สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สารก่อมะเร็ง ที่คุณควรรู้จักไว้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ชีวิต

หากพูดถึง สารก่อมะเร็ง หลายคนอาจรู้แค่ว่าสารก่อมะเร็งเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถเกิดโรคมะเร็งได้ แต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าสารก่อมะเร็งนั้นมีอะไรบ้างที่ควรระวัง นอกเหนือจากสารก่อมะเร็งที่อาจจะพบได้ในอาหารดังที่อาจเคยได้ยินหรือรู้มา ในบทความนี้ ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับสารก่อมะเร็งประเภทต่าง ๆ มาฝากค่ะ สารก่อมะเร็ง ที่คุณควรรู้จัก แน่นอนว่า สารก่อมะเร็ง สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้ โดยสารก่อมะเร็งมักจะพบได้ในอากาศ ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ หรือจากในสารเคมีที่มีอยู่ในอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสารก่อมะเร็งประเภทต่าง ๆ ที่คุณควรรู้จัก มีดังนี้ ยาสูบและบุหรี่ ไม่ว่าคุณจะสูบบุหรี่ หรือเพียงหายใจเอาควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบเข้าไป ก็เสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งทั้งนั้น โดยสารเคมีในบุหรี่และยาสูบมีอย่างน้อย 70 ชนิด สารเหล่านี้สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ โดยการทำลายดีเอ็นเอ (DNA) แม้ยาสูบไร้ควันอาจจะดูปลอดภัย แต่ความจริงมันก็สามารถนำไปสู่โรคมะเร็งได้เช่นกัน เรดอน (Radon) เรดอน เป็นก๊าซชนิดหนึ่ง หากมันเกิดขึ้นในธรรมชาติในปริมาณที่เล็กน้อยจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากว่า เรดอนก่อตัวขึ้นภายในอากาศ และคุณหายใจเอาเรดอนเข้าไป มันจะทำลายเยื่อบุปอดของคุณ เรดอนนั้นถือเป็นสาเหตุอันดับที่ 1 ของการเกิดมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ทั้งมันยังไม่สามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นอีกด้วย ดังนั้น หากจะตรวจหาเรดอนจึงต้องใช้การตรวจสอบพิเศษเท่านั้น แร่ใยหิน หรือ ทัลคัม (Talcum) แร่ใยหิน หรือ ทัลคัม (Talcum) เนื่องจากในแร่ใยหินมีเส้นใยเล็ก ๆ ที่เหนียว […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โบกมือลาเหนียง คางสองชั้น ด้วย ท่าลดเหนียง เหล่านี้ได้เลย

พนันได้เลยว่า คงมีน้อยคนนักที่จะชอบให้ตัวเองมี คางสองชั้น หรือ เหนียงใต้คาง เพราะคางสองชั้นนั้นทำให้รู้สึกว่าดูอ้วน ดูมีอายุ จนบางครั้งก็อาจส่งผลให้คุณสูญเสียความมั่นใจได้เหมือนกัน วันนี้ Hello คุณหมอ เลยออยากชวนคุณมาลดเหนียง หรือลดคางสองชั้น ด้วยท่าบริหารใบหน้าง่าย ๆ แถมเรายังมีเคล็ดลับอื่นๆ ที่จะช่วยกำจัดเหนียงให้ออกไปจากใต้คางของคุณด้วย หากทำได้ตามที่เราแนะนำ เหนียงเจ้ากรรมต้องหายไปแน่นอน ทำความรู้จักเหนียง หรือคางสองชั้น เหนียง หรือคางสองชั้น คือ ไขมันใต้ผิวหนังที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง (submental fat) แต่หากผิวหนังบริเวณใต้คางหรือลำคอของคุณหย่อนคล้อยลง ก็สามารถทำให้ใต้คางดูเป็นชั้นๆ หรือมีเหนียงได้เช่นกัน คางสองชั้น หรือเหนียงใต้คาง มาได้อย่างไร ส่วนใหญ่แล้ว เหนียงหรือคางสองชั้นมักเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ อายุที่มากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังของคุณก็จะเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวหนังจึงย้อยหรือหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับเหมือนเคย และอาจทำให้เกิดเป็นคางสองชั้นได้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสาเหตุของคางสองชั้นที่พบได้บ่อยมาก หากคุณกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นประจำ เช่น อาหารแคลอรี่สูง อาหารแปรรูป ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ อาหารที่มีน้ำตาลสูง ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จนเกิดคางสองชั้นได้ กรรมพันธุ์ คุณอาจไม่เชื่อว่า กรรมพันธุ์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณมีคางสองชั้นได้เช่นกัน หากสมาชิกในครอบครัวของคุณมีประวัติเกี่ยวกับผิวหนังผิดปกติ เช่น ผิวหนังยืดหยุ่นน้อย มีคางสองชั้น ความเสี่ยงในการเกิดคางสองชั้น หรือเหนียงของคุณก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ท่าทาง หากคุณทำท่าทางบางอย่าง เช่น เอียงคอ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เพิ่มความอยากอาหาร ง่ายๆ ได้ด้วยวิธีเหล่านี้

เพิ่มความอยากอาหาร เป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้ที่รู้สึกเบื่ออาหาร หรือไม่อยากรับประทานอะไรเลย ด้วยเหตุผลจากความเจ็บป่วย หรือการเข้ารับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น การทำเคมีบำบัด รับประทานอาหารได้มากขึ้น เนื่องจาก อาการเบื่ออาหาร อาจทำให้สุขภาพแย่ลง ทั้งยังอาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูส่วนที่สึกหรออีกด้วย วิธีเพิ่มความอยากอาหาร สำหรับวิธีเพิ่มความอยากอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่เพียงพอ ทั้งยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรง อาจทำได้ดังนี้ สร้างบรรยากาศให้น่ารับประทาน การสร้างบรรยากาศในโต๊ะอาหาร อาจเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้ นอกจากนั้น การรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ก็อาจช่วยทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ยิ่งผู้ที่ได้ร่วมโต๊ะเป็นคนที่รัก สนิทสนมก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดียิ่งขึ้น การจัดโต๊ะให้สวยงาม เลือกลายจานชามที่ชอบ ก็เป็นอีกวิธีที่อาจช่วยเพิ่มบรรยากาศในการรับประทานได้เช่นกัน เปลี่ยนขนาดจาน การเปลี่ยนขนาดจานเป็นวิธีการหลอกสมอง เนื่องจาก เมื่อเห็นปริมาณอาหารมาก ๆ ก็เหนื่อยใจกับการรับประทาน บางครั้งอาจทำให้ถึงขั้นเบื่ออาหาร ดังนั้น ลองเปลี่ยนเป็นจานที่ใบใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มให้เห็นว่าอาหารดูมีปริมาณน้อยลง จากงานวิจัยกล่าวว่า การเสิร์ฟอาหารบนจานใบใหญ่นั้นส่งผลให้รับประทานได้เพิ่มขึ้น ห้ามงดอาหารเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ จากงานวิจัยพบว่า การที่ไม่รับประทานอาหารเช้านั้น อาจทำให้ร่างกายรับประทานอาหารได้น้อยลงในวันนั้น นอกจากนี้ การรับประทานอาหารเช้ายังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกอยากอาหารในมื้อต่อ ๆ ไปอีกด้วย เลือกรับประทานอาหารที่ชอบ วิธีการเพิ่มความยากอาหารข้อนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ จากงานวิจัยชี้ว่า เมื่อเลือกอาหารที่ชอบในการรับประทาน อาจทำให้มีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ แต่ที่สำคัญ ต้องคำนึงด้วยว่าอาหารที่ชอบนั้นดีต่อสุขภาพหรือไม่ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ชอบและมีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกาย ในระหว่างที่ออกกำลังกาย ร่างกายก็จะมีการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งการที่พลังงานได้ถูกเผาผลาญออกไปนั้น ก็จะช่วยให้รู้สึกหิวขึ้นมา เหมือนร่างกายต้องการพลังงานมาทดแทนสิ่งที่เสียไป […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โรคNCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

มีโรคติดต่ออยู่หลายชนิด ที่ติดต่อกันผ่านเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย หรือสารคัดหลั่ง เช่น ไข้หวัด ไวรัสตับอักเสบ หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มอาการ ที่ไม่มีการติดต่อจากผู้อื่นและไม่สามารถแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่นได้ แต่ใช้ระยะเวลานานในการรักษา และอาจเพิ่มแนวโน้มของการเสียชีวิตเช่นกัน เราเรียกโรคนั้นว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรคNCDs แต่โรคในกลุ่มนี้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเสี่ยงเป็นโรคนี้บ้าง สามารถป้องกันได้อย่างไรนั้น Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้ในบทความนี้แล้วค่ะ โรคNCDs คืออะไร โรคNCDs  ย่อมาจาก Non-communicable diseases หรือ กลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อแบบเรื้อรัง หรือ โรคติดต่อไม่เรื้อรัง คือ โรคที่ไม่มีการติดต่อไปสู่ผู้อื่นและไม่สามารถรับเชื้อมาจากผู้อื่นได้ เมื่อเป็นแล้วสามารถที่จะเกิดการเรื้อรังของโรค ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะสามารถรักษาให้หายขาด หรืออาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เลยตลอดชีวิต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งระยะของโรค ความรุนแรงของโรค และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยโรคดังกล่าว เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม สรีระ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โรคในกลุ่มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรคNCDs เช่น โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เซลลูไลท์ (Cellulite)

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออาการที่มีผลกระทบต่อผิวหนังในบริเวณที่มีไขมันทับถมอยู่ภายใต้ผิวหนัง (ส่วนที่สังเกตเห็นได้ชัดคือบั้นท้ายและต้นขา) ทำให้ผิวดูเป็นรอยบุ๋ม ไม่เรียบ คำจำกัดความเซลลูไลท์ คืออะไร เซลลูไลท์ (Cellulite) บางคนอาจจะบอกคุณว่าเซลลูไลท์นั้นเป็นแค่ไขมันสั้น ๆ ง่าย ๆ อีกคนอาจจะบอกคุณว่าเซลลูไลท์เป็นการรวมกันของสารพิษที่ตกค้างและน้ำส่วนเกินใต้ผิวหนัง ซึ่งความจริงแล้วเซลลูไลท์คืออาการที่มีผลกระทบต่อผิวหนังในบริเวณที่มีไขมันทับถมอยู่ภายใต้ผิวหนัง (ส่วนที่สังเกตเห็นได้ชัดคือบั้นท้ายและต้นขา) ทำให้ผิวดูเป็นรอยบุ๋ม ไม่เรียบ พบได้บ่อยเพียงใด เซลลูไลท์พบได้บ่อยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในบริเวณดังต่อไปนี้ สะโพก หน้าท้องส่วนล่าง หน้าอก ก้น ต้นแขน อาการอาการของเซลลูไลท์ อาการทั่วไปของเซลลูไลท์  ได้แก่ เซลลูไลท์จะทำให้ผิวมีลักษณะเหี่ยว เป็นหลุมบ่อ คุณสามารถเห็นเซลลูไลท์อ่อน ๆ เมื่อคุณหยิกหรือบิดผิวบนร่างกายของคุณ เช่น ต้นขา ส่วนใหญ่มักพบเซลลูไลท์ในบริเวณต้นขาและก้น แต่ก็สามารถพบได้บนหน้าอก หน้าท้องส่วนล่าง และต้นแขน ควรไปพบหมอเมื่อใด อาจไม่มีความจำเป็นในการรักษามากนัก แต่ถ้าคุณรู้สึกกังวลเกี่ยวกับลักษณะผิวของคุณให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนัง หรือหรือแพทย์ศัลยกรรม สาเหตุสาเหตุของเซลลูไลท์ สาเหตุของเซลลูไลท์ เกิดจาก การสะสมของไขมันที่มากเกินไปภายใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์สามารถมองเห็นได้มากขึ้น เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น เพราะผิวของคุณจะบางลง และสูญเสียความยืดหยุ่น โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ดังต่อไปนี้ ฮอร์โมน การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ น้ำหนักมากขึ้น สตรีมีครรภ์ ขาดการออกกำลังกาย   ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของเซลลูไลท์ มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการสำหรับเซลลูไลท์ เช่น พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น สตรีมีครรภ์ อายุที่มากขึ้น พันธุกรรม การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม การรักษาเซลลูไลท์ แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจใช้วิธีการรักษาและให้คำแนะนำที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ การรักษาด้วยเลเซอร์และระบบคลื่นวิทยุ การรักษาด้วยการใช้พลังงานเลเซอร์ในการกำจัดเซลลูไลท์ด้วยการนวดเนื้อเยื่อผสมผสานระหว่างการใช้เทคดนโลยีคลื่นวิทยุและแสงอินฟาเรด เพื่อสลายพังผืดด้วยความร้อน ครีมสำหรับเซลลูไลท์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ การผ่าตัด  เป็นการตัดเส้นใยให้ไขมันใต้ผิวหนังเรียบเสมอกัน ช่วยลดปริมาณเซลลูไลท์ให้ลดลง ด้วยระบบเข็มที่เรียกว่า Cellfina การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยจัดการเซลลูไลท์ การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองดังต่อไปนี้ อาจช่วยจัดการเซลลูไลท์ได้  การออกกำลังกาย การออกกำลังกายสามารถช่วยลดไขมันในร่างกายซึ่งทำให้เซลลูไลท์ลดลงได้ ทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กากกาแฟ ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ใหม่กระชับผิวเพียงนำกากกาแฟผสมกับน้ำมันมะพร้าว […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธี ออกกำลังกายสมอง เจ๋งๆ ที่ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น

สมอง เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมาก ๆ ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ๆ ก็จะต้องใช้สมองในการสั่งงาน และอวัยวะทุก ๆ ส่วนในร่างกายจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแล แม้กระทั่งสมองเองก็ต้องการการดูแลเช่นกัน การ ออกกำลังกายสมอง เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความทรงจำ มีสมาธิ และการทำงานในส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็จะดีขึ้นตามไปด้วย การออกกำลังกายสมองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้คนทุกวัย ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็สามารถออกกำลังกายสมองได้ วันนี้ Hello คุณหมอ จึงมีกิจกรรมสุดเจ๋ง แถมง่าย ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำเพื่อเป็นการออกกำลังกายสมองได้ มาฝากกันค่ะ การ ออกกำลังกายสมอง คืออะไร การออกกำลังกายสมอง คือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ให้สมองได้ใช้งาน เพื่อพัฒนาสมองให้มีความแข็งแรง จากงานวิจัยพบว่ามีหลากหลายวิธีที่ช่วยทำให้สมองมีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายสมองนั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความทรงจำ การมีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งที่ทำ สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งการออกกำลังกายสมองนั้นสามารถทำได้ทุกช่วงอายุเลย ไม่จำเป็นว่าจะต้องพัฒนาสมองในวัยเด็กเท่านั้น เมื่ออายุมากขึ้นคุณก็สามารถมีสมองที่แข็งแรงได้ด้วยวิธีการออกกำลังกายสมอง วิธีการ ออกกำลังกายสมอง แบบต่างๆ ฝึกการจดจำหมายเลข เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นได้มีการพัฒนาให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างง่ายและสะดวกสบายขึ้น เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมาก็สามารถติดต่อหาคนอื่น ๆ ได้แล้ว เพราะเราจะเคยบันทึกเบอร์โทรศัพท์นั้นลงเครื่องของเราไว้แล้ว จึงทำให้เราไม่จำเป็นที่จะต้องจดจำเบอร์โทรศัพท์หรือตัวเลขอีกต่อไป แต่การจดจำหมายเลขโทรศัพท์หรือตัวเลขต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่ช่วยในการพัฒนาทักษณะความจำ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

13 กิจวัตรประจำวันที่ทำร้ายสุขภาพ ที่คุณควรต้องเลี่ยงได้แล้ว

วิถีชีวิตความเป็นอยู่ กิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ที่เราทำจนเคยชินและมักจะมองกันว่าเป็นเรื่องปกตินั้น บางครั้งหากไม่เกิดการปรับและเปลี่ยนมุมมองที่มีอยู่ ท้ายที่สุดอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยที่ไม่รู้ตัวได้ Hello คุณหมอ มี 13 กิจวัตรประจำวันที่ทำร้ายสุขภาพ ที่อาจถึงเวลาจะต้องหลีกเลี่ยงและเลิกทำได้แล้ว แต่จะมีอะไรบางนั้น ไปติดตามกันได้ที่บทความนี้เลย 13 กิจวัตรประจำวันที่ทำร้ายสุขภาพ มีอะไรบ้าง จมปลักอยู่กับความเครียด ความเครียด อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่เราทุกคนต้องพบเจอ อาจเป็นการเครียดเพียงเล็กน้อยแล้วผ่านไป หรือเป็นความเครียดที่ใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะจบลง หรือเป็นความเครียดที่สะสมครั้งแล้วครั้งเล่า การจมปลักและไม่ยอมปล่อยวางกับความเครียดที่ไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงได้นั้น มีผลการศึกษาพบว่า ท้ายที่สุดความเครียดจะเป็นตัวการนำไปสู่โรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นอาการทางสุขภาพที่น่าเป็นกังวลในอนาคต ลดทอนคุณค่าของตนเอง การนั่งตำหนิตนเอง และบั่นทอนชีวิตด้วยการกล่าวโทษโชคชะตา เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในอนาคตได้ ควรหันมาปรับเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ และเปลี่ยนวิธีคิด และให้กำลังใจตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก จะช่วยให้สุขภาพจิตสดใส ใช้เวลาอยู่กับสื่อโซเชียลมีเดียมากเกินไป แม้เราจะรู้จักคนมากหน้าหลายตาผ่านช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลต่างๆ แต่นั่นไม่ได้ช่วยคลายความเหงาในจิตใจได้อย่างสมบูรณ์ เพราะยิ่งใช้เวลาอยู่ในโซเชียลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเกิดการเปรียบเทียบ และรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวมากเท่านั้น และความรู้สึกเปรียบเทียบนี้เอง เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ การนอนดึกและตื่นสาย แทบจะเป็นกิจวัตรประจำวันของใครหลายคน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยที่ต่างกัน ทั้งภาระหน้าที่ หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนล่วงเลยแก่เวลานอน แต่ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ย่อมส่งผลต่อสุขภาพโดยตรงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญ รวมถึงพลังงานในการทำกิจกรรมของวันถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย การใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย การจับจ่ายใช้สอยทั้งที่ไปซื้อเอง หรือซื้อสินค้าออนไลน์อย่างสิ้นเปลืองและสุรุ่ยสุร่าย มีการวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ลงใน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความเสี่ยงของศัลยกรรม ที่คุณควรรู้ก่อนเสริมความสวย

ปัจจุบันนี้การทำศัลยกรรม นอกจากจะทำให้เกิดความสวยงามแล้ว ยังช่วยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความผิดปรกติบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลได้อีกด้วย แต่ก่อนจะตัดสินใจทำศัลยกรรม นอกจากการศึกษาละเอียดแล้ว การรู้ถึง ความเสี่ยงของศัลยกรรม ก่อนที่จะเข้ารับการศัลยกรรม ก็ถือเป็นเรื่องที่ควรจะต้องรู้เอาไว้ ซึ่งทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน ประเภทของศัลยกรรม ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ เป้าหมายหลักของการศัลยกรรมเสริมความงาม ก็คือ การปรับปรุงรูปลักษณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งมันสามรถช่วยเพิ่มความนับถือตัวเอง และความมั่นใจในตัวเองให้แต่ละบุคคลได้อีกด้วย ซึ่งการทำศัลยกรรมความงามนั้น สามารถทำได้ทุกส่วนบนใบหน้าและร่างกาย ซึ่งประเภทศัลยกรรม สามารถแบ่งได้ดังนี้ ประเภทของการศัลยกรรมเสริมความงามสำหรับใบหน้า โบท็อกซ์ ยกแก้ม (Cheek lift) การลอกหน้าด้วยสารเคมี (Chemical peeling) ศัลยกรรมคาง ทันตกรรมความงาม การขัดผิวหนังเพื่อรักษาแผลเป็น (Dermabrasion) ยกกระชับคิ้ว หรือยกกระชับหน้าผาก ตัดปีกจมูก ผ่าตัดเปลือกตา ยกกระชับใบหน้า (Face-lift) ปรับเปลี่ยนโครงใบหน้า (Facial contouring) เติมฟิลเลอร์บนใบหน้า รักษาริ้วรอยบนใบหน้า กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์ ยกกระชับผิวบริเวณคอ ผ่าตัดหูเพื่อปรับแก้ตำแหน่ง ผ่าตัดเสริมจมูก แก้ไขปัญหาผิว เช่น สิว ริ้วรอย รอยแผลเป็น กำจัดรอยสัก รักษาริ้วรอยต่าง ๆ ประเภทของการศัลยกรรมเสริมความงามสำหรับร่างกาย ลดหน้าท้อง ยกกระชับแขน ดูดไขมัน เสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ลดขนาดหน้าอก ยกสะโพก กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ยกกระชับต้นขาด้านใน ยกกระชับลำตัว ความเสี่ยงของศัลยกรรม ที่อาจขึ้นกับคุณมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าแม้ศัลยกรรมต่าง ๆ จะทำให้คุณสวยขึ้นหลังจากการทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่บางครั้งมันก็อาจจะมาพร้อมกับความเสี่ยง ซึ่งคุณอาจจะจำเป็นต้องรู้ก่อนจะเข้ารับการทำศัลยกรรม เพื่อประกอบการตัดสินใจ ซึ่งความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้มีดังนี้ ห้อเลือด ห้อเลือด เป็นเลือดที่มีลักษณะคล้ายรอยช้ำขนาดใหญ่ ทั้งยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดอีกด้วย ความจริงแล้วมันจะเกิดขึ้นได้เพียง 1% เท่านั้น ในขั้นตอนของการเสริมหน้าอก นอกจากนี้มันยังเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยสุดหลังจากได้รับการศัลยกรรมไปแล้ว โดยมีผู้ป่วยเฉลี่ย 1% โดยมักจะเกิดขึ้นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ความจริงแล้ว ห้อเลือดถือเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการผ่าตัดทั้งหมด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธี ลดขยะอาหาร ในครัวเรือนง่ายๆ เพื่อช่วยคุณและช่วยโลก

เวลาที่เราซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร หรืออาหารปรุงสำเร็จมาแล้วกินไม่หมด อาหารเหล่านั้นก็จะกลายเป็นขยะอาหารที่ถูกทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณสูญเงินโดยใช่เหตุแล้ว ขยะอาหารที่เราทิ้งยังทำให้เกิดแก๊สมีเทน (Methane) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจกที่พบได้มากเป็นอันดับสองเลยทีเดียว นั่นแปลว่า ยิ่งมีขยะอาหารมากเท่าไหร่ อาจจะทำให้อุณหภูมิของโลกก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นมากเท่านั้น วันนี้ เราเลยมีวิธี ลดขยะอาหาร ในครัวเรือน มาฝาก หากคุณทำได้ รับรองว่าจะเซฟเงินในการซื้ออาหารมาบริโภคได้อีกเยอะ แถมคุณและครอบครัวยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วย วิธี ลดขยะอาหาร ในครัวเรือน เลือกซื้ออาหารอย่างชาญฉลาด คนเรามักซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร หรืออาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะเวลาที่เราหิว หรือเวลาที่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมมาล่อตาล่อใจ และบางห้างร้านก็มักมีโปรโมชั่นยิ่งซื้อเยอะยิ่งจ่ายถูก ทำให้คุณซื้ออาหารมาตุนไว้ และมักจะบริโภคไม่ทัน จนสุดท้ายก็กลายเป็นขยะอาหารที่ต้องทิ้งไป ฉะนั้น หากคุณอยากลดขยะอาหาร เราแนะนำให้ไปซื้อวัตถุดิบประเภทของสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ เข้าบ้านอาทิตย์ละ 2 ครั้ง หากเป็นของที่เก็บได้นาน ก็อาจซื้ออาทิตย์ละ 1 ครั้ง และต้องบริโภคของที่ซื้อมาให้หมดก่อนจึงค่อยไปซื้อของใหม่ และต้องเลือกซื้อของตามลิสต์รายการของที่ต้องการด้วย จะได้ตัดปัญหาซื้ออาหารมาเกินจำเป็น เก็บอาหารให้ถูกวิธี การเก็บรักษาวัตถุดิบในการประกอบอาหาร รวมถึงอาหารสำเร็จรูปอย่างถูกวิธี จะช่วยลดปัญหาอาหารเน่าเสียจนต้องทิ้งเป็นขยะอาหาร ยกตัวอย่างเช่น มะเขือเทศ มันฝรั่ง กระเทียม แตงกวา คุณควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่ต้องแช่ตู้เย็น และหากเป็นอาหารที่สามารถปล่อยก๊าซเอทิลีน (ethylene gas) ได้มาก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา ชื่อเกือบคล้ายกัน แต่ความจริงต่างกันมากนะ

เรามักจะต้องเคยได้ยินทั้ง น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา กันบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลานั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร ให้สรรพคุณที่เหมือนกันหรือไม่ แล้วอาหารเสริมทั้งสองอย่างนี้ อย่างไหนดีกว่ากัน ถ้าอยากรู้ล่ะก็ ไปติดตามที่บทความนี้กันได้เลย เพราะ Hello คุณหมอ มีข้อมูลความแตกต่างของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลามาฝากแล้วค่ะ [embed-health-tool-bmr] น้ำมันปลา คืออะไร น้ำมันปลา (Fish Oil) คือ อาหารเสริมที่ได้รับการสกัดมาจากอวัยวะของปลา โดยสกัดจากบริเวณหนังปลา หัวปลา เนื้อปลา และหางปลา ซึ่งมักจะสกัดจากปลาจำพวก ปลาแมคเคอรอล ปลาแฮร์ริ่ง ปลาแอนโชวี่ ปลาทูน่า เป็นต้น สารอาหารสำคัญของน้ำมันปลานั่นก็คือ สารโอเมก้า 3 ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ และโอเมก้า 3 ที่ได้จากปลาและน้ำมันปลา ยังถือว่าเป็นโอเมก้า 3 ที่ดีกว่าการกินผักและผลไม้อีกด้วย ประเภทของโอเมก้า 3 ในน้ำมันปลา ประกอบไปด้วย กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ EPA กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน