หากพูดถึง “มันฝรั่ง’ หลาย ๆ คนคงทราบดีว่ามันฝรั่งเป็นพืชกินหัวที่สามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารสารพัดเมนู ไม่ว่าจะต้มซุป มันบด เฟรนช์ฟรายส มันอบ เรียกได้ว่าถูกใจทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี แต่คุณทราบหรือไม่ว่า มันฝรั่งนั้นมีประโยชน์และสรรพคุณทางยาอีกด้วย ไม่ว่าจะกินแบบปลอกเปลือกหรือกินทั้งเปลือกก็ตาม นอกจากการปรุงอาหารด้วยเนื้อมันฝรั่งแล้ว.. น้ำมันฝรั่ง นั้นก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน แต่น้ำมันฝรั่งนี้จะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง วันนี้ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน
น้ำมันฝรั่ง และประโยชน์ต่อสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า น้ำมันฝรั่งนั้นมีประโยชน์ เพราะอุดมด้วยวิตามิน เส้นใย และเป็นแหล่งโปรตีน ลองมาดูว่าประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันฝรั่งมีอะไรบ้าง
-
วิตามินซี
น้ำมันฝรั่งมีวิตามินซีสูง ทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซับธาตุเหล็กและสร้างคอลลาเจนในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก และกระดูกอ่อน นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ปรับปรุงสุขภาพผิว ช่วยบรรเทาอาการบวม ลดการระคายเคือง
-
วิตามินบี
น้ำมันฝรั่งมีปริมาณวิตามินบีประมาณร้อยละ 40 ซึ่งมีทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 3 วิตามินบี 2 เล็กน้อย และวิตามินบี 6 ซึ่งวิตามินบีเหล่านี้มีความสำคัญต่อการช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคส สร้างพลังงาน ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท ส่งเสริมสุขภาพผมและผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาสุขภาพตับ
-
โพแทสเซียม
น้ำมันฝรั่งมีโพแทสเซียมสูงมาก ซึ่งธาตุอาหารสำคัญนี้มีปริมาณมากกว่าส้มถึง 3 เท่า นั่นคือประมาณ 1,467 มิลิกรัม โพแทสเซียมเป็นอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งช่วยควบคุมของเหลวในร่างกายและสนับสนุนการทำงานของกล้ามเนื้อ อิเล็กโทรไลต์ยังช่วยไตในการกรองเลือด
-
ธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็กเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับความเหนื่อยล้า ทั้งยังช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรงและการหมุนเวียนออกซิเจนในร่างกาย โดยน้ำมันฝรั่งมีปริมาณธาตุเหล็กประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำต่อวันเลยทีเดียว
-
แคลเซียม
หากปราศจากแคลเซียมเลือดของคุณก็จะไม่เป็นก้อน ฟันและกระดูกก็จะไม่แข็งแรง แต่คุณก็สามารถเพิ่มแคลเซียมได้ด้วยน้ำมันฝรั่ง เพราะน้ำมันฝรั่ง 1 แก้ว สามารถให้แคลเซียมประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
-
สังกะสี
นอกจากการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ซิงค์ หรือสังกะสียังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น น้ำมันฝรั่ง 1 แก้ว มีสังกะสีประมาณ 1 มิลลิกรัม หรือประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ชาย และ 11 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเหมาะสำหรับผู้หญิง
วิตามินเคที่ละลายในไขมันมีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด และป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ทั้งยังสนับสนุนการลำเลียงแคลเซียมทั่วร่างกาย โดยน้ำมันฝรั่งมีปริมาณวิตามินเคประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
-
สารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระและไฟโตเคมิคอล (Phytochemicals) เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรค ควบคุมการอักเสบ และชะลอความแก่ก่อนวัย เพราะน้ำมันฝรั่งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อาทิ ลูทีน (Lutein) ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และไวโอลาแซนทิน (Violaxanthin)
น้ำมันฝรั่ง ช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้
น้ำมันฝรั่งนั้นนอกจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้ว น้ำมันฝรั่งยังมีประโยชน์ในเรื่องของความงามอีกด้วย โดยคุณสามารถช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้าได้ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้
วิธีที่ 1 : ผสมน้ำมันฝรั่งเข้ากับน้ำมะนาว
น้ำมะนาวเต็มไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ดีที่สุดสำหรับผิว คุณสามารผสมน้ำมันฝรั่งและน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากันเข้าด้วยกัน จากนั้นน้ำลำสีมาชุบและเช็ดให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วจึงล้างหน้าตามปกติ มันจะช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้าได้ ซึ่งคุณสามารถทำซ้ำได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
วิธีที่ 2 : ผสมดินฟูลเลอร์เอิธ (Fuller Earth) กับน้ำมันฝรั่ง
ดินฟูลเลอร์เอิธ (Fuller Earth) สามารถปรนนิบัติผิวหน้าของคุณได้อย่างมหัศจรรย์ ซึ่งคุณสามารถนำน้ำมันฝรั่งมาผสมกับดินฟูลเลอร์เอิธ โดยผสมให้มีเนื้อที่ข้นๆ จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วก็ทำการล้างหน้าแบบปกติ ทำซ้ำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะทำให้จุดด่างดำบนใบหน้าแลดูจางลง
วิธีที่ 3 : ใช้น้ำมันฝรั่งเป็นโทนเนอร์ (Toner)
คุณสามารถผสมขมิ้นและน้ำมันฝรั่งเข้าด้วยกัน แล้วนำมาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้เพียงไม่กี่นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาด สำหรับสูตรนี้ คุณสามารถใช้ได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยให้จุดด่างดำจางลง
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะใช้น้ำมันฝรั่งและส่วนผสมต่าง ๆ กับผิวหน้า คุณควรทดสอบเสียก่อนว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หากคุณมีผิวแพ้ง่ายหรือมีข้อกังวลใจในการใช้น้ำมันฝรั่งเพื่อรักษาจุดด่างดำนั้น ก็ควรที่จะต้องขอคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดีเสียก่อน เพราะสภาพผิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน บางคนอาจจะมีอาการแพ้รุนแรง นอกจากนั้นผลลัพธ์ยังอาจขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
[embed-health-tool-bmr]