ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ท้องผูกหลังผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่คุณรับมือได้

หลายคนอาจทราบดีอยู่แล้วว่าการผ่าตัดรักษาโรคอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการได้ เช่น บริเวณโดยรอบแผลผ่าตัดบวม มีรอยช้ำบริเวณแผลผ่าตัด มีอาการชา เลือดออกมาก ติดเชื้อ มีภาวะบวมน้ำเหลือง อวัยวะล้มเหลวหรือทำงานผิดปกติ แต่ยังมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัดอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาจคาดไม่ถึง นั่นก็คือ อาการท้องผูกหลังผ่าตัด ว่าแต่การผ่าตัดทำให้ท้องผูกได้อย่างไร และเราจะรับมือกับอาการ ท้องผูกหลังผ่าตัด ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ลองไปหาคำตอบจากบทความที่ Hello คุณหมอ นำมาฝากกันวันนี้ได้เลย [embed-health-tool-heart-rate] สาเหตุที่ทำให้เกิด อาการท้องผูกหลังผ่าตัด แม้อาการท้องผูกหลังผ่าตัดจะเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ปัญหานี้พบได้บ่อยมากกับผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาโรค แม้แต่ผู้ที่ขับถ่ายอุจจาระเป็นปกติในช่วงก่อนผ่าตัด ก็สามารถเกิดอาการท้องผูกหลังผ่าตัดได้เช่นกัน อาการท้องผูกหลังผ่าตัด เกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องผูกหลังผ่าตัด เพราะผลข้างเคียงจากยา ยาระงับความรู้สึกที่ได้รับก่อนผ่าตัด และยาที่แพทย์สั่งให้คุณใช้หลังผ่าตัด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคลายกล้ามเนื้อ สามารถทำให้คุณท้องผูกหลังผ่าตัดได้ การกินอาหารเปลี่ยนไป ส่งผลให้ท้องผูก แพทย์มักจะสั่งให้ผู้ป่วยงดน้ำงดอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด หรือควบคุมอาหารหลังผ่าตัด ข้อปฏิบัติเหล่านี้อาจส่งผลให้คุณได้รับน้ำและอาหารน้อยเกินควร จนส่งผลต่อระบบขับถ่าย และทำให้ท้องผูกได้ในที่สุด ท้องผูกเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย ในช่วงที่ต้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ไม่ว่าจะที่โรงพยาบาลหรือที่บ้าน ผู้ป่วยมักจะเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง และไม่สามารถออกกำลังกายได้ ซึ่งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้มักส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ช้าลง และทำให้คุณถ่ายอุจจาระยากขึ้น ผลข้างเคียงจากอาการ ท้องผูกหลังผ่าตัด หากคุณมี อาการท้องผูกหลังผ่าตัด แล้วปล่อยไว้ไม่รักษา นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดท้อง ไม่สบายตัว และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ด้วย แผลผ่าตัดปริ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ของขวัญเพื่อสุขภาพ ไอเดียเก๋ ๆ รับเทศกาลคริสต์มาสและวันปีใหม่

เสียงเพลงคริสต์มาสและเพลงปีใหม่เริ่มบรรเลงกันตั้งแต่ต้นเดือนแบบนี้ ก็เป็นสัญญาณแล้วว่าช่วงเวลาแห่งการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้แวะเวียนเข้ามาทักทายเราอีกครั้งแล้ว ถือเป็นเทศกาลที่หลาย ๆ คนรอคอยที่จะได้ตอบรับและส่งต่อความสุขไปยังผู้อื่น ผ่านของขวัญ ของกำนัลต่าง ๆ แต่ว่าการให้ของขวัญแบบเดิม ๆ อาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แถมของบางอย่างที่ได้รับมาปีที่แล้ว ปีนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลย จะดีกว่าไหมถ้าเราจะให้ของขวัญที่มีความหมายดี ๆ ใช้งานได้จริง และดีต่อสุขภาพของผู้รับด้วย Hello คุณหมอ ขอเสนอ 8 ไอเดีย ของขวัญเพื่อสุขภาพ ต้อนรับ วันคริสต์มาสและวันปีใหม่ เป็นแนวทางให้คุณผู้อ่านได้นำไปปรับใช้ แต่จะมีไอเดียอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย 8 ไอเดีย ของขวัญเพื่อสุขภาพ รับเทศกาลคริสต์มาสและวันปีใหม่ 1.ถั่ว หนึ่งในของขวัญ วันคริสต์มาสและวันปีใหม่ ที่ง่ายและได้ประโยชน์ต่อสุขภาพแบบไม่ต้องคิดมากเลยก็คือการให้ธัญพืชเป็นของขวัญ โดยเฉพาะธัญพืชจำพวกถั่ว ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ เพราะอัดแน่นไปด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์ วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด จากผลการวิจัยพบว่า การรับประทานถั่วมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น คริสต์มาสและปีใหม่นี้ ลองเลือกถั่วดี ๆ ให้คนที่คุณรักกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย หรือพิสตาชิโอ จะแบบอบแห้ง หรือแบบเคลือบช็อกโกแลตก็ได้เหมือนกัน แต่ให้ดีควรเลือกแบบที่ไม่ปรุงรสจะดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยงกรณีถั่วปรุงรสด้วยน้ำตาลหรือเกลือ ซึ่งเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

5 คุณประโยชน์จาก กาแฟดำ หอม ละมุน แถมดีต่อสุขภาพ

กาแฟดำ (Black Coffee) ถึงแม้จะมีรสชาติที่ขมและฝาด แต่มันก็มีเสน่ห์จนทำให้หลายคนติดอกติดใจ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย บทความนี้ Hello คุณหมอ จึงเอาใจคอกาแฟ ด้วยการนำประโยชน์ของกาแฟดำ มาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น  เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมละคะว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง  เอาล่ะ! เรามาดูไปพร้อมกันเลย ทำความรู้จัก กาแฟดำ  (Black Coffee)               กาแฟดำ มีรสชาติและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ป้องกันตับ ส่งสริมการลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากาแฟดำจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพเพียงใด แต่เราควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน เราไม่ควรรับประทานกาแฟมากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณเป็นคนติดกาแฟ ควรจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟไม่ให้เกิน 4 ถ้วย ต่อวัน เพราะหากดื่มมากจนเกินไป ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน โภชนาการ กาแฟดำปริมาณ 8 ออนซ์ มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการ ดังต่อไปนี้ พลังงาน 2 แคลอรี่ โปรตีน 0 กรัม ไขมัน 0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม ไฟเบอร์ 0 กรัม น้ำตาล 0 กรัม โซเดียม (Sodium) 5 มิลลิกรัม   5 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โพลีฟีนอล สารประกอบจากธรรมชาติ ที่ดีต่อสุขภาพ

โพลีฟีนอล (Polyphenol) เป็นสารประกอบเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่พบในพืช ผักและผลไม้  มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ  เรามาดูกันค่ะว่า สารประกอบโพลีฟีนอลนั้นมีอยู่ในพืชผักชนิดไหนบ้าง และจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้คุณค่ะ ทำความรู้จัก สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) โพลีฟีนอล (Polyphenol) เป็นสารประกอบเคมีประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่พบใน พืช ผัก ผลไม้ โดยรวมสารเคมีเหล่านี้เรียกว่า สารพฤกษเคมี (Phytochemical) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เป็นสารประอบของโพลีฟีนอลประมาณ 60% พบได้ในผลไม้แอปเปิ้ล หัวหอม กะหล่ำปลีแดง เป็นต้น กรดฟีนอลิก (Phenolic acid) เป็นสารประอบของโพลีฟีนอลประมาณ 30% พบได้ในผัก ผลไม้ ธัญพืช โพลีฟีนอลเอไมด์ (Polyphenolic amides) ส่วนมากพบได้บ่อยใน พริก ข้าวโอ๊ต โพลีฟีนอล อื่น ๆ (Other polyphenols) ส่วนมากพบในเมล็ดธัญพืช เมล็ดงา อาหารและผักผลไม้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ผลข้างเคียงของโปรไบโอติก ที่อาจเกิดขึ้นได้

โปรไบโอติก เป็นแบคทีเรียและยีสต์ที่มีชีวิต ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อบริโภคเข้าไปปริมาณที่มากพอ โปรไบโอติกสามารถอยู่ได้ทั้งในรูปแบบของอาหารเสริมและอาหารหมัก ดอง เช่น โยเกิร์ต ผักดอง กิมจิ ซึ่งอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้ แต่การรับประทานโปรไบโอติกอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปดูว่า ผลข้างเคียงของโปรไบโอติก ต่อสุขภาพนั้นมีอะไรบ้าง [embed-health-tool-bmi] โปรไบโอติกดีต่อร่างกายอย่างไร โปรไบโอติก (Probiotic) มีส่วนช่วยลดแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้ของคนเราได้ แบคทีเรียชนิดไม่ดีลำไส้มักจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือเกิดการอักเสบได้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า โปรไบโอติกมีส่วนช่วยในด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนี้ บรรเทาอาการท้องเสีย บรรเทาลำไส้อักเสบเรื้อรัง บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคอ้วน โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ เพิ่มความต้านทานของอินซูลิน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ผลข้างเคียงของโปรไบโอติก ต่อร่างกาย ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร สำหรับบางคนที่รับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เนื่องจากจุลินทรีย์ในลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้แบคทีเรียผลิตแก๊สมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียได้ แต่อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงเหล่านี้ก็จะหายไปเองในเวลาไม่กี่วัน แต่หากยังมีอาการติดต่อกันนานกว่านั้นควรเข้าปรึกษาคุณหมอ ผลข้างเคียงต่อผิวหนัง การรับประทานโปรไบโอติกแล้วทำให้เกิดอาการคัน ผื่นแดงบริเวณผิวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ยาก แต่อาการเหล่าก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากมีผื่นคันอย่างรุนแรงควรตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อหาสารก่อภูมิแพ้ แต่หากอาการเหล่านั้นยังคงรุนแรงไม่เบาลง ควรไปปรึกษาแพทย์ในทันที ทำให้เกิดอาการปวดหัว อาหารที่อุดมด้วยโปรไบโอติกบางอย่าง เช่น โยเกิร์ต กะหล่ำปลีดองและกิมจิ มักจะมีสารประกอบที่ชื่อว่า เอมีน (Amines) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การกลืนแร่ เพื่อรักษาอาการไทรอยด์เป็นพิษ

การกลืนแร่ เป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งแพทย์จะให้เราดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของไอโอดีน ก่อนการทำการบำบัดก็จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการบำบัด หลังทำการบำบัดก็มีข้อควรระวังที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัย วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการบำบัดด้วยการกลืนแร่มาให้อ่านกันค่ะ [embed-health-tool-bmr] การกลืนแร่ คืออะไร การกลืนแร่เป็นการบำบัดด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน I-131 (Radioiodine I-131) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โดยผู้ป่วยจะต้องกลืนแร่ไอโอดี I-131 ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบน้ำหรือแคปซูล ซึ่งสารนี้จะเข้าไปทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ ฝ่อลงเรื่อย ๆ  จนมีขนาดเล็กลง เพื่อให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนได้ลดลง การเตรียมตัวเมื่อต้องทำการ กลืนแร่ การเตรียมตัวสำหรับผู้ที่ต้องการบำบัดด้วยการกลืนแร่ จะต้องมีการเตรียมตัว ดังนี้ ก่อนการบำบัด งดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืน งดการรับประทานยาต้านไทรอยด์ก่อนการบำบัดอย่างน้อย 3-7 วัน (ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของคุณหมอ) หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนสูง 2 สัปดาห์ งดการตรวจที่ใช้สารทึบรังสี 1 เดือน หลังทำการบำบัด หลังจากที่ทำการบำบัดด้วยการกลืนแร่เรียบร้อยแล้ว สามารถกลับบ้านได้ในทันที แต่ควรระมัดระวังไม่อยู่ใกล้ผู้อื่น หรืออยู่ในที่ชุมชนในช่วง 2-3 วันหลังทำการบำบัด โดนเฉพาะไม่ควรอยู่ใกล้เด็กและหญิงตั้งครรภ์ เพราะร่างกายยังดูดซึมแร่ที่กลืนลงไปได้อย่างไม่เต็มที่ ทำให้แร่นั้นสามารถระบายออกมาตามสารคัดหลั่งได้ เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ น้ำลาย น้ำตา และสารคัดหลั่งอื่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้วินิจฉัยโรค กับความรู้พื้นฐานที่คุณควรรู้ไว้

อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้วินิจฉัยโรค สามารถวัดและสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของสุขภาพผู้ป่วย เพื่อให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยได้ ซึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง บางอย่างคุณอาจจะเคยเห็นแต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร และเอาไว้ใช้ทำอะไร ดังนั้น ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำเรื่องนี้มาฝากกัน อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้วินิจฉัยโรค โดยทั่วไป มีอะไรบ้าง เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มีไว้เพื่อให้แพทย์ใช้ในการวัดและสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของสุขภาพผู้ป่วย เพื่อให้ทำการวินิจฉัยได้ เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว แพทย์สามารถกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้วินิจฉัยโรค พบได้ในศูนย์ดูแลผู้ป่วยนอก แผนกกุมารเวชศาสตร์และในห้องฉุกเฉิน ทั้งยังพบได้ในศูนย์ดูแลผู้ป่วยใน ห้องผู้ป่วย และห้องดูแลผู้ป่วยหนัก (Intensive care units; ICU) โดย อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้วินิจฉัยโรค โดยทั่วไป มีดังนี้ สเต็ตโทสโคป (Stethoscope) สเต็ตโทสโคป หรือรู้จักกันในชื่อ เครื่องตรวจฟังของแพทย์ เป็นเครื่องมือวินิจฉัยทางการแพทย์ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด มันใช้ในการฟังเสียงหัวใจ ปอด การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดง โดยทั่วไปสเต็ตโทสโคปช่วยในการวินิจฉัย โรคปอดอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ ใจสั่น โรคหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ นอกจากนั้น สเต็ตโทสโคปยังใช้งานร่วมกับเครื่องวัดความดันโลหิต (Sphygmomanometer) เพื่อวัดความดันโลหิต สเต็ตโทสโคปแบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียง เมื่อฟังเสียงหัวใจที่มีเสียงต่ำและเสียงปอดที่มีเสียงแหลมสูง และยังสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพื่อบันทึกเสียงได้ด้วย เครื่อง วัดความดันของโลหิต (Sphygmomanometer) หลักฐานทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่าการวัดความดันโลหิตมีความสำคัญในการกำหนดสุขภาพโดยรวมของบุคคล มันยังสามารถช่วยวินิจฉัย โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ การแข็งตัวของหลอดเลือด คราบจุลินทรีย์ ความดันโลหิตสูงเชื่อมโยงกับโรคต่าง ๆ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์อยู่ไม่กี่อย่างที่ใช้ในการวัดความดันโลหิต เครื่องวัดความดันของโลหิตแบบแมนนวลถือเป็นเครื่องวัดที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วัคซีนป้องกันโรค กับข้อมูลสำคัญที่ควรรู้

วัคซีน เป็นสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ โดยวัคซีนแต่ละตัวอาจทำหน้าที่ในการป้องกันโรคที่แตกต่างกันออกไป โดย วัคซีนป้องกันโรค สามารถฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสตัวอักเสบเอ ไวรัสตับอีกเสบบี อีสุกอีใส โปลิโอ ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งอาจช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ด้วย วัคซีนป้องกันโรค คืออะไร วัคซีน (Vaccine) เป็นสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ โดยวัคซีนจะทำงานร่วมกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้นกันให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้ว วัคซีนป้องกันโรค อาจทำมาจากเชื้อโรคซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ทำจากเชื้อโรคที่ตายแล้ว และทำจากเชื้อโรคที่อ่อนแอ ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้น ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ทั้งยังมีความสำคัญในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดต่อได้อีกด้วย โดยในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคที่คุกความชีวิตมากกว่า 20 โรค เช่น ไวรัสตัวอักเสบเอ ไวรัสตับอีกเสบบี อีสุกอีใส โปลิโอ ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจช่วยให้คนทุกเพศ ทุกวัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยสดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ได้ถึง 2-3 ล้านคนในทุกปี 9 วัคซีนป้องกันโรคที่พบบ่อย การฉีดวัคซีน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ กับ 7 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำแล้วดี มีความสุข

หนึ่งปี (กำลังจะ) ผ่านไป ไวเหมือนโกหก เมื่อมานั่งนึกย้อนคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดทั้งปี ซึ่งก็มีทั้งวันที่ดี วันแย่ ๆ หรือวันร้าย ๆ ที่ทำให้ใจหมองอยู่ไม่น้อย และเมื่อปีใหม่กำลังจะมาถึง หลายคนก็อาจจะเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่  เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น  หรือสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ บ้าง และแน่นอนว่าความสุขของเราควรจะเริ่มจากตัวเราเองก่อน วันนี้ Hello คุณหมอ มีเคล็ดลับ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ให้มีความสุขมาฝากค่ะ 7 เคล็ดลับ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ มีอะไรบ้าง 1. นอนหลับให้เพียงพอ เคยมีคำกล่าวว่า “การตัดสินใจที่ดี มาจากการนอนที่ดี” เพราะการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอเป็นเสมือนที่ชาร์ตแบตร่างกายประจำวัน ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะไม่อ่อนเพลีย หรือง่วงนอนระหว่างวัน มีพลังเต็มเปี่ยมในการออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น ตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ได้ถี่ถ้วนขึ้น ทั้งยังช่วยให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ไม่โหมหนักจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพในภายหลังด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะพูดง่าย แต่เวลาทำนั้นยากเหลือแสน เพราะเรามักจะต้องมีกิจกรรมที่มาคั่นแบ่งเวลานอนของเราออกไปเสมอ ลอง เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น ตั้งเป้าหมายใหม่ว่าฉันจะนอนให้มากขึ้น นอนให้เพียงพอ อย่างน้อย ๆ ควรจะนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน และควรจะเข้านอนแต่หัววัน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กำจัดอาการคลื่นไส้ ง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ

เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้ สิ่งที่หลายคนมักคิดถึงเป็นเพื่อบบรรเทาอาการเป็นสิ่งแรกก็คือ “ยาแก้คลื่นไส้” ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อกินเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดอาการง่วงตามมา ดังนั้น หลายคนจึงลองพยายามค้นหาวิธีธรรมชาติที่จะสามารถ กำจัดอาการคลื่นไส้ หรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้น ซึ่งวิธีธรรมชาติที่จะช่วยกำจัดอาการคลื่นไส้ได้นั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งทาง Hello คุณหมอ ได้นำเรื่องนี้มาฝากกัน วิธีธรรมชาติที่สามารถ กำจัดอาการคลื่นไส้ อาการคลื่นไส้เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนส่วนใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่อาการที่ดีสักเท่าไหร่ ยังรวมไปถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ และการคลื่นไส้จากการเดินทาง (เมารถ) อีกด้วย โดยปกติแล้ว เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้ ยาแก้คลื่นไส้มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง โดยยาแก้คลื่นไส้ มักใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ แต่ก็มักจะมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ดังนั้น หลายคนจึงพยายามหาวิธีทางธรรมชาติที่สามารถ กำจัดอาการคลื่นไส้ ซึ่งวิธีธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้ยาเข้ามาช่วย มีตัวอย่างดังนี้ รับประทานขิง ขิงเป็นยาสมุนไพรตามธรรมชาติที่นิยมใช้ในการรักษาอาการคลื่นไส้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สารประกอบในขิงอาจทำงานในลักษณะเดียวกับยาแก้คลื่นไส้ ซึ่งจากการศึกษาหลายชิ้นที่เชื่อถือได้ยอมรับว่า ขิงมีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้ในหลาย ๆ สถานการณ์ การรับประทานขิงอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ขิงอาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้ในในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการผ่าตัด การศึกษาบางชิ้นที่เชื่อถือได้รายงานว่า ขิงมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ แต่มีผลข้างเคียงที่ของยาน้อยกว่า แม้การใช้ขิงจะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่คุณก็จำเป็นจะต้องจำกัดปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือคุณกำลังใช้ยาเจือจางเลือด (Blood Thinners) ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับขิงเพียงเล็กน้อย แต่การศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพดี รายงานว่า การรับประทานขิงระหว่างตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดผลข้างเคียง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน