารประเภทนี้ ได้แก่ กาแฟ แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ คาเฟอีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพบางประการ แต่ไม่ส่งผลดีต่อกระดูก การดื่มคาเฟอีนมากเกินไป รบกวนประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย การศึกษาหนึ่งเผยว่า การดื่มกาแฟมากกว่าวันละสองแก้ว เร่งการสูญเสียมวลกระดูก ในผู้ที่ไม่ได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ ผลของการดื่มแอลกอฮอล์ คล้ายกับการดื่มกาแฟ คือทำให้สูญเสียมวลกระดูก เนื่องจากแอลกอฮอล์รบกวนการดูดซึมวิตามินดี เดินออกกำลัง ลองออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งเหยาะหรือเดิน หรือแอโรบิค อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรออกกำลังกายแบบเข้มข้น พร้อมกับการทำกิจกรรมแบบเบาๆ สัปดาห์ละ 2-3ครั้ง ยกน้ำหนัก การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน จำเป็นต้องใช้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ที่นอกจากจะช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ยังเสริมสร้างกระดูกด้วย  อุปกรณ์สำหรับการออกกำลังประเภทนี้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แผลที่ใกล้หาย ทำไมถึงคัน-คั้น-คัน?!

นี่เป็นสิ่งที่แทบทุกคนต่างต้องเคยเจอ เมื่อ แผลที่ใกล้หาย เกิดอาการคันขึ้นมาจนแทบห้ามใจให้เกาไม่ไหว ทำไมจึงเกิดอาการคันเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อแผลใกล้หาย? แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่มีหลายทฤษฎีที่อาจอธิบายได้ดังนี้ กระบวนการของการสมานแผล ก่อนจะหาคำตอบของคำถามว่า ทำไมจึงเกิดอาการคันเมื่อแผลใกล้หาย คุณควรทำความเข้าใจกระบวนการเยียวยาตนเองของแผล ผิวหนังเป็นปราการด่านแรก ในการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เปรียบเหมือนระบบรักษาความปลอดภัย เมื่อบริเวณรอบๆ ถูกรุกราน จะเกิดสัญญาณเตือน ทำให้ร่างกายทำปฏิกิริยาบางอย่าง และเริ่มกระบวนการเยียวยา สี่ขั้นตอนในกระบวนการของการสมานแผล ขั้นตอนแรกคือ การห้ามเลือด (hemostasis) หลังจากที่เส้นเลือดบีบแคบลง ทำให้เลือดไหลช้าลง เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกัน และเกิดเป็นลิ่มเลือดบริเวณบาดแผล การแข็งตัวของเลือดนี้เกิดขึ้นเมื่อเส้นใยในเลือดหรือไฟบริน (Fibrin) สร้างตาข่ายเส้นใย และดักเกล็ดเลือดกับเซลล์เม็ดเลือดแดงเอาไว้เพื่อสร้างเป็นลิ่มเลือด ขั้นต่อไปคือขั้นอาการอักเสบ เกิดขึ้นในระหว่างที่ร่างกายเริ่มทำความสะอาดบาดแผล สิ่งสกปรกต่างๆ ถูกกำจัดออกไปจากบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ระยะเพิ่มจำนวน คือขั้นต่อมาที่ร่างกายเริ่มสร้างเส้นเลือดใหม่และผิวหนังใหม่ ขั้นสุดท้าย คือขั้นของปรับตัวและฟื้นฟู เซลล์ที่ถูกทำลายจะได้รับการซ่อมแซม รวมถึงเซลล์ประสาทด้วย ทำไมจึงเกิดอาการคันเมื่อแผลใกล้หาย มีหลักการมากมายที่สามารถอธิบายการเกิดสะเก็ดแผลที่ทำให้คัน ในสะเก็ดแผลมีฮีสตามีน ที่ทำให้ผิวหนังรอบบาดแผลระคายเคือง แพทย์บางท่านคิดว่าเป็นกลไกของร่างกาย ในการกำจัดสะเก็ดแผลที่ไม่ต้องการอีกต่อไป เมื่อเกิดอาการคัน คุณมักเกา และสะเก็ดจะหลุดออก แต่ก็มีข้อบกพร่องในทฤษฎีนี้ เนื่องจากในบางครั้งอาการคันที่สะเก็ดแผล เกิดขึ้นก่อนที่แผลจะสมานเสียอีก ทฤษฎีที่สองเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกทำลาย เมื่อเกิดแผลที่ผิวหนัง เมื่อร่างกายเริ่มเยียวยาตนเอง เส้นประสาทจะไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ เมื่อแผลเริ่มหาย สัญญาณต่างๆ อาจส่งผลกระทบ และสมองได้รับสัญญาณผิดประเภท จึงตีความว่าเป็นอาการคัน และทำให้ร่างกายต้องเกาสะเก็ดที่เกิดขึ้น อีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ ในขณะที่แผลเริ่มสมาน สะเก็ดแผลจะดึงรั้งผิวหนังใหม่ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตับของเรา ทำงานอย่างไรและสำคัญขนาดไหน?

ตับ ทำหน้าที่ในการเผาผลาญมากมาย มีน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัมและเป็นหนึ่งในอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มาทำความรู้จักกับหน้าที่และความสำคัญของ ตับของเรา ดังต่อไปนี้ ตำแหน่งของตับ ตำแหน่งของตับอยู่บริเวณด้านขวาบนของช่องท้อง ใต้กระบังลม กินพื้นที่ส่วนใหญ่ใต้ซี่โครงและช่องท้องส่วนซ้ายบน เมื่อมองจากด้านนอก กลีบตับฝั่งขวาที่ใหญ่กว่า จะต่างจากกลีบตับข้างซ้ายที่เล็กกว่า ทั้งสองส่วนแบ่งด้วยกลุ่มเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่ยึดตับไว้กับโพรงช่องท้อง ถุงน้ำดีซึ่งเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำดี อยู่ในโพรงเล็กๆ ภายในตับ หน้าที่ของตับ ตับทำหน้าที่ที่สำคัญมากมาย เช่น ขจัดสารที่พิษที่เป็นอันตรายในกระแสเลือด รวมถึง สารเสพติดและแอลกอฮอล์ ย่อยไขมันอิ่มตัวและผลิตคอเลสเตอรอล ผลิตโปรตีนเลือดที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว การส่งออกซิเจน และหน้าที่ระบบภูมิคุ้มกัน เก็บน้ำตาล (กลูโคส) ในรูปแบบของไกลโคเจน เก็บสารอาหารส่วนเกิน และส่งสารอาหารบางชนิดเข้าสู่กระแสเลือด ผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการย่อยอาหาร การทำงานของตับ เนื้อเยื่อของตับเกิดจากเซลล์ตับเล็กจำนวนมากที่เรียกว่า โลบูล (lobules) ท่อเล็กๆ จำนวนมากนำพาเลือดและน้ำดีไหลผ่านในเซลล์ตับ เลือดที่มาจากอวัยวะย่อยอาหารไหลผ่านเส้นเลือดมาสู่ตับ นำสารอาหาร ยา และสารพิษต่างๆ มาสู่ตับ สารเหล่านี้จะผ่านกระบวนการ กักเก็บ ฟอก และส่งกลับไปยังกระแสเลือด หรือไปยังลำไส้ใหญ่ เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกาย ตับจึงสามารถขจัดแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือด และสารตกค้างที่เกิดจากการย่อยของยา ตับทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินเค ในการผลิตโปรตีนที่สำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด เป็นหนึ่งในอวัยวะที่ย่อยสลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่า ตับกับกระบวนการเผาผลาญ ตับทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย โดยในการเผาผลาญไขมันนั้น เซลล์ตับทำหน้าที่ย่อยไขมันและสร้างพลังงาน เซลล์เหล่านี้ยังหลั่งน้ำดีประมาณ 800 ถึง 1,000 มิลลิลิตรต่อวัน ของเหลวสีเหลืองน้ำตาล หรือเขียวมะกอก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไต อวัยวะสุดพิเศษของร่างกาย ที่คุณอาจยังรู้จักไม่ดีพอ

ทุกคนทราบดีว่าบางอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือคุณจำเป็นต้องมีสมอง หัวใจ ปอด แล้วก็ ไต เมื่อพูดถึงไต แม้ว่ารูปไตจะไม่ปรากฏอยู่บนการ์ดวาเลนไทน์ แต่ไตก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหัวใจ ในการมีชีวิตอยู่ คุณจำเป็นต้องมีไต ปกติแล้ว ไตมีสองข้าง หากคุณเคยเห็นถั่วแดง คุณอาจพอจินตนาการออกว่าไตมีรูปร่างอย่างไร ไตแต่ละข้างมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว (ประมาณ 13 เซนติเมตร) และกว้างประมาณ 3 นิ้ว (ประมาณ 8 เซนติเมตร) หรือขนาดเทียบเท่าเมาส์ของคอมพิวเตอร์ ในการคลำหาไต ให้เอามือเท้าเอว และเลื่อนมือขึ้นมาจนรู้สึกถึงกระดูกซี่โครง และหากใช้นิ้วหัวแม่มือไปคลำทางด้านหลัง บริเวณที่นิ้วหัวแม่มือคลำเจอ คือบริเวณของไต คุณไม่สามารถคลำเจอไตได้ แต่ไตอยู่บริเวณดังกล่าว คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพิเศษของไตได้ การทำความสะอาด หน้าที่หลักของไตคือการกรองของเสียออกจากเลือด แล้วของเสียเข้าไปอยู่ในเลือกของเราได้อย่างไรกันล่ะ? เลือดทำหน้าที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปทั่วร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายเพื่อย่อยสลายสารอาหาร ของเสียบางชนิดเป็นผลมาจากปฏิกิริยาเหล่านี้ บางชนิดก็เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ เนื่องจากมีปริมาณที่เพียงพอแล้ว ของเสียจำเป็นต้องถูกขับออกไป และนี่คือเหตุผลที่ต้องมีไตเพื่อทำหน้าที่นี้ ขั้นแรก เลือดจะถูกส่งไปยังไตโดยหลอดเลือดแดงไต ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายโดยเฉลี่ย คือ หนึ่งแกลลอนถึงหนึ่งแกลลอนครึ่ง ไตกรองเลือดเหล่านั้นในปริมาณมากถึง 400 ครั้งต่อวัน ตัวกรองในไตที่มีมากกว่า 1 ล้านแหน่วยทำหน้าที่ขจัดของเสีย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

มาร์แฟนซินโดรม (Marfan Syndrome)

มาร์แฟนซินโดรม เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ใช้ในการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เนื้อเยื่อเหล่านี้อ่อนแรง ส่งผลถึงปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้ คำจำกัดความ มาร์แฟนซินโดรมคืออะไร มาร์แฟนซินโดรม (Marfan Syndrome) หรือกลุ่มอาการมาร์แฟน เป็นภาวะรุนแรงที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เนื้อเยื่อเหล่านี้อ่อนแรง ส่งผลถึงปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้ แม้ว่าอาการนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาด ความก้าวหน้าทางการแพทย์สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสมีชีวิตอยู่ตามปกติได้ และการวินิจฉัยที่เร็วและแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงเฉพาะต่อผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงบุคคลที่มีอาการที่เกี่ยวข้อง มาร์แฟนซินโดรมเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน กล่าวคือ เนื้อเยื่อที่พยุงและค้ำจุนอวัยวะและโครงสร้างต่างๆ ของร่างกาย สำหรับผู้ป่วยโรคมาร์แฟนซินโดรม เนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะไม่มีแรงเนื่องจากมีการสร้างสารเคมีที่ผิดปกติเกิดขึ้น มาร์แฟนซินโดรมเป็นโรคที่มักส่งผลกระทบต่อหัวใจ ตา หลอดเลือด และกระดูก มาร์แฟนซินโดรมพบบ่อยแค่ไหน มาร์แฟนซินโดรมเป็นโรคที่พบได้บ่อย ใน 10,000 ถึง 20,000 คน จะพบคนเป็นโรคนี้ 1 คน และเกิดขึ้นได้กับคนทุกเชื้อชาติ อาการ อาการของมาร์แฟนซินโดรม อาการของโรคมาร์แฟนซินโดรมมีมากมาย แม้แต่กับคนในครอบครัวเดียวกัน บางคนอาจเกิดอาการเล็กน้อย แต่บางคนอาจมีอาการที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยส่วนใหญ่ อาการของโรคมาร์แฟนซินโดรมมักรุนแรงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น อาการของโรคมาร์แฟนซินโดรมมีดังนี้ มีรูปร่างสูงและผอม แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้ายาวผิดปกติ กระดูกหน้าอกผิดรูป อาจนูนออกมาด้านหน้าหรือเว้าเข้าไปในร่างกาย เพดานปากยกตัวสูงกว่าปกติ ฟันเก มีเสียงฟู่ของหัวใจ สายตาสั้นลงอย่างมาก กระดูกสันหลังโค้งผิดปกติ เท้าแบน เนื่องจากโรคมาร์แฟนซินโดรมส่งผลกระทบต่ออวัยวะของร่างกายได้ทุกส่วน จึงอาจเกิดปัญหาได้หลากหลาย ปัญหาที่อันตรายที่สุดของมาร์แฟนซินโดรม คือปัญหาทางหัวใจและหลอดเลือด เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่บกพร่อง ทำให้เส้นเลือดใหญ่ที่เรียกว่าเอออร์ตาร์ (aorta) ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเกิดความบกพร่อง โรคหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตาโป่งพอง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โบทูลิซึม (Botulism)

โบทูลิซึม เป็นโรคที่เกิดจากชีวพิษหรือท็อกซิน ที่เรียกว่า “คลอสทริเดียม” โบทูลินัม มี 3 รูปแบบ ได้แก่ อาหารเป็นพิษ โบทูลิซึมจากแผล และโบทูลิซึมในเด็กทารก คำจำกัดความโบทูลิซึม คืออะไร โรคโบทูลิซึม (Botulism) เป็นโรคที่เกิดจากชีวพิษหรือท็อกซิน ที่เรียกว่า คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งผลิตท็อกซิน 7 ชนิด (นักวิทยาศาสตร์เรียกตั้งแต่ A ถึง G) อย่างไรก็ตาม ท็อกซินชนิด A, B, E, และ F มีผลทำให้เกิดโรคในร่างกายมนุษย์ รูปแบบของโรคโบทูลิซึมมี 3 รูปแบบ ได้แก่ อาหารเป็นพิษ โบทูลิซึมจากแผล และโบทูลิซึมในเด็กทารก โบทูลิซึม พบบ่อยแค่ไหน ทุกคนมีแนวโน้มจะเป็นโรคโบทูลิซึม แต่โรคนี้ไม่ติดเชื้อจากคนสู่คน คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงในการเป็นโรคโบทูลิซึมได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สัญญาณและอาการของโรคโบทูลิซึมอาการของโรคโบทูลิซึมมักเกิดขึ้น 12 ถึง 36 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อโรค โดยประมาณร้อยละ 5 ถึง 10 ของโรคโบทูลึซึมเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเริ่มต้นของโรคโบทูลิซึมประกอบด้วย หนังตาตก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน ปากแห้ง พูดไม่ชัด กลืนอาหารลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง เมื่อไหร่ที่ควรพบคุณหมอ ควรเข้าพบหมอเพื่อปรึกษาทันที หากเกิดอาการโรคโบทูลิซึม […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

น้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าระดับปกติ พบมากในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับอินซูลินในการรักษาหรืออยู่ในระหว่างการรักษา หรืออาจเป็นผลข้างเคียงของโรคอื่นๆ [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ น้ำตาลในเลือดต่ำคืออะไร น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าระดับปกติ น้ำตาลกลูโคส เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกายที่ได้จากอาหาร คาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารประเภทหลักที่เป็นแหล่งกลูโคส ข้าว มันฝรั่ง ขนมปัง ซีเรียล นม ผลไม้ และของหวาน ล้วนเป็นอาหารประเภทที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตทั้งสิ้น ตับอ่อน เป็นอวัยวะที่สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด โดยผลิตอินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เซลล์นำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดอีกด้วย ฮอร์โมนอีกหนึ่งประเภทที่ทำหน้าที่หลักในการควบคุมปริมาณกลูโคสในเลือดคือ กลูคากอน (glucagon) ซึ่งทำให้ปริมาณกลูโคสในเลือดสูงขึ้น เมื่อตับอ่อนผลิตฮอร์โมนกลูคากอนไม่เพียงพอ ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำพบบ่อยแค่ไหน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำพบได้ไม่บ่อยในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 10 ปี แต่พบมากในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับอินซูลินในการรักษาหรืออยู่ในระหว่างการรักษา โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจเป็นผลข้างเคียงของโรคอื่นๆ ภาวะขาดฮอร์โมนหรือจากเนื้องอกในร่างกาย อาการ อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ประกอบด้วย อาการสั่น เวียนศีรษะ ปวดหัว เหงื่อออกบ่อย หิว หัวใจเต้นเร็ว และสีผิวซีด ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ หรืออาจทำให้เกิดอาการร้องโวยวายหรือฝันร้ายได้ เนื่องจากระดับน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจึงมักเหนื่อยหรือไม่สบายบ่อย ระดับของน้ำตาลในเลือดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการเป็นลมหรือชักได้ อาจมีอาการหรือสัญญาณอื่นๆ ของโรคที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ ควรปรึกษาแพทย์ ควรพบหมอเมื่อใด ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและระยะการดำเนินของอาการไม่นาน คุณควรพบหมอทันทีหากเกิดอาการ ดังนี้ เกิดอาการที่อาจเป็นอาการของภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำและคุณไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเบาหวานและมีอาการเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดเนื่องจากภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นโรคเบาหวาน และการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ได้ผล คุณควรแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ หากคุณเป็นโรคเบาหวาน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำงานเป็นกะ กับสารพันปัญหาสุขภาพที่ต้องพร้อมรับมือ

บางอาชีพ เช่น หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์ ผู้รักษาความปลอดภัย พนักงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ต้องทำงานเป็นช่วงเวลา หรือ ทำงานเป็นกะ ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนหรือเวลาทำงานที่แน่นอน ซึ่งทำให้ร่างกายไม่ได้ทำงานตามนาฬิกาชีวิต ที่เป็นวงจรเวลาตามธรรมชาติ จึงสามารถนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพต่างๆ มากมาย ที่ควรต้องพร้อมรับมือ! ปัญหาสุขภาพระยะสั้น ไม่ใช่แค่ผู้ที่ทำงานเป็นกะ แต่ผู้ที่ต้องทำงานดึกติดต่อกันหลายคน ผู้ที่ต้องเดินทางผ่านหลายโซนเวลา เป็นต้น ก็สามารถประสบกับปัญหาสุขภาพระยะสั้นได้ ดังนี้ ร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา เช่น ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก กรดไหลย้อน เสี่ยงได้รับบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุ นอนไม่หลับ บั่นทอนคุณภาพชีวิต รู้สึกไม่สดใส หรือไม่สบายตลอดเวลา ปัญหาสุขภาพระยะยาว หากต้องทำงานเป็นกะ หรือทำงานในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนติดต่อกันเป็นเวลานานๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคและปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้ดังนี้ โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง งานศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ที่ทำงานกะดึกนานเกิน 15 ปี จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 5% สำหรับการทำงานในกะดึกครบทุก 5 ปี โรคเบาหวาน การศึกษาวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า ผู้ที่ทำงานควบสองกะ หรือทำงานวันละ 16 ชั่วโมงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าผู้ที่ทำงานในตอนกลางวันถึง 50% โรคอ้วน การนอนไม่เป็นเวลา มีปัญหาการกิน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย สามารถส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวน และนำไปสู่โรคอ้วนได้ เนื่องจากร่างกายคนเรามีฮอร์โมนตัวหนึ่งที่เรียกว่า […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

มลพิษทางอากาศ ไม่ใช่แค่ปอดพัง แต่ทำร้ายยันหัวใจและหลอดเลือด

มลพิษ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ที่ส่งผลเสียต่อทั้งสภาพแวดล้อม การดำรงชีวิต และสุขภาพของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มลพิษทางอากาศ เพราะเราต้องหายใจเอาอากาศเข้าร่างกายทุกวัน เมื่ออากาศเป็นพิษ ฝุ่นละอองปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ นั่นเท่ากับว่า เราสูดเอาอากาศเป็นพิษเข้าร่างกาย มลพิษทางอากาศที่เราสูดดมเข้าไปนั้น ไม่ได้ส่งผลเสียกับแค่อวัยวะ หรือระบบใดระบบหนึ่งในร่างกาย แต่ทำร้ายร่างกายเราได้แทบทุกส่วน ยิ่งหากเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก อย่างฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5 (PM2.5) ที่เล่นงานเราหนักขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีก มลพิษทางอากาศ คืออะไร มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) คือ ภาวะอากาศที่มีฝุ่นละออง (Particulate Matter) สารเคมี สารประกอบ โมเลกุลชีวภาพ หรือวัตถุที่เป็นพิษเจือปนอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ พืช และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือวัสดุต่างๆ สารเจือปนในอากาศ หรือมลพิษทางอากาศที่พบอาจอยู่ในรูปของก๊าซ หยดของเหลว หรืออนุภาคของแข็ง มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด ไฟไหม้ป่า และเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ฝุ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะ การสูบบุหรี่ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศมากที่สุดก็คือ การใช้ยานพาหนะ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน