สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แหล่งสะสม แบคทีเรีย ในบ้านที่เราอาจคาดไม่ถึง

บ้านของเราอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากกว่าที่คิด เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่าจาก 32 สถานที่ภายในบ้าน พบว่าจุดที่ สะสม แบคทีเรีย  เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ชักโครก ท่อระบายน้ำในห้องครัว ฟองน้ำล้างจาน ผ้าขี้ริ้ว และอ่างล้างจาน นอกจากนี้ยังมีแหล่งสะสม แบคทีเรีย ภายในบ้าน ที่คุณอาจคาดไม่ถึงอีกหลายแหล่ง แหล่งสะสมแบคทีเรียในบ้าน ที่คุณคาดไม่ถึง ห้องครัว ห้องครัวควรเป็นมุมที่สะอาด เพราะเป็นมุมที่ใช้ทำอาหารและล้างจาน แต่ห้องครัวอาจไม่ได้สะอาดเสมอไป เนื่องจากสมาคมสุขาภิบาลแห่งชาติ (National Sanitation Foundation, NSF) พบว่าบริเวณที่ใช้เก็บอาหาร หรือมุมเตรียมอาหาร มีแบคทีเรียมากกว่า เมื่อเทียบกับมุมอื่นๆ ภายในบ้าน นอกจากนี้ 75% ของฟองน้ำล้างจานและผ้าขี้ริ้วมีซาลโมเนลลา (Salmonella) และอี. โคไล (E. coli) และพบการปนเปื้อนอุจจาระเมื่อเทียบกับ 9% ที่พบในก๊อกน้ำล้างมือในห้องน้ำ และสำหรับคำแนะนำคือ ควรทำความสะอาดห้องครัวบ่อยๆ รวมถึงใช้เทคนิคเหล่านี้ ได้แก่ ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ เช็ดทำความสะอาดห้องครัว นำฟองน้ำล้างจานไปใส่ในไมโครเวฟเป็นเวลาประมาณ 1 นาทีเพื่อฆ่าแบคทีเรีย เปลี่ยนผ้าขี้ริ้วสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ล้างมือก่อนและหลังจับอาหาร เครื่องซักผ้า หากผ้าที่เปียกชื้นค้างอยู่ในเครื่องซักผ้า แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ ก็สามารถทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตขึ้นได้ โดยควรนำผ้ามาตากทันทีหลังจากที่ซักเสร็จ และหากทิ้งผ้าไว้นานเกิน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตุ่มพอง จากการเสียดสี รองเท้ากัด หรือน้ำร้อนลวก ควรเจาะดีหรือเปล่า?

ใครๆ ต่างก็เคยเจอ ตุ่มพอง ที่เป็นตุ่มใสๆ มีน้ำอยู่ข้างใน แล้วก็อาจจะคันมือคันไม้ อยากที่จะจัดการกับมันเสียเต็มประดา แต่ก่อนที่จะจัดการกับมัน ลองอ่านข้อมูลพวกนี้ดูก่อน แล้วคุณอาจจะอยากปล่อยมันไว้เฉยๆ แบบนั้นก็ได้ ตุ่มพองจริงๆ แล้วมีประโยชน์นะ! การเสียดสี หรือความร้อนเล็กน้อย เป็นสาเหตุหลักของการเกิด ตุ่มพอง ซึ่งมีของเหลวอยู่ด้านใน แม้เราจะอยากจัดการกับมันเสียเต็มประดา แต่จริงๆ แล้วของเหลวใสที่อยู่ด้านในตุ่มนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด! เนื่องจากตุ่มพองมักเกิดขึ้นบริเวณที่มีการเสียดสี และผิวหนังส่วนนั้นมีการพองขึ้นมา นั่นเป็นวิธีการของร่างกายในการปกป้องผิว และของเหลวใสที่อยู่ในตุ่มพองนั้นก็มีหน้าที่ในการป้องกันผิวด้านล่าง ซึ่งเป็นผิวหนังที่จะเกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ของเหลวนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อผิวด้านล่างเนื่องจากทำให้ผิวบริเวณนั้นสะอาด จึงเป็นการป้องกันการติดเชื้อ และเร่งอาการให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ตุ่มพองจะทำให้รู้สึกเจ็บ แต่เราก็ไม่ควรจะเจาะตุ่มน้ำออก นอกจากในกรณีที่มีขนาดใหญ่เกินไป และทำให้เกิดการเจ็บหรือระคายเคือง โดยปกติตุ่มพองส่วนใหญ่จะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องรับการรักษาจากแพทย์แต่อย่างใด แต่ถ้าอยากจัดการกับตุ่มพอง.. ถึงแม้ตุ่มพองจะไม่จำเป็นและไม่ควรต้องเจาะออก แต่ในกรณีที่ตุ่มพองมีขนาดใหญ่มาก และคุณห้ามใจไม่ได้ที่อยากจะเจาะ ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเข็มที่จะใช่เจาะ โดยการลนไฟให้ปลายเข็มร้อนจนแดง และล้างด้วยแอลกอฮอล์ ล้างมือ และล้างบริเวณที่จะเจาะให้สะอาด เมื่อเจาะแล้วของเหลวไหลออกมา หากคุณสังเกตว่า ของเหลวที่ไหลออกมาเป็นสีขาวหรือเหลือง นั่นหมายความว่า เกิดการติดเชื้อเข้าแล้ว และต้องเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรดึงหนังบริเวณที่เจาะตุ่มออก เพื่อเป็นการป้องการผิวหนังด้านล่างที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ยาฆ่าเชื้อทาบริเวณที่เจาะ เฝ้าสังเกตสัญญาณของการติดเชื้อ คือบริเวณที่เป็นตุ่มพองรู้สึกอุ่นและแดง มีหนองไหลออกมา หรือเกิดรอยแดงบริเวณรอบตุ่มพองและขยายวงกว้าง วิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดตุ่มพอง ในกรณีของตุ่มพองที่เกิดจากน้ำร้อนลวกหรือรอยไหม้ เราอาจไม่มีวิธีป้องกัน นอกจากจะบอกให้ระมัดระวังของร้อนเหล่านี้ แต่สำหรับตุ่มพองที่เกิดจากการเสียดสีต่างๆ นั้น วิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดตุ่มพอง ก็คือการป้องกันการเสียดสี เช่น […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ฟอกไต (Kidney Dialysis)

ไต ทำหน้าที่ในการทำความสะอาดเลือด ด้วยการกำจัดของเสียและน้ำออกจากร่างกาย หากไตทำงานได้ไม่ถูกต้อง อาจต้องมีการ ฟอกไต (Kidney Dialysis) เพื่อช่วยการทำงานของไต ข้อมูลพื้นฐาน การ ฟอกไต (Kidney Dialysis) คืออะไร ไต คือ อวัยวะคู่หนึ่งที่มีขนาดแต่ละข้างประมาณกำปั้น อยู่ที่กระดูกสันหลังทั้งสองด้าน มีหน้าที่ในการทำความสะอาดเลือด โดยการกำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย หากไตทำงานได้ไม่ถูกต้อง อาจจำเป็นที่จะต้องมีการฟอกไต (Kidney Dialysis) เพื่อช่วยในการทำงานของไต การฟอกไตมีสองชนิดดังนี้ ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ทำการฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม (dialyzer) และเครื่องฟอกไต (Dialysis machine) ฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis): ทำการฟอกเลือดภายในร่างกาย หลังจากที่ภายในช่องท้องเต็มไปด้วยสารละลายพิเศษ สำหรับทำความสะอาด ในปัจจุบันนี้มีคนจำนวนมากขึ้นทั่วทั้งโลก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่เป็นโรคไตและจำเป็นต้องทำการฟอกไต ความจำเป็นในการ ฟอกไต หากไตของคุณทำงานได้ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโรคไตเรื้อรังขึ้นรุนแรง (โรคไตวาย) ไตของคุณอาจไม่สามารถทำความสะอาดเลือดได้อย่างถูกต้อง ทำให้ของเสียและน้ำส่วนเกินสะสมภายในร่างกายในระดับอันตราย หากไม่รับการรักษา อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์หลายประการ และสุดท้ายก็จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต การฟอกไต จะกรองเอาสารและน้ำที่ไม่ต้องการออกจากเลือด ซึ่งก่อนหน้านั้น แพทย์อาจจะช่วยให้คำแนะนำว่า คุณควรเริ่ม การฟอกไต เมื่อไหร่ โดยขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยด้านล่างนี้ สุขภาพโดยรวม การทำงานของไต สัญญาณและอาการ คุณภาพชีวิต ความชอบส่วนบุคคล คุณอาจสังเกตเห็นสัญญาณและอาการของโรคไตวาย หรือยูเรเมีย (Uremia) […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดเล็บขบ (Ingrown Toenail Surgery)

ข้อมูลพื้นฐานการผ่าตัดเล็บขบคืออะไร การผ่าตัดเล็บขบ (Ingrown Toenail Surgery) ใช้สำหรับการรักษาอาการเล็บขบ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเล็บงอกยาวเข้าไปในผิวหนังรอบๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นถูกทำลาย จนเกิดการอักเสบและปวด ปัญหานี้มักเกิดขึ้นที่นิ้วโป้งเท้า สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเล็บขบทั่วไปคือ การไม่ตัดเล็บให้เรียบร้อย หรือตัดเล็บไม่ผิดทรง ปัญหานี้ส่วนใหญ่จะส่งต่อกันทางพันธุกรรม  จากการมีลักษณะเล็บที่มักจะโค้งงอเวลางอกยาวออกมา ทำให้เกิดเล็บขบได้ง่าย นอกจากนี้ การสวมรองเท้าหัวแคบเกินไป ทำให้นิ้วเท้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็สามารถทำให้เกิดอาการเล็บขบได้เช่นกัน ความจำเป็นในการ ผ่าตัดเล็บขบ เล็บขบเป็นอาการที่พบได้บ่อย คุณสามารถป้องกันหรือรักษาอาการเล็บขบได้ด้วยตนเอง โดยวิธีดังต่อไปนี้ ตัดเล็บเท้าให้เป็นแนวตรง และไม่ปล่อยให้ขอบเล็บแหลม สวมรองเท้าที่เหมาะกับรูปเท้า แพทย์สามารถตัดผิวหนังบริเวณที่เกิดเล็บขบออก หรือตัดเล็บที่ยาวยื่นเข้าไปในผิวหนังออกได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเล็บงอกและทิ่มลึกเข้าสู่ผิวหนัง และไม่สามารถรักษาตามวิธีที่กล่าวข้างต้นได้ อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด แต่ก็ยังสามารถกลับมาเป็นเล็บขบซ้ำได้อีก ความเสี่ยงความเสี่ยงของการ ผ่าตัดเล็บขบ การผ่าตัดเล็บขบก็มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ โปรดปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการผ่าตัดที่สามารถเกิดกับคุณได้ อาการแทรกซ้อนทั่วไปของการผ่าตัดทุกประเภท มีดังนี้ อาการแพ้ยาสลบ เลือดออกมากเกินไป หรือเกิดลิ่มเลือด (thrombosis) อาการแทรกซ้อนจำเพาะที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเล็บขบ ได้แก่ การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด การติดเชื้อที่เนื้อเยื่อกระดูกส่วนล่าง คุณควรทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดังกล่าว หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือศัลยแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นตอนการผ่าตัดการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดเล็บขบ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์ เช่น ยาที่ใช้อยู่ อาการแพ้ต่างๆ ภาวะสุขภาพของคุณ จากนั้นคุณจะได้เข้าพบวิสัญญีแพทย์ และวางแผนในการดมยาสลบ สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการงดอาหารและน้ำก่อนการผ่าตัด ขั้นตอนการ ผ่าตัดเส้นเล็บขบ การผ่าตัดจะทำควบคู่ไปกับการใช้ยาชา และใช้เวลาประมาณ 10 นาที โดยมีขั้นตอนดังนี้ การถอดเล็บ การตัดส่วนของเล็บเท้า การตัดเนื้อเยื่อรองเล็บ เป็นการตัดบางส่วนหรือทั้งหมด และทาสารเคมีหรือใช้คลื่นไฟฟ้ากับบริเวณของเนื้อเยื่อซึ่งเล็บงอกออกมา กระบวนการซาเด็ค (Zadek’s procedure) ซึ่งเป็นการถอดเล็บทั้งหมด […]


อาการของโรค

9 สาเหตุของอาการ รอยช้ำ ที่ควรรู้

รอยช้ำ หรือ ฟกช้ำ คือการบาดเจ็บที่เนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการฉีกขาดของหลอดเลือดฝอย และหลอดเลือดแดงที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนัง จนเลือดมาคั่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังชั้นนอก ทำให้เห็นเป็นรอยคล้ำดำเขียว รอยช้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน คุณอาจเผลอเตะประตู เดินชนขาโต๊ะ ผ่านไปไม่นานบริเวณนั้นก็กลายเป็นรอยช้ำ แต่บางคนอาจมีรอยช้ำเกิดขึ้นบนร่างกาย โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ หากเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่า คุณมีแนวโน้มเกิดรอยช้ำง่ายกว่าคนอื่น ซึ่งอาจเกิดได้จากสาเหตุเหล่านี้ [embed-health-tool-bmi] สาเหตุของ รอยช้ำ 1. อายุที่มากขึ้น เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ผิวหนังจะบางลง และสูญเสียชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ที่ทำหน้าที่เสมือนเบาะคอยรองรับแรงกระแทก ร่างกายผลิตคอลลาเจนลดลง อีกทั้งเส้นเลือดยังเปราะแตกง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณมีโอกาสเกิดรอยช้ำได้ง่ายขึ้น 2. การรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) ยาต้านเกล็ดเลือด (Anti-platelet drugs) ยาเจือจางเลือด (Blood thinner) หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย จะไปลดความสามารถในการแข็งตัวของเลือด และทำให้คุณเกิดรอยช้ำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) ก็เป็นสาเหตุให้หลอดเลือดบางลง และทำให้เกิดรอยช้ำง่ายขึ้นเช่นกัน หากคุณกินยาเหล่านี้แล้วพบรอยช้ำ อย่าหยุดกินยากะทันหัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ทันที 3. ฟกช้ำ จากการขาดวิตามินซี วิตามินซี เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการเยียวยาและซ่อมแซมร่างกาย หากคุณได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia)

แคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) เป็นภาวะที่มีระดับแคลเซียมต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ในส่วนประกอบของเลือด ทำให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาทและอื่นๆ คำจำกัดความ แคลเซียมในเลือดต่ำคืออะไร แคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) เป็นภาวะที่มีระดับแคลเซียมต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ในส่วนประกอบของเลือด ที่เป็นของเหลวหรือพลาสมา แคลเซียมในเลือดต่ำพบได้บ่อยเพียงใด โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการแคลเซียมในเลือดต่ำมีอะไรบ้าง ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการหรือสิ่งบ่งชี้ ของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เนื่องจากภาวะดังกล่าวส่งผลต่อระบบประสาท ทารกที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก หรือมีอาการสั่น ผู้ใหญ่ที่มีภาวะดังกล่าวอาจมีอาการดังต่อไปนี้ กล้ามเนื้ออ่อนล้า กล้ามเนื้อกระตุก ความรู้สึกผิดปกติที่ไร้สาเหตุ (Paresthesias) หรือความรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงในบริเวณทั่วร่างกาย ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น ความกังวล อาการซึมเศร้า หรืออาการหงุดหงิด ปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำ ความดันเลือดต่ำ พูดหรือกลืนลำบาก อ่อนเพลีย มีอาการพาร์กินสัน จานประสาทตาบวม (Papilledema) อาการของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ได้แก่ อาการชัก ภาวะหัวใจเสียจังหวะ (Arrhythmias) หัวใจวาย กล่องเสียงหดเกร็ง (Laryngospasms) อาการในระยะยาวของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ได้แก่ ผิวแห้ง เล็บเปราะ มีนิ่วในไต หรือมีการสะสมตัวของแคลเซียมอื่นๆ ในร่างกาย ภาวะสมองเสื่อม ต้อกระจก ผื่นผิวหนังอักเสบ อาจมีบางอาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับอาการหนึ่งๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ แคลเซียมในเลือดต่ำเกิดจากอะไร สาเหตุที่พบได้มากที่สุดของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำก็คือ ภาวะที่ร่างกายที่ผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์น้อยเกินไป (hypoparathyroidism) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (parathyroid hormone: PTH) ในปริมาณน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในระดับต่ำ ส่งผลให้แคลเซียมในร่างกายอยู่ในระดับต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หรือเกิดจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือมะเร็งในบริเวณศีรษะและคอ สาเหตุอื่นๆ ของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ได้แก่ ปริมาณแคลเซียมหรือวิตามินดีไม่เพียงพอในอาหารที่รับประทาน การติดเชื้อ ยาบางชนิด ได่แก่ ยาฟีไนโทอิน (Phynytoin) อย่างไดแลนติน (Dilantin) ยาฟีโนบาร์บิทอล (Phenobarbital) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การนั่งเครื่องบิน กับปัญหาสุขภาพที่คุณอาจต้องเผชิญ

การนั่งเครื่องบิน หรือโดยสารเครื่องบินไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตยุคใหม่ จนหลายคนอาจไม่ทันฉุกคิดว่า การเดินทางเป็นระยะเวลานานๆ โดยต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากนั้น อาจส่งผลเสียสุขภาพของเราได้มากมายหลายด้าน เพราะฉะนั้นหากอยากให้การเดินทางของคุณ ไม่ว่าจะเพื่อการพักผ่อนหรือการทำงาน เป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด Hello คุณหมอ อยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับปัญหาสุขภาพที่อาจต้องเจอ จากการเดินทางโดยเครื่องบิน จะได้เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ให้ดี ปัญหาสุขภาพจาก การนั่งเครื่องบิน ภาวะพร่องออกซิเจน จาก การนั่งเครื่องบิน เมื่อเครื่องบินอยู่ในที่สูง อากาศภายในห้องโดยสารจะมีแรงดันลดลงถึง 75% จากชั้นบรรยากาศปกติ ทำให้สามารถเกิดภาวะพร่องออกซิเจน (Hypoxia) ขึ้นได้ นั่นก็คือ การที่ออกซิเจนในเลือดจะลดลงประมาณ 5-10%  ถ้าหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวจากสภาวะนี้ได้ อาจทำให้เวียนศีรษะ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease; COPD) โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) มีความเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงจากภาวะพร่องออกซิเจนมากกว่าคนปกติ ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอก่อนออกเดินทางทุกครั้ง หากจำเป็นต้องพกถังออกซิเจนไป อย่าลืมแจ้งสายการบินให้ทราบล่วงหน้า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการนั่งในห้องโดยสารเป็นเวลานาน โดยปกติ ห้องโดยสารบนเครื่องบินจะมีเครื่องกรองอากาศที่กำจัดไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่ในกรณีที่เครื่องบินล่าช้า หรือมีเหตุที่ทำให้ต้องปิดเครื่องกรองนี้ ก็อาจจะทำให้แบคทีเรียหรือไวรัสแพร่กระจายในห้องโดยสารได้ ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจจาก การนั่งเครื่องบิน มากที่สุดก็คือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ดังนั้นก่อนเดินทางทุกครั้ง […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test)

ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test) เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ในซีรั่ม เพื่อวินิจฉัยว่า คุณมีอาการแพ้หรือไม่ ข้อมูลพื้นฐานการตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด คืออะไร การตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test) เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ในซีรั่ม การตรวจด้วยวิธีนี้ เป็นการทดสอบที่มีประสิทธิภาพ ในการวินิจฉัยว่า คุณมีอาการแพ้หรือไม่ และสามารถหาสารก่อภูมิแพ้ ที่เป็นสาเหตุของอาการได้ ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ จะมีปริมาณอิมมูโนโกลบูลินอีในซีรั่มสูงขึ้น เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ขนสัตว์ อาหาร ละอองเกสร ฝุ่น เชื้อรา พิษของแมลง ยา สารที่ปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้น ความจำเป็นในการ ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด คุณควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อหาอาการภูมิแพ้ หากเกิดสัญญาณหรืออาการที่บ่งชี้ถึงอาการแพ้ เมื่อสัมผัสกับสารใดสารหนึ่ง อาการต่างๆ ประกอบด้วย ผื่นแพ้ทางผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ ตาแดง คันตา ไอ แน่นจมูก และมีน้ำมูก อาการหอบหืด คันและชาในปาก ปวดท้อง อาเจียน และท้องร่วง ข้อควรรู้ก่อนตรวจข้อควรรู้ก่อนการ ตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด ไม่ควรเข้ารับการตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด หากมีภาวะหรือโรดต่างๆ ดังนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้หลายชนิด ไม่สามารถรวมข้อมูลได้ หากผลการตรวจไม่สามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ที่แน่นอนได้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด ได้แก่ โรคที่เพิ่มปริมาณอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันในรูปโปรตีนในร่างกาย ยาที่เพิ่มความเข้มข้นของอิมมูโนโกลบูลินอี และ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์ ขั้นตอนการตรวจการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด คุณไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษก่อนเข้ารับการตรวจ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากต่อมไทรอยด์ ที่ทำงานมากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินได้   คำจำกัดความต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน คืออะไร ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) เป็นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ต่อมไทรอยด์อยู่ในลำคอและสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ที่ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย หน้าที่การทำงานบางประการของต่อมไทรอยด์ ได้แก่ ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด กระตุ้นการเผาผลาญ กระตุ้นการเต้นของหัวใจและระบบประสาท และความคุมความร้อนในร่างกาย แต่ฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากเกินไปส่งผลให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน พบได้บ่อยเพียงใด ต่อมไทรอยด์ทำงานเกินเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไป ผู้หญิงมักมีภาวะดังกล่าวได้มากกว่าผู้ชายถึงสามเท่า แต่คุณสามารถลดโอกาสในการเกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินได้ด้วยการลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการ ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน อาการของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ได้แก่ กระสับกระส่าย มีเหงื่อออก อ่อนเพลีย หัวใจเต้นแรงหรือไม่เป็นจังหวะ หรือความผิดปกติเกี่ยวกับจังหวะการเต้นของหัวใจอื่น ๆ เช่น ภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (Trial fibrillation) อาการอื่น ๆ ได้แก่ ดวงตาระคายเคือง น้ำหนักลด มีความไวต่อความร้อน ขับถ่ายอุจจาระหรือท้องเสียบ่อย ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกรฟส์ (Graves’s disease) มีต่อมไทรอยด์โต (โรคคอพอก) อาจมีตาโปน (Exophthalmos) สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณมีน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อออกผิดปกติ มีอาการบวมที่คอส่วนล่าง หรือมีอาการอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ควรไปพบคุณหมอ และต้องอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลง ที่คุณสังเกตได้โดยละเอียดเนื่องจากสิ่งบ่งชี้และอาการต่าง ๆ ของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน อาจสัมพันธ์กับภาวะอื่นๆ อีกจำนวนมาก หากคุณได้เข้ารับการรักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินแล้ว หรือเข้ารับการรักษาในเร็ว ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รับมือกับ เชื้อดื้อยา ก่อนที่จะสายเกินไป

องค์การอนามัยโลก กำหนดให้ระหว่างวันที่  12-18 พฤศจิกายน 2561 เป็นช่วงสัปดาห์ Antibiotic Awareness Week หรือ “สัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียโลก” เพื่อให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงปัญหาของ เชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก นพ.ณัฐพงศ์ เดชธิดา มีมุมมองจากประสบการณ์และข้อมูลในเรื่องนี้มาฝาก สถานการณ์ เชื้อดื้อยา ในประเทศไทย ‘เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ’ คือ การที่เชื้อแบคทีเรียที่เคยไวต่อยาปฏิชีวนะมาก่อน เกิดการกลายพันธุ์เป็น เชื้อดื้อยา โดยเมื่อเชื้อดังกล่าวสัมผัสกับยาปฏิชีวนะแล้ว ยาไม่สามารถยับยั้งหรือทำลายเชื้อแบคทีเรียได้เหมือนเดิม ทำให้การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ ทำได้ยาก ต้องใช้ยาร่วมกันหลายขนาน ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง เกิดพิษ และผลกระทบข้างเคียงมาก สถานการณ์การเกิดเชื้อดื้อยาในประเทศไทย มีการเพิ่มขึ้นและรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้จะมีวิวัฒนาการของการพัฒนายา และการระงับการใช้ยาฆ่าเชื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงประชาชนก็ตระหนักถึงการใช้ยาฆ่าเชื้อที่ไม่จำเป็นมากขึ้นแล้วก็ตาม การใช้ยาปฏิชีวนะในไข้หวัดธรรมดา ลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส และแผลผิวหนังติดเชื้อระดับที่หนึ่งนั้น เป็นเรื่องไม่จำเป็น จากประสบการณ์ของผู้เขียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าคนไข้ตระหนักมากขึ้นถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และเลือกไม่ซื้อยาปฏิชีวนะที่ร้านขายยาก่อนพบหมอ พฤติกรรมการตระหนักรู้ถึงความจำเป็นและไม่จำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มโรคดังกล่าว จึงมีแนวโน้มดีขึ้น เชื้อดื้อยากลุ่มหลักในไทย หากแต่สถานการณ์เรื่องเชื้อดื้อยาในโรคที่รุนแรง ก็ยังไม่ลดลงหรือหายไปแต่อย่างใด ในบทความนี้จะกล่าวถึงเชื้อดื้อยา 3 กลุ่มหลัก ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นภาวะวิกฤติของการดื้อยาในประเทศไทย ดังต่อไปนี้ 1.โรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae พบว่าเชื้อดังกล่าวดื้อต่อยา Oxacillin, […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน