สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ไขข้อสงสัย วัคซีนคืออะไร? อันตรายจริงไหม?

วัคซีน คือ สารที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค โดยเลียนแบบการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสามารถจดจำและป้องกันโรคนั้นได้ในอนาคต โดยไม่ต้องป่วยก่อน วัคซีนถือเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุด ช่วยลดอัตราการตายและโรคภัยไข้เจ็บทั่วโลก แต่หลายคนยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยว่าวัคซีนอันตรายจริงหรือไม่ พร้อมอธิบายความเข้าใจผิด ๆ ที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับวัคซีน [embed-health-tool-vaccination-tool] วัคซีนคืออะไร และทำงานอย่างไร วัคซีนคือสารกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อโรค เพื่อช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรค โดยเลียนแบบการติดเชื้อ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเรียนรู้ที่จะจดจำและป้องกันโรคในอนาคต โดยที่ไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคนั้นก่อน ชนิดของวัคซีนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามวิธีการผลิต ดังนี้ วัคซีนชนิดเชื้อตาย ใช้เชื้อโรคที่ตายแล้วเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโปลิโอ วัคซีนพิษสุนัขบ้า วัคซีนชนิดเชื้อเป็น ใช้เชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนแรงหรือหมดฤทธิ์จนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ เช่น วัคซีนโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน และวัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนที่ผลิตจากพิษของเชื้อโรค ใช้พิษของเชื้อโรคที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เช่น วัคซีนบาดทะยัก และวัคซีนคอตีบ วัคซีนแต่ละชนิดมีวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกชนิดต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย การใช้วัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค นอกจากจะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรค ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงมากมาย ยังสามารถช่วยให้สังคมได้รับประโยชน์จากภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งเกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ในสังคมได้รับการเสริมภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ส่งผลให้โรคบางอย่างมีโอกาสในการแพร่กระจายน้อยลงอีกด้วย วัคซีนอันตรายจริงไหม แม้ว่าการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจะเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายใจปัจจุบัน แต่หลายคนก็อาจจะมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการฉีดวัคซีน คิดว่าวัคซีนอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย จริง ๆ แล้ว วัคซีนไม่อันตรายหากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันล้วนผ่านการทดสอบและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนนำมาใช้งานจริง ส่วนผสมในวัคซีน เช่น ไธเมอโรซอล ฟอร์มาลดีไฮด์ หรืออะลูมิเนียม ถูกใช้ในปริมาณต่ำมากและปลอดภัยกว่าปริมาณที่เราพบในชีวิตประจำวันจากอาหาร […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เท้าแบน อาการผิดปกติของเท้าที่คุณอาจไม่รู้ตัว และอาจก่อปัญหามากกว่าที่คิด

ถ้าคุณมีอาการเจ็บปวดบางอย่างที่ขาหรือเท้าอยู่บ่อยๆ โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ และไม่ได้เกิดจากโรคอะไร หนึ่งในสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือ ปัญหาความผิดปกติของสรีระของตัวคุณเอง และหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยก็คือ ปัญหาจากรูปลักษณะของเท้าที่ผิดปกติ ที่เรียกกันว่า เท้าแบน เท้าแบนคืออะไร เท้าแบน (Flat Feet) คือ ลักษณะของเท้าที่ไม่มีส่วนโค้งเว้าตรงกลางเท้า เมื่อลุกขึ้นยืน ฝ่าเท้าจะราบแนบไปกับพื้นทั้งหมด ตรงกลางฝ่าเท้าที่โค้งขึ้นมานั้นคืออุ้งเท้า (Arch) ซึ่งทอดไปตามแนวยาวและแนวขวางของฝ่าเท้า อุ้งเท้าเกิดจากการยึดกันระหว่างเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูกเท้า โดยเส้นเอ็นที่เท้าเองและเส้นเอ็นส่วนที่ต่อจากขาส่วนล่างจะยึดกระดูกตรงกลางเท้าเข้ากับส้นเท้า ทำให้กลางฝ่าเท้าโค้งเข้ามาและไม่ราบไปกับพื้น ภาวะเท้าแบนเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นเด็กเล็ก เนื่องจากฝ่าเท้าของเด็กมีไขมันและเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้มองเห็นอุ้งเท้าตรงฝ่าเท้าได้ไม่ชัด แต่เมื่อโตขึ้นช่องโค้งก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา บางคนอาจได้รับการถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวมาทางพันธุกรรม นอกจากนี้ ภาวะเท้าแบนอาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพไปตามอายุ เท้าแบนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทดังนี้ อาการเท้าแบนแบบนิ่ม ลักษณะเท้าแบนชนิดนี้พบได้บ่อยและทั่วไป ซึ่งเป็นอาการที่เท้ามีลักษณะผิดปกติคือ ผู้ที่มีความผิดปกติจะไม่ค่อยมีอุ้งเท้าและเท้าจะแบนราบไปกับพื้นไม่มีส่วนโค้งเว้า อาการเท้าแบนแบบแข็ง เป็นลักษณะของอาการที่ไม่ค่อยพบในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ ลักษณะของเท้าแบนชนิดนี้จะมีความผิดปกติของข้อเท้าคือ อุ้งเท้าจะนูนออก เท้าผิดรูป มีลักษณะกลับด้านนอกออกใน เท้าแบนส่วนใหญที่มีลักษณะแบบแบนนิ่ม จะไม่ก่อให้เกิดการเจ็บเท้า แต่เท้าแบนอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ข้อเท้าและเข่าได้เนื่องจากความผิดปกติของเท้า โดยอาการเจ็บปวดของเท้าแบนที่พบอาจได้แก่ เมื่อยขาง่าย เจ็บที่อุ้งเท้า อุ้งเท้าบวม การเคลื่อนไหวเท้าลำบาก ปวดหลังและขา สาเหตุของการเกิดอาการเท้าแบน อาการเท้าแบนเกิดได้จากความผิดปกติทางพันธุกรรมกล่าวคือ เป็นตั้งแต่เกิด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่มีความผิดปกติตั้งแต่เกิด และเป็นลักษณะของอาการเท้าแบนแบบนิ่ม หากอาการไม่รุนแรงมาก จะสามารถหายเป็นปกติได้เองเมื่อโตขึ้น แต่นอกจากนี้อาการเท้าแบนยังสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นได้ก็คือ เส้นเอ็นยืดหรือฉีก เอ็นที่ยึดหน้าแข้งส่วนหลังที่เรียกว่าเอ็นท้ายกระบอกถูกทำลาย หรือมีการอักเสบ กระดูกหักหรืออยู่ผิดที่ มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น เป็นโรคข้อเสื่อมรูมาตอยด์ มีปัญหาเรื่องเส้นประสาท การวินิจฉัยอาการเท้าแบน ตรวจพื้นรองเท้าของคุณว่ามีความผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะพื้นรองเท้าสามารถบอกได้ว่า คุณเดินผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติบ้างหรือไม่ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบริจาคเลือด กับประโยชน์สุขภาพที่คุณอาจคาดไม่ถึง

การบริจาคเลือด ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ หากสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และมีคุณสมบัติตรงตามที่ศูนย์รับบริจาคโลหิตต้องการ เช่น มีอายุระหว่าง 17-70 ปีบริบูรณ์ มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป ก็สามารถบริจาคเลือดได้ ผู้บริจาคเลือดไม่เพียงจะได้รับความสุขจากการให้ แต่ยังได้รับประโยชน์สุขภาพอีกมากมายที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ประโยชน์ดีๆ ที่ได้จาก การบริจาคเลือด ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ การบริจาคเลือด อาจเหมือนแค่นอนนิ่ง ๆ แต่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า การบริจาคเลือดครั้งละ 450 มิลลิลิตรสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 650 กิโลแคลอรี่ แม้การบริจาคเลือดแต่ละครั้ง จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะลดน้ำหนัก ด้วยการโหมบริจาคเลือดได้ เพราะคุณสามารถบริจาคเลือดได้ทุก 3 เดือน โดยต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย ช่วยป้องกันภาวะเหล็กเกิน ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่หากมีธาตุเหล็กสะสมอยู่ภายในร่างกายมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) คือ ธาตุเหล็กไปเกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ หัวใจ ไต ส่งผลให้เป็นโรคอย่าง ตับแข็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งการบริจาคเลือดจะทำให้ปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายน้อยลง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเหล็กเกินได้ ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการศึกษาพบว่า การบริจาคเลือดเป็นประจำติดต่อกันนานหลายปี จะช่วยลดความเข้มข้นของเลือด และระดับธาตุเหล็กในร่างกาย จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวายได้ถึง 88% และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจชนิดรุนแรง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เหงื่อออกมาก คุณอาจเป็นยิ่งกว่าขี้ร้อน

เหงื่อ..อาจเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะนอกจากจะทำให้เหนอะหนะ ไม่สบายตัว บางครั้งยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ จนทำให้คุณไม่มั่นใจ แต่คนเราจำเป็นต้องมีเหงื่อ เพื่อไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไป บางคนอาจสังเกตเห็นว่า ตัวเองมีเหงื่อออกมากกว่าคนอื่น ซึ่งไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่การที่คุณมี เหงื่อออกมาก เกินไป ยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคบางอย่างได้อีกด้วย [embed-health-tool-bmr] ทำไมคนเราถึงเหงื่อออก ร่างกายมนุษย์จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อมีอุณหภูมิในร่างกายไม่เกิน 37ºC หรือประมาณ  (98.6ºF) หากอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น เพราะเจออากาศร้อน มีไข้ การออกกำลังกาย กินอาหารเผ็ดร้อน หรือรู้สึกตื่นเต้น สมองจะกระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อออกมา การผลิตเหงื่อตามระบบของร่างกาย เพื่อเป็นการระบายความร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เพราะหากเหงื่อไม่ออก ร่างกายเราอาจร้อนมากเกินไป จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แค่ไหนถึงเรียกว่า “เหงื่อออกมาก” ปกติแล้วร่างกายคนเราจะผลิตเหงื่อวันละ 1 ลิตร แต่ปริมาณเหงื่ออาจมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เชื้อชาติ เพศ อายุ กิจกรรมประจำวัน สภาพอากาศ อารมณ์ ความไวต่อความร้อน หากวันไหนคุณออกกำลังกายอย่างหนัก หรืออากาศร้อนจัด ร่างกายย่อมผลิตเหงื่อมากกว่า 1 ลิตร หากคุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น นั่งอยู่ในห้องปรับอากาศเฉยๆ ก็มีเหงื่อออกมาก หรือเหงื่อออกเฉียบพลัน คุณอาจมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) ร่างกายจึงผลิตเหงื่อมากกว่าคนปกติหลายเท่า เมื่อเหงื่อออกมาก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภัยสุขภาพจากพลาสติก งานวิจัยชี้จะ BPA หรือ BPS สารเคมีตัวไหน..ก็อันตรายพอกัน!

มีหลายการศึกษาพิสูจน์ว่า สารเคมีในพลาสติก อย่าง BPA (Bisphenol-A) ที่อยู่ในขวดน้ำพลาสติก และภาชนะบรรจุอาหาร สามารถปลดปล่อยเข้าสู่อาหารและเครื่องดื่ม แล้วเข้าไปในร่างกายได้ เนื่องจากสารดังกล่าวมีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนต่างๆ ของมนุษย์ จึงอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหลายประการ จากข้อกังวลดังกล่าวเกี่ยวกับ ภัยสุขภาพจากพลาสติก เหล่านี้ ทำให้ผู้ผลิตพลาสติกส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาใช้สาร Bisphenol-S (ชนิดใกล้เคียงกับสาร Bisphenol-A) ซึ่งเชื่อว่ามีความปลอดภัย แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น การศึกษาในสัตว์มีการโยงสาร Bisphenol-S และสาร Bisphenol-A กับความเสี่ยงต่อสุขภาพต่าง ๆ นักวิทยาต่อมไร้ท่อ (Endocrinologists) จากมหาวิทยาลัย UCLA ในสหรัฐฯ ทำการศึกษาปลาม้าลาย เพื่อดูว่าจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง จากการได้รับสาร Bisphenol-S ในระดับต่ำ การสัมผัสสาร Bisphenol-S เร่งการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ และมีผลต่อเซลล์ของต่อมไร้ท่อในสมองของลูกปลาม้าลาย ความไม่สมดุลของฮอร์โมนยังทำให้การสืบพันธุ์ของปลาเสียหายอย่างถาวร นอกจากนี้ สาร Bisphenol-S ยังรายงานว่า มีผลเช่นเดียวกับคุณสมบัติของฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง นักวิจัยไม่สามารถทำการทดสอบนี้ในมนุษย์ เนื่องจากเหตุผลทางจรรยาบรรณ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถทำได้ก็คือ การศึกษาในสัตว์ต่างๆ และเซลล์มนุษย์ ปลาม้าลายเป็นสายพันธุ์ปลาลำดับที่สอง ที่แสดงให้เห็นถึงการรบกวนต่อระบบสืบพันธ์ุ […]


อาการของโรค

โลหิตจางอย่างร้าย (Pernicious Anemia) คืออะไร

โลหิตจาง เป็นภาวะทางสุขภาพซึ่งจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงปกติในร่างกายมีค่าต่ำ โดย โลหิตจางอย่างร้าย (Pernicious Anemia) เป็นภาวะพร่องวิตามินบี 12 ประเภทหนึ่ง เกิดจากการไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ซึ่งร่างกายต้องการใช้เพื่อสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์ได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ดี โรคนี้จัดว่าพบได้น้อย คำว่า “อย่างร้าย” มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ครั้งหนึ่งโรคนี้จัดว่าเป็นโรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ในมุมมองของการขาดการรักษาที่เข้าถึงได้ในอดีต อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน การรักษาโรคนี้ทำได้ง่ายขึ้นโดยการฉีดวิตามินบี 12 หรือรับประทานอาหารเสริม ภาวะพร่องวิตามินบี 12 หากไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โลหิตจางอย่างร้าย เกิดจากอะไร วิตามินบี 12 เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง หอย เนื้อสัตว์ ไข่ สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนมเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินชนิดนี้ที่คุณสามารถหาได้ โปรตีนชนิดพิเศษ ซึ่งเรียกว่าปัจจัยภายใน ช่วยลำไส้ของคุณในการดูดซึมวิตามินบี 12 เซลล์ในกระเพาะอาหารมีหน้าที่ในการปลดปล่อยโปรตีนชนิดนี้ หากกระเพาะอาหารไม่สามารถปลดปล่อยโปรตีนชนิดนี้ได้อย่างเพียงพอ ลำไส้จะไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ได้อย่างเหมาะสม สาเหตุที่พบมากที่สุด สาเหตุที่พบได้มากที่สุดประการหนึ่งของโลหิตจางอย่างร้ายคือ ภาวะเกี่ยวกับภูมิต้านตนเอง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของคุณต้านทานโปรตีนที่เป็นปัจจัยภายในหรือเซลล์ที่สร้างโปรตีนดังกล่าวอย่างผิดพลาด นอกจากนี้ เยื่อบุกระเพาะอาหารที่อ่อนแอ ยังสามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้อีกด้วย โลหิตจางชนิดร้ายแรงสามารถถ่ายทอดได้ในครอบครัว ถึงแม้ว่าจะพบได้น้อยก็ตาม ซึ่งเรียกว่าโลหิตจางอย่างร้ายแต่กำเนิด (Congenital Pernicious Anemia) ทารกที่เป็นโลหิตจางประเภทนี้ แทบจะไม่สังเคราะห์โปรตีนที่เป็นปัจจัยภายในได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สะอึก (Hiccups)

สะอึก (Hiccups)เป็นการหดตัวของกระบังลม เป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และไม่สามารถควบคุมได้ การหดตัวแต่ละครั้งเกิดขึ้นหลังจากเส้นเสียงปิดอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงสะอึก   คำจำกัดความสะอึก คืออะไร สะอึก (Hiccups) เป็นการหดตัวของกระบังลม ซึ่งเป็นชั้นบางๆ ของกล้ามเนื้อ ที่แยกช่องอกจากช่องท้องและช่วยในการหายใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และไม่สามารถควบคุมได้ การหดตัวแต่ละครั้งเกิดขึ้นหลังจากเส้นเสียงปิดอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงสะอึก สะอึก พบได้บ่อยเพียงใด อาการสะอึกพบได้บ่อยมาก สามารถส่งผลต่อคนทุกวัย อาการสะอึกสามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการสะอึกเป็นอย่างไร อาการประการเดียวของอาการสะอึก คือมีเสียงที่ได้ยินว่าเป็นอาการสะอึก อาการยังเป็นความรู้สึกตึงตัวเล็กน้อยในอก ช่องท้อง หรือคอ ที่เกิดขึ้นก่อนมีเสียงสะอึก อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของอาการสะอึก สาเหตุที่พบได้มากที่สุด ของอาการสะอึกที่มีอาการนานประมาณ 48 ชั่วโมง ได้แก่ รับประทานอาหารมากเกินไปอย่างรวดเร็ว ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป กลืนอากาศมากเกินไป/กลืนอากาศพร้อมกับเคี้ยวหมากฝรั่งหรือดูดลูกอม สูบบุหรี่ อุณหภูมิของกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงกะหันหัน มีอารมณ์ตึงเครียดหรือตื่นเต้น อย่างไรก็ดี อาการสะอึกที่มีอาการมากกว่า 48 ชั่วโมงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น เส้นประสาทเสียหายหรือระคายเคือง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ความผิดปกติของการเผาผลาญและการใช้ยา ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงของอาการสะอึก ผู้ชายมีโอกาสที่จะมีอาการสะอึกเป็นเวลานานได้มากกว่าผู้หญิงเป็นอย่างมาก ความเสี่ยงสำหรับอาการสะอึกมีหลายประการ เช่น ประเด็นทางจิตใจหรืออารมณ์ ความกังวล ความเครียด และความตื่นเต้น มีความสัมพันธ์กับอาการสะอึกในระยะสั้นและระยะยาวในบางกรณี การผ่าตัด ผู้ป่วยบางรายมีอาการสะอึก หลังจากได้รับยาสลบ หรือหลังจากหัตถการเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง การวินิจฉัยและการรักษาโรคข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยอาการสะอึก อาจจำเป็นต้องมีการทดสอบทางประสาท เพื่อตรวจสอบความสมดุลและการประสานงานของร่างกาย ความแข็งแรงและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ กิริยาสนองฉับพลัน การมองเห็น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

ภาวะขาดน้ำ เป็นอาการที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำ รวมถึงเกลือ แร่ธาตุ และน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถรบกวนการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดผลเสียหลายประการ คำจำกัดความ ภาวะขาดน้ำคืออะไร ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เป็นอาการที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำมากกว่าการได้รับน้ำ ภาวะไม่สมดุลดังกล่าวยังขัดขวางระดับของเกลือ แร่ธาตุ และน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถรบกวนการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดผลเสียหลายประการ พบได้บ่อยเพียงใด ภาวะขาดน้ำพบได้บ่อยมาก สามารถส่งผลต่อคนทุกวัย ในทุกวัน น้ำในร่างกายสูญเสียไปในลมหายใจออก ในเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อชดเชยน้ำส่วนที่เสียไป เราจะมีภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำสามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำมีผลต่อร่างกายที่สังเกตได้ อาการที่พบได้ทั่วไปบางประการของภาวะขาดน้ำ ได้แก่ กระหายน้ำมาก รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ ใจสั่น (หัวใจเต้นเร็ว) ปัสสาวะน้อยลง ปากแห้ง มีปัสสาวะข้นเป็นสีเหลืองเข้ม กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผิวแห้ง อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น ให้ปรึกษาแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติต่างๆ ควรไปพบหมอเมื่อใด ถึงแม้ว่าจะพบได้ทั่วไป ภาวะขาดน้ำอาจเป็นอันตรายมากหากไม่ได้รับการรักษา ให้แจ้งแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ท้องเสียมากกว่า 2 วัน ปัสสาวะน้อยลง มึนงง อ่อนเพลีย สมาธิสั้น เป็นลม เจ็บหน้าอกหรือช่องท้อง หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำมักเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ สภาพอากาศ การออกกำลังกาย และอาหาร นอกจากนี้ ยังเกิดจากโรคที่ทำให้เกิดการขาดน้ำ เช่น ท้องร่วงเรื้อรัง อาเจียน และเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงภาวะขาดน้ำ ทารกและทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงมากกว่า ในการมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากน้ำหนักร่างกายน้อย ทำให้ร่างกายไวต่อการสูญเสียน้ำ แม้เพียงปริมาณเล็กน้อย ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากลืมดื่มน้ำ และไม่ได้ระลึกว่าจำเป็นต้องดื่มน้ำ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernia)

ไส้เลื่อนกระบังลม เป็นอาการที่กระเพาะอาหารส่วนบนเคลื่อนตัวผ่านกระบังลม กระบังลมเป็นผนังกล้ามเนื้อที่แยกกระเพาะอาหารออกจากหน้าอก เมื่อคุณเป็นไส้เลื่อนกระบังลม กรดจะไหลขึ้นมาด้านบนได้ง่ายขึ้น คำจำกัดความไส้เลื่อนกระบังลม คืออะไร ไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernia) เป็นอาการที่กระเพาะอาหารส่วนบนเคลื่อนตัวผ่านกระบังลม กระบังลมเป็นผนังกล้ามเนื้อที่แยกกระเพาะอาหารออกจากหน้าอก กระบังลมช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลขึ้นมายังหลอดอาหาร เมื่อคุณเป็นไส้เลื่อนกระบังลม กรดจะไหลขึ้นมาด้านบนได้ง่ายขึ้น การรั่วของกรดจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร เรียกว่าโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) โรคนี้อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนในกระเพาะอาหารและลำคอได้ ไส้เลื่อนกระบังลมพบได้บ่อยเพียงใด ทุก ๆ คนในทุกกลุ่มอายุอาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้ อย่างไรก็ดี ไส้เลื่อนกระบังลมมักพบได้มากในผู้หญิง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี คุณสามารถลดโอกาสในการเกิดไส้เลื่อนกะบังลมได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของไส้เลื่อนกระบังลม ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่เมื่ออาการเกิดขึ้น มักมีอาการประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร อาการ ได้แก่ แสบร้อนกลางอก เจ็บหน้าอก เรอ และปัญหาเกี่ยวกับการกลืนซึ่งพบได้น้อย การก้มตัวหรือการนอนลงสามารถทำให้อาการแสบร้อนกลางอกแย่ลงได้ อาการแทรกซ้อนคืออาการเลือดออก ซึ่งเกิดจากอาการระคายเคืองที่หลอดอาหาร อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นไส้เลื่อนกระบังลม และมีอาการปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอกหรือช่องท้อง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ คุณอาจเป็นไส้เลื่อนกระบังลมแบบเลือดคั่งเหตุบีบรัด (Strangulated Hernia) หรือมีการอุดกั้น ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางร่างกาย ให้โทรแจ้งแพทย์ทันที ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของไส้เลื่อนกระบังลม โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุมักไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยปกติแล้ว […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แหล่งสะสม แบคทีเรีย ในบ้านที่เราอาจคาดไม่ถึง

บ้านของเราอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากกว่าที่คิด เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่าจาก 32 สถานที่ภายในบ้าน พบว่าจุดที่ สะสม แบคทีเรีย  เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ชักโครก ท่อระบายน้ำในห้องครัว ฟองน้ำล้างจาน ผ้าขี้ริ้ว และอ่างล้างจาน นอกจากนี้ยังมีแหล่งสะสม แบคทีเรีย ภายในบ้าน ที่คุณอาจคาดไม่ถึงอีกหลายแหล่ง แหล่งสะสมแบคทีเรียในบ้าน ที่คุณคาดไม่ถึง ห้องครัว ห้องครัวควรเป็นมุมที่สะอาด เพราะเป็นมุมที่ใช้ทำอาหารและล้างจาน แต่ห้องครัวอาจไม่ได้สะอาดเสมอไป เนื่องจากสมาคมสุขาภิบาลแห่งชาติ (National Sanitation Foundation, NSF) พบว่าบริเวณที่ใช้เก็บอาหาร หรือมุมเตรียมอาหาร มีแบคทีเรียมากกว่า เมื่อเทียบกับมุมอื่นๆ ภายในบ้าน นอกจากนี้ 75% ของฟองน้ำล้างจานและผ้าขี้ริ้วมีซาลโมเนลลา (Salmonella) และอี. โคไล (E. coli) และพบการปนเปื้อนอุจจาระเมื่อเทียบกับ 9% ที่พบในก๊อกน้ำล้างมือในห้องน้ำ และสำหรับคำแนะนำคือ ควรทำความสะอาดห้องครัวบ่อยๆ รวมถึงใช้เทคนิคเหล่านี้ ได้แก่ ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ เช็ดทำความสะอาดห้องครัว นำฟองน้ำล้างจานไปใส่ในไมโครเวฟเป็นเวลาประมาณ 1 นาทีเพื่อฆ่าแบคทีเรีย เปลี่ยนผ้าขี้ริ้วสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ล้างมือก่อนและหลังจับอาหาร เครื่องซักผ้า หากผ้าที่เปียกชื้นค้างอยู่ในเครื่องซักผ้า แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ ก็สามารถทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตขึ้นได้ โดยควรนำผ้ามาตากทันทีหลังจากที่ซักเสร็จ และหากทิ้งผ้าไว้นานเกิน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตุ่มพอง จากการเสียดสี รองเท้ากัด หรือน้ำร้อนลวก ควรเจาะดีหรือเปล่า?

ใครๆ ต่างก็เคยเจอ ตุ่มพอง ที่เป็นตุ่มใสๆ มีน้ำอยู่ข้างใน แล้วก็อาจจะคันมือคันไม้ อยากที่จะจัดการกับมันเสียเต็มประดา แต่ก่อนที่จะจัดการกับมัน ลองอ่านข้อมูลพวกนี้ดูก่อน แล้วคุณอาจจะอยากปล่อยมันไว้เฉยๆ แบบนั้นก็ได้ ตุ่มพองจริงๆ แล้วมีประโยชน์นะ! การเสียดสี หรือความร้อนเล็กน้อย เป็นสาเหตุหลักของการเกิด ตุ่มพอง ซึ่งมีของเหลวอยู่ด้านใน แม้เราจะอยากจัดการกับมันเสียเต็มประดา แต่จริงๆ แล้วของเหลวใสที่อยู่ด้านในตุ่มนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด! เนื่องจากตุ่มพองมักเกิดขึ้นบริเวณที่มีการเสียดสี และผิวหนังส่วนนั้นมีการพองขึ้นมา นั่นเป็นวิธีการของร่างกายในการปกป้องผิว และของเหลวใสที่อยู่ในตุ่มพองนั้นก็มีหน้าที่ในการป้องกันผิวด้านล่าง ซึ่งเป็นผิวหนังที่จะเกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ของเหลวนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อผิวด้านล่างเนื่องจากทำให้ผิวบริเวณนั้นสะอาด จึงเป็นการป้องกันการติดเชื้อ และเร่งอาการให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ตุ่มพองจะทำให้รู้สึกเจ็บ แต่เราก็ไม่ควรจะเจาะตุ่มน้ำออก นอกจากในกรณีที่มีขนาดใหญ่เกินไป และทำให้เกิดการเจ็บหรือระคายเคือง โดยปกติตุ่มพองส่วนใหญ่จะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องรับการรักษาจากแพทย์แต่อย่างใด แต่ถ้าอยากจัดการกับตุ่มพอง.. ถึงแม้ตุ่มพองจะไม่จำเป็นและไม่ควรต้องเจาะออก แต่ในกรณีที่ตุ่มพองมีขนาดใหญ่มาก และคุณห้ามใจไม่ได้ที่อยากจะเจาะ ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเข็มที่จะใช่เจาะ โดยการลนไฟให้ปลายเข็มร้อนจนแดง และล้างด้วยแอลกอฮอล์ ล้างมือ และล้างบริเวณที่จะเจาะให้สะอาด เมื่อเจาะแล้วของเหลวไหลออกมา หากคุณสังเกตว่า ของเหลวที่ไหลออกมาเป็นสีขาวหรือเหลือง นั่นหมายความว่า เกิดการติดเชื้อเข้าแล้ว และต้องเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรดึงหนังบริเวณที่เจาะตุ่มออก เพื่อเป็นการป้องการผิวหนังด้านล่างที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ยาฆ่าเชื้อทาบริเวณที่เจาะ เฝ้าสังเกตสัญญาณของการติดเชื้อ คือบริเวณที่เป็นตุ่มพองรู้สึกอุ่นและแดง มีหนองไหลออกมา หรือเกิดรอยแดงบริเวณรอบตุ่มพองและขยายวงกว้าง วิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดตุ่มพอง ในกรณีของตุ่มพองที่เกิดจากน้ำร้อนลวกหรือรอยไหม้ เราอาจไม่มีวิธีป้องกัน นอกจากจะบอกให้ระมัดระวังของร้อนเหล่านี้ แต่สำหรับตุ่มพองที่เกิดจากการเสียดสีต่างๆ นั้น วิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดตุ่มพอง ก็คือการป้องกันการเสียดสี เช่น […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน