ข้อบ่งใช้
ยา มิโนไซคลีน ใช้สำหรับ
ยา มิโนไซคลีน (Minocycline) ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อต่างๆ ทั้งยังอาจใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อรักษาอาการสิวที่รุนแรงด้วย ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน (Tetracycline antibiotics) ทำงานโดยการหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
ยาปฏิชีวนะนี้ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หากคุณใช้ยาปฏิชีวนะเโดยไม่จำเป็น อาจทำให้ยาใช้ไม่ได้ผลในอนาคต หรือเชื้อดื้อยาได้
วิธีการใช้ยา มิโนไซคลีน
ยานี้จะได้ผลดีที่สุดหากรับประทานขณะท้องว่าง คุณควรรับประทานยาตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือ ทุกๆ 12 ชั่วโมง (รับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง)
รับประทานยาพร้อมกับดื่มน้ำหนึ่งแก้ว (8 ออนซ์ หรือ 240 มล.) เว้นแต่แพทย์จะสั่งให้ทำแบบอื่น หากเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน อาจรับประทานยาพร้อมกับอาหารหรือนมก็ได้ แต่อาจทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีนัก ดังนั้น คุณจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรให้ดีก่อนใช้ยา
หากคุณใช้ยาแคปซูล ควรกลืนยาลงไปทั้งเม็ด และหากอยากล้มตัวนอน ควรรออย่างน้อย 10 นาทีหลังกินยา เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรใช้ยาก่อนนอน
รับประทานยานี้ 2-3 ชั่วโมงก่อนหรือหลังจากบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม หรือสังกะสี เช่น ยาลดกรด สารละลายไดดาโนซีน (didanosine solution) ยาควินาพริล (quinapril) อาหารเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (เช่น นม โยเกิร์ต) น้ำผลไม้เสริมแคลเซียม เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้จับตัวกับยามิโนไซคลีนและทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมยาได้อย่างเต็มที่
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้ยานี้ โดยเว้นระยะเวลาให้เท่ากัน เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
ใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบกำหนด แม้ว่าอาการจะหายไปภายในไม่กี่วันหลังเริ่มใช้ยา เนื่องจากการหยุดใช้ยาเร็วเกินไปอาจทำให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง
ขนาดยาและระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา โปรดแจ้งให้แพทย์ทันทีทราบหากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง
การเก็บรักษายา มิโนไซคลีน
ควรเก็บยา มิโนไซคลีน ที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยามิโนไซคลีนบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
ไม่ควรทิ้งยามิโนไซคลีนลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยามิโนไซคลีน
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีนอื่นๆ เช่น ยาด็อกซีไซคลิน (doxycycline) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่นได้ จึงควรปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ
- ปัญหาเกี่ยวกับไต
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ
- กลืนลำบาก
- ปัญหาเกี่ยวกับหลอดอาหาร เช่น โรคไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernia) กรดไหลย้อน (reflux) แสบร้อนกลางอก (heartburn)
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ฉะนั้น อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย และควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ยานี้อาจทำให้คุณมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรจำกัดเวลาอยู่ใต้แสงแดด ทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันเมื่ออยู่นอกบ้าน และหากคุณมีอาการแดดเผาหรือแผลพุพองหรือรอยแดงที่ผิวหนัง โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ยานี้อาจทำให้วัคซีนแบคทีเรียเชื้อเป็น เช่น วัคซีนไทรอยด์ ทำงานได้ไม่ดีนัก อย่าสร้างภูมิคุ้มกันหรือรับวัคซีนเว้นเสียแต่แพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง สมุนไพร เป็นต้น
เด็กที่อายุต่ำกว่า 8 ปีอาจมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการฟันเปลี่ยนสี อาการนี้ยังสามารถเกิดได้ในเด็กโตและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวได้ด้วย โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยานี้
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณตั้งครรภ์หรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ เนื่องจากการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ หากคุณตั้งครรภ์ โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของยานี้ก่อนใช้ยา
ยานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ในปริมาณน้อยและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อทารก อย่างไรก็ดี โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาซูลโคลนาโซลจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A = ไม่มีความเสี่ยง
- B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C = อาจจะมีความเสี่ยง
- D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X = ห้ามใช้
- N = ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา มิโนไซคลีน
การใช้ยามิโนไซคลีนอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง หน้ามืด วิงเวียน หรือบ้านหมุน หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดขณะกลืน หรือกลืนลำบาก
- การได้ยินเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อในหู การได้ยินลดลง
- ข้อต่อมีอาการแข็งเกร็ง ปวด หรือบวม
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลง ปัสสาวะสีชมพู
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ความอยากอาหารลดลง ปวดท้อง ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีคล้ำ
- ฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เทา หรือน้ำตาล
- ผิวหนัง ลิ้น ริมฝีปาก หรือเหงือกเป็นสีน้ำเงินหรือเทา
ในนานๆ ครั้ง ยามิโนไซคลีนอาจทำให้เกิดภาวะความดันภายในกระโหลกสูง (Intracranial Hypertension หรือ IH) โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเคยมีภาวะความดันภายในกะโหลกสูงมาก่อน โดยปกติแล้ว ภาวะนี้มักจะหายไปเอง เมื่อหยุดใช้ยา มิโนไซคลีน แต่ก็มีโอกาสที่จะทำให้ตาบอดถาวรได้เช่นกัน ฉะนั้น ควรรับการรักษาในทันทีหากคุณมีอาการดังนี้
- ปวดศีรษะรุนแรงหรือไม่หายไป
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือมองเห็นภาพซ้อน การมองเห็นลดลง ตาบอดกะทันหัน
- คลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด
ในนานๆ ครั้งยานี้อาจทำให้เกิดสภาวะลำไส้ที่รุนแรง เช่น อาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับคลอสทริเดียม ดิฟิซายล์ (Clostridium difficile-associated diarrhea) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาบางอย่าง โดยภาวะนี้อาจเกิดในช่วงเข้ารับการรักษาด้วยยามิโนไซคลีน หรือเกิดขึ้นหลังจากหยุดใช้ยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนแล้วก็ได้ ฉะนั้น โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้
- ท้องร่วงบ่อยครั้ง
- ปวดท้อง
- มีเลือดหรือเสมหะในอุจจาระ
อย่าใช้ยาแก้ท้องเสียหรือยาแก้ปวดแบบเสพติด (narcotic pain medications) หากเกิดอาการดังกล่าวเนื่องจากอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
การใช้ยานี้เป็นเวลานานหรือใช้เป็นรอบซ้ำๆ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปากหรือการติดเชื้อยีสต์ได้ โปรดติดต่อแพทย์หากคุณสังเกตเห็นรอยสีขาวภายในปาก หรือมีความเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่งจากช่องคลอด
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรง ได้แก่
- ผดผื่น
- คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ
- วิงเวียนขั้นรุนแรง
- หายใจติดขัด
ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยามิโนไซคลีนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่
- ยาเรตินอยด์ (retinoid) แบบรับประทาน เช่น ยาอาซิเทรติน (acitretin) ยาไอโซเตรทติโนอิน (isotretinoin) ยาสตรอนเชียม (strontium)
แม้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ห่วงคุมกำเนิด แต่ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยาไรแฟมพิน (rifampin) ยาไรฟาบูติน (rifabutin) ก็อาจลดประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดเหล่านี้ และส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ หากคุณใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการบางชนิด เช่น การตรวจระดับของแคทีโคลามีนภายในปัสสาวะ (urine catecholamine levels) และอาจทำให้ผลตรวจเป็นเท็จได้ ฉะนั้น ก่อนเข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โปรดแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกครั้งว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยา มิโนไซคลีน อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยามิโนไซคลีนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยามิโนไซคลีนสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด คือ 400 มก./24 ชั่วโมง
ยาสำหรับรับประทาน
- การติดเชื้อส่วนใหญ่ เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาอีกทางเลือกหนึ่ง (หากต้องให้ยาบ่อยกว่า) เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 100-200 มก. ตามด้วย 50 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง
- การติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะ เยื่อบุผิวปากมดลูกด้านใน หรือทวารหนักเนื่องจากเชื้อเชื้อคลาไมเดีย แทรโคมาทิส (Chlamydia trachomatis) หรือเชื้อยูเรียพลาสมา ยูเรียไลทิคุม (Ureaplasma urealyticum) ให้รับประทานยา 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน
คำแนะนำ
- หากมีโรคริดสีดวงตา (trachoma) ร่วมด้วย เชื้อโรคนั้นอาจจะไม่สามารถกำจัดได้เสมอไป จากการประเมินด้วยกล้องอิมมูโนฟลูออเรสเซนส์ (immunofluorescence)
- แนะนำให้ใช้ร่วมกับยาสเตรปโตมัยซิน (streptomycin) เพื่อรักษาโรคบรูเซลโลซิส (brucellosis)
- สำหรับโรคซิฟิลิส (syphilis) ระยะเวลาการรักษาคือ 10-15 วัน และควรติดต่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด (รวมถึงการตรวจในห้องแล็บ)
การใช้งาน
- โดยทั่วไป ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อ ต่อไปนี้
- โรคไข้รากสาดใหญ่ (Rocky Mountain spotted fever)
- ไข้ไทฟัส (typhus fever)
- โรคไข้คิว (Q fever)
- ไข้พุพองไรหนู (rickettsialpox)
- โรคไข้จากเห็บ (tick fevers) เนื่องจากเชื้อกลุ่มริกเก็ตเซีย (rickettsiae)
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากเชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนีย (Mycoplasma pneumoniae)
- โรคฝีมะม่วง (lymphogranuloma venereum)
- โรคริดสีดวงตา หรือการอักเสบของเยื่อบุตา (inclusion conjunctivitis) เนื่องจากเชื้อคลาไมเดีย แทรโคมาทิส
- ไข้นกนำ (psittacosis) หรือ (ornithosis) เนื่องจากเชื้อคลามายโดฟิลา ซิทตาซี (Chlamydophila psittaci)
- โรคหนองในเทียม (nongonococcal urethritis)
- การติดเชื้อที่เยื่อบุผิวปากมดลูกด้านในหรือทวารหนักเนื่องจากเชื้อยูเรียพลาสมา ยูเรียไลทิคุม หรือคลาไมเดีย แทรโคมาทิส
- โรคไข้กำเริบเนื่องจากเชื้อบอร์เรเลีย รีเคอร์เรนทิส (Borrelia recurrentis)
- กาฬโรค (plague) เนื่องจากเชื้อเยอซิเนีย เพสติส (Yersinia pestis)
- โรคไข้กระต่าย (tularemia) เนื่องจากเชื้อฟรานซิเซลล่า ทูลารีซิส (Francisella tularensis)
- อหิวาตกโรค (cholera) เนื่องจากเชื้อวิบริโอ คอเรอร์เร (Vibrio cholerae)
- การติดเชื้อแคมปีโลแบคเตอร์ ฟีตัส (Campylobacter fetus infections)
- โรคบรูเซลโลซิสเนื่องจากเชื้อพันธ์ุบรูเซลลา (Brucella species)
- โรคบาร์โทเนลโลสิส (bartonellosis) เนื่องจากเชื้อบาร์โทเนลลา บาซิลิฟอร์มิส (Bartonella bacilliformis)
- แผลกามโรคเรื้อรังบริเวณขาหนีบ (granuloma inguinale) เนื่องจากเชื้อเคลบเซลลา กรานูโลเมทิส (Klebsiella granulomatis)
- เพื่อรักษาการติดเชื้อเนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ดังต่อไปนี้ เมื่อผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้
- เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli)
- เชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ แอโรจีเนส (Enterobacter aerogenes) เชื้อสกุลชิเกลลา (Shigella species)
- เชื้อสกุลอะซินีโตแบ็คเตอร์ (Acinetobacter species)
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินปัสสาวะเนื่องจากเชื้อสกุลเคลบเซลลา (Klebsiella species)
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae)
- เมื่อห้ามใช้ยาเพนิซิลลิน (penicillin) เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการรักษาเนื่องจากการติดเชื้อ ต่อไปนี้
- โรคซิฟิลิสเนื่องจากทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema pallidum) สกุลย่อยพัลลิดุม
- โรคคุดทะราด (yaws) เนื่องจากเชื้อทริปโปนีมา พัลลิดุมสกุลย่อยเพอร์ทีนู (pertenue)
- โรคลิสเทริโอซิส (listeriosis) เชื้อจากเชื้อลิสทีเรียโมโนไซโตจิเนส (Listeria monocytogenes)
- โรคแอนแทรกซ์ (anthrax) เนื่องจากเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิส (Bacillus anthracis)
- โรคเหงือกอักเสบเนื้อตายเฉียบพลัน (Vincent’s infection) เนื่องจากเชื้อฟูโซแบคทีเรียม ฟิวซิฟอร์ม (Fusobacterium fusiforme)
- โรคแอคติโนมัยโคสิส (actinomycosis) เนื่องจากเชื้อแอคติโนมัยซิสอิสราเอลลิ (Actinomyces israelii)
- การติดเชื้อคลอสทริเดียม (clostridial infections)
- เป็นการเสริมการรักษาสำหรับ โรคบิดมีตัวในลำไส้เฉียบพลัน (Acute intestinal amebiasis) หรืออาการสิวขั้นรุนแรง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาสิว
ยารูปแบบออกฤทธิ์นาน (ระยะเวลาการรักษา 12 สัปดาห์)
- 45-49 กก. 45 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 50-59 กก. 55 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 60-71 กก. 65 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 72-84 กก. 80 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 85-96 กก. 90 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 97-110 กก. 105 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 111-125 กก. 115 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 126-136 กก. 135 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- ขนาดยาที่และนำ คือ ประมาณ 1 มก./กก. (น้ำหนักตัว) วันละครั้ง
- ยานี้ไม่แสดงให้เห็นถึงผลใดๆ ต่อรอยสิวที่ไม่มีอาการอักเสบ
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยของการใช้ยานานเกินกว่า 12 สัปดาห์
การใช้งาน
- เพื่อรักษาแผลสิวอักเสบที่ไม่เป็นตุ่มระดับปานกลางถึงรุนแรงเท่านั้น
คำแนะนำจากสมาคมแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา (AAD)
- ยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที 50 มก. ให้รับประทานวันละ 1-3 ครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำให้ใช้เป็นการเสริมการรักษาอาการสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ไม่ควรใช้ยานี้ในการรักษาด้วยยาเพียงชนิดเดียว
- ควรใช้ยาในระยะที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และควรทำการประเมินใหม่ทุกๆ 3 ถึง 4 เดือนเพื่อลดการเกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) จากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal)
- เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด คือ 400 มก./24 ชั่วโมง
เมื่อห้ามใช้ยาเพนิซิลลิน เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบเนื่องจากเชื้อไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส (Neisseria meningitidis)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น
- 100 มก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วัน
คำแนะนำ
- ควรทำการศึกษาวินิจฉัยทางห้องแล็บ (Diagnostic laboratory studies) รวมถึงการวิเคราะห์ซีโรไทป์ (serotyping) และการทดสอบความไวของปฏิกิริยา (susceptibility testing) เพื่อหาภาวะพาหะและการรักษาที่เหมาะสม
- การใช้ยานี้เพื่อป้องกันโรคนั้นใช้ต่อเมื่อมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นเท่านั้น
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อน
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด คือ 400 มก./24 ชั่วโมง
ยาสำหรับรับประทาน
- การติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาอีกทางเลือกหนึ่ง (หากต้องให้ยาบ่อยกว่า) เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 100-200 มก. ตามด้วย 50 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง
- การติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม (Mycobacterium marinum) 100 มก. รับประทาน ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 6 ถึง 8 สัปดาห์
คำแนะนำ
- ยานี้ไม่ใช่ตัวเลือกยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัสทุกประเภท
- ยังไม่มีการพิสูจน์ขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษาการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม ขนาดยาที่แนะนำนั้นมีการใช้อย่างประสบความสำเร็จในกรณีที่จำกัด
การใช้งาน
- เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้ และเพื่อรักษาการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA)
- รับประทานยาขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำสำหรับการรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาต่อยาเมทิซิลลิน (methicillin) และดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- หลังจากขนาดยาเริ่มต้นที่ 200 มก. ขนาดยาที่แนะนำสำหรับการรักษาอาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง (purulent cellulitis) (อาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบที่เกี่ยวข้องกับการระบายหรือการหลั่งน้ำหนองโดยไม่มีฝีที่จะหลั่งน้ำหนองออกมาได้) เนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโรคสร้างผิว
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 400 มก./24 ชั่วโมง
ยาสำหรับรับประทาน
- การติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาอีกทางเลือกหนึ่ง (หากต้องให้ยาบ่อยกว่า) เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 100 ถึง 200 มก. ตามด้วย 50 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง
- การติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม (Mycobacterium marinum) 100 มก. รับประทาน ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์
คำแนะนำ
- ยานี้ไม่ใช่ตัวเลือกยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัสทุกประเภท
- ยังไม่มีการพิสูจน์ขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษาการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม ขนาดยาที่แนะนำนั้นมีการใช้อย่างประสบความสำเร็จในกรณีที่จำกัด
การใช้งาน
เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้ และเพื่อรักษาการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรีย แมรินัม
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
รับประทานยาขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำสำหรับการรักษา การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาต่อยาเมทิซิลลิน และดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- หลังจากขนาดยาเริ่มต้นที่ 200 มก. ขนาดยาที่แนะนำสำหรับการรักษาอาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง (อาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบที่เกี่ยวข้องกับการระบายหรือการหลั่งน้ำหนองโดยไม่มีฝีที่จะหลั่งน้ำหนองออกมาได้) เนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาแผลริมอ่อน (Chancroid)
- เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาอีกทางเลือกหนึ่ง (หากต้องให้ยาบ่อยกว่า) เริ่มต้นรับประทานยาที่ขนาด 100 ถึง 200 มก. ตามด้วย 50 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง
การใช้งาน
- เพื่อรักษาแผลริมอ่อนเนื่องจากเชื้อเชื้อฮีโมไฟลัส ดูเครย์ (H ducreyi)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหนองในแท้ (Gonococcal Infection) – ไม่ซับซ้อน
- ภาวะท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) ในเพศชาย 100 มก. ให้รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วัน
- การติดเชื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ท่อปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อที่บริเวณทวารหนักในเพศชาย เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 200 มก. ตามด้วย 100 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 4 วัน
คำแนะนำ
- สำหรับการรักษาการติดเชื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ท่อปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อที่บริเวณทวารหนักในเพศชาย ควรทำการเพาะเชื้อหลังการรักษาภายใน 2-3 วัน
การใช้งาน
- เมื่อห้ามใช้ยาเพนิซิลลิน ใช้เป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อดังต่อไปนี้ ภาวะท่อปัสสาวะอักเสบไม่ซับซ้อนในเพศชายเนื่องจากเชื้อเนอิสซีเรีย โกโนเรีย (N gonorrhoeae) และโรคหนองในอื่นๆ การติดเชื้อเนอิสซีเรีย โกโนเรียในผู้หญิง
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที
- ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ (CrCl) น้อยกว่า 80 มล./นาที อาจต้องปรับขนาดยา แต่ยังไม่มีแนวทางแนะนำโดยเฉพาะ
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก./24 ชั่วโมง
ยารูปแบบออกฤทธิ์นาน
- ไตบกพร่อง ควรลดขนาดยาและ/หรือยืดระยะเวลาในการใช้ยาแต่ละครั้ง แต่ยังไม่มีแนวทางแนะนำโดยเฉพาะ
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
- ตับบกพร่อง ควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้ยา
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ หยอดยานานกว่า 60 นาที ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาอย่างรวดเร็ว
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ หากต้องใช้สายยางเดียวกันสำหรับการหยอดให้ยาอื่นๆ ควรล้างสายยางด้วยสารละลายที่เข้ากันได้ก่อนและหลังจากหยอดยานี้
- ใช้วิธีการฉีดยาต่อเมื่อไม่สามารถให้ยาแบบรับประทานได้เท่านั้น ควรเริ่มให้ยาแบบรับประทานทันทีที่สามารถทำได้
- ยาสำหรับรับประทาน สามารถรับประทานยาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอาหาร
- ยาสำหรับรับประทาน ให้ยารูปแบบออกฤทธิ์ทันทีพร้อมกับดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคืองและทำให้หลอดอาหารเป็นแผล สำหรับยารูปแบบออกฤทธิ์นาน ความเสี่ยงนี้อาจจะลดลงหากรับประทานยาพร้อมกับอาหาร
- ยาสำหรับรับประทาน กลืนเม็ดยาลงไปทั้งเม็ด อย่างเคี้ยว บด หรือหักแบ่งเม็ดยา
- เนื่องจากยาเตตราไซคลีนที่หมดอายุอาจจำทำให้เกิดการเป็นพิษต่อไตหรือกลุ่มอาการแฟนโคนี (Fanconi’s syndrome) ควรกำจัดยาที่หมดอายุแล้ว
การเก็บรักษา
- ยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หากเป็นยาที่ยังไม่ได้คืนรูป ให้เก็บที่อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส (68-77 องศาฟาเรนไฮต์) หลังจากที่เจือจางแล้วอาจเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานถึง 4 ชั่วโมง หรือเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส (36-46 องศาฟาเรนไฮต์) นานถึง 24 ชั่วโมง
- ยาสำหรับรับประทาน เก็บไว้ที่ 20-25 องศาเซลเซียส (68-77 องศาฟาเรนไฮต์) เก็บให้พ้นจากแสง ความชื้น และความร้อนที่มากเกินไป
เทคนิคการคืนรูปและการเตรียมยา
- ยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ควรศึกษาข้อมูลยาจากผู้ผลิต
ความเข้ากันของยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
- สารละลายที่เข้ากันได้ ได้แก่ นํ้ากลั่นเภสัชตํารับของประเทศสหรัฐอเมริกา (USP) โซเดียมคลอไรด์สำหรับฉีดเภสัชตํารับของประเทศสหรัฐอเมริกา เดกซ์โทรสสำหรับฉีดเภสัชตํารับของประเทศสหรัฐอเมริกา เดกซ์โทรสและโซเดียมคลอไรด์สำหรับฉีดเภสัชตํารับของประเทศสหรัฐอเมริกา แลคเตทริงเกอร์ (Lactated Ringers Injection) เภสัชตํารับของประเทศสหรัฐอเมริกา
- สารละลายที่ไม่เข้ากัน ได้แก่ สารละลายอื่นๆ ที่มีแคลเซียม (โดยเฉพาะสารละลายที่เป็นกลางและเป็นด่าง) สารเติมแต่งหรือยาอื่นๆ
ทั่วไป
- ยานี้ใช้สำหรับรักษาการติดเชื้อเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาที่กำหนดเท่านั้น
- ยังไม่มีการประเมินการใช้ยารูปแบบออกฤทธิ์นานสำหรับการรักษาการติดเชื้อ
- ขนาดยาปกติและความถี่ในการใช้ยานั้นจะแตกต่างจากยาเตตราไซคลีนอื่นๆ หากให้ยามากเกินขนาดยาที่แนะนำอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า
- หลอดเลือดดำอาจจะอักเสบได้หากฉีดยาเป็นเวลานาน
- รอยแผลและหนองหรือการผ่าตัดอื่นๆ อาจจะบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติม
การเฝ้าระวัง
- ทั่วไป ตรวจระบบอวัยวะเป็นระยะๆ โดยเฉพาะการตรวจระดับเซรั่มแมกนีเซียมในผู้ป่วยที่มีไตบกพร่องที่ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
- เลือด ตรวจเม็ดเลือดเป็นระยะ
- ตับ ตรวจตับเป็นระยะ
- ไต ตรวจไตเป็นระยะ โดยเฉพาะการตรวจค่าบียูเอ็น (BUN) และค่าครีอะตินีนในผู้ป่วยไตบกพร่อง
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- อ่านฉลากยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลสำหรับผู้ป่วย)
- ดื่มน้ำให้มาก
- หลีกเลี่ยงการขาดยาและรักษาจนครบกำหนด
- มีรายงานพบอาการหน้ามืด วิงเวียน และบ้านหมุน อย่าขับรถหรือใช้เครื่องจักรหากเกิดอาการเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงหรือลดการเผชิญกับแสงแดดตามธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ควรป้องกันแสงแดด เช่น สวมเสื้อผ้าป้องกัน ทาครีมกันแดด หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ควรหยุดใช้ยาเมื่อเริ่มมีสัญญาณของอาการผื่นแดงที่ผิวหนัง
- โปรดติดต่อแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการอุจจาระเหลวและเป็นเลือด ทั้งในกรณีที่มีหรือไม่มีอาการปวดท้องและเป็นไข้
- อย่าใช้ยานี้หากยาหมดอายุแล้ว ควรกำจัดยาที่หมดอายุแล้วด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยคุณสามารถสอบถามวิธีกำจัดยาได้จากเภสัชกร
ขนาดยามิโนไซคลีนสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย
อายุมากกว่า 8 ปี
- ขนาดยาเริ่มต้น คือ 4 มก./กก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ตามด้วย 2 มก./กก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 200 มก./วัน
คำแนะนำ
- หากมีโรคริดสีดวงตาร่วมด้วย เชื้อโรคนั้นอาจจะไม่สามารถกำจัดได้เสมอไป จากการประเมินด้วยกล้องอิมมูโนฟลูออเรสเซนส์
- แนะนำให้ใช้ร่วมกับยาสเตรปโตมัยซิน เพื่อรักษาโรคบรูเซลโลซิส
- สำหรับโรคซิฟิลิส ระยะเวลาการรักษาคือ 10-15 วัน และควรติดต่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด (รวมถึงการตรวจในห้องแล็บ)
การใช้งาน
- เพื่อรักษาการติดเชื้อ ดังต่อไปนี้
- โรคไข้รากสาดใหญ่ ไ
- ไข้ไทฟัส กลุ่มไทฟัส
- โรคไข้คิว
- ไข้พุพองไรหนู
- โรคไข้จากเห็บ เนื่องจากเชื้อกลุ่มริกเก็ตเซีย
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเนื่องจากเชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนีย
- โรคฝีมะม่วง
- โรคริดสีดวงตาหรือการอักเสบของเยื่อบุตาเนื่องจากเชื้อคลาไมเดีย แทรโคมาทิส
- ไข้นกนำ (psittacosis) หรือ (ornithosis) เนื่องจากเชื้อคลามายโดฟิลา ซิทตาซี (Chlamydophila psittaci)
- โรคหนองในเทียม
- การติดเชื้อที่เยื่อบุผิวปากมดลูกด้านในหรือทวารหนักเนื่องจากเชื้อยูเรียพลาสมา ยูเรียไลทิคุม หรือคลาไมเดีย แทรโคมาทิส
- โรคไข้กำเริบเนื่องจากเชื้อบอร์เรเลีย รีเคอร์เรนทิส
- กาฬโรคเนื่องจากเชื้อเยอซิเนีย เพสติส
- โรคไข้กระต่ายเนื่องจากเชื้อฟรานซิเซลล่า ทูลารีซิส
- อหิวาตกโรคเนื่องจากเชื้อวิบริโอ คอเรอร์เร
- การติดเชื้อแคมปีโลแบคเตอร์ ฟีตัส
- โรคบรูเซลโลซิสเนื่องจากเชื้อพันธ์ุบรูเซลลา
- โรคบาร์โทเนลโลสิส เนื่องจากเชื้อบาร์โทเนลลา บาซิลิฟอร์มิส
- แผลกามโรคเรื้อรังบริเวณขาหนีบเนื่องจากเชื้อเคลบเซลลา กรานูโลเมทิส
- เพื่อรักษาการติดเชื้อเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดังต่อไปนี้ เมื่อผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้
- เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล
- เชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ แอโรจีเนส
- เชื้อสกุลชิเกลลา
- เชื้อสกุลอะซินีโตแบ็คเตอร์
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินปัสสาวะเนื่องจากเชื้อสกุลเคลบเซลลา
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย
- เมื่อห้ามใช้ยาเพนิซิลลินเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการรักษาเนื่องจากการติดเชื้อดังต่อไปนี้
- โรคซิฟิลิสเนื่องจากทริปโปนีมาพัลลิดุมสกุลย่อยพัลลิดุม
- โรคคุดทะราดเนื่องจากเชื้อทริปโปนีมาพัลลิดุม สกุลย่อยเพอร์ทีนู
- โรคลิสเทริโอซิส จากเชื้อลิสทีเรียโมโนไซโตจิเนส
- โรคแอนแทรกซ์เนื่องจากเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิส
- โรคเหงือกอักเสบเนื้อตายเฉียบพลันเนื่องจากเชื้อฟูโซแบคทีเรียม ฟิวซิฟอร์ม โรคแอคติโนมัยโคสิสเนื่องจากเชื้อแอคติโนมัยซิสอิสราเอลลิ การติดเชื้อคลอสทริเดียม
- เป็นการเสริมการรักษาสำหรับโรคบิดมีตัวในลำไส้เฉียบพลัน หรืออาการสิวขั้นรุนแรง
คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics)
- รับประทานหรือฉีดยาขนาด 2 มก./กก. (น้ำหนักตัว) เข้าหลอดเลือดดำ วันละ 2 ครั้ง
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก. /วัน
คำแนะนำ
- ใช้สำหรับเด็กอายุ 8 ปีขึ้นไปเท่านั้น
- ใช้สำหรับการติดเชื้อระดับเบา ปานกลาง หรือรุนแรง
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาสิว
อายุ 12 ปีขึ้นไป
ยารูปแบบออกฤทธิ์นาน (ระยะเวลาการรักษา 12 สัปดาห์)
- 45-49 กก. 45 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 50-59 กก. 55 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 60-71 กก. 65 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 72-84 กก. 80 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 85-96 กก. 90 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 97-110 กก. 105 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 111-125 กก. 115 มก. รับประทานวันละครั้ง
- 126-136 กก. 135 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- ขนาดยาที่แนะนำ คือ ประมาณ 1 มก./กก. (น้ำหนักตัว) วันละครั้ง
- ยานี้ไม่แสดงให้เห็นถึงผลใดๆ ต่อรอยสิวที่ไม่มีอาการอักเสบ
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยของการใช้ยานานเกินกว่า 12 สัปดาห์
การใช้งาน
- เพื่อรักษาแผลสิวอักเสบที่ไม่เป็นตุ่มระดับปานกลางถึงรุนแรงเท่านั้น
คำแนะนำจากสมาคมแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา
ยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที
- เด็กที่อายุมากกว่า 8 ปี รับประทาน 4 มก./กก. (น้ำหนักตัว) ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 2 มก./กก. (น้ำหนักตัว) ทุกๆ 12 ชั่วโมง
คำแนะนำ
- แนะนำให้ใช้เป็นการเสริมการรักษาอาการสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ไม่ควรใช้ยานี้ในการรักษาด้วยยาเพียงชนิดเดียว
- ควรใช้ยาในระยะที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ควรทำการประเมินใหม่ทุกๆ 3-4 เดือนเพื่อลดการเกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อน
อายุมากกว่า 8 ปี
- ขนาดยาเริ่มต้น คือ 4 มก./กก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ตามด้วย 2 มก./กก. (น้ำหนักตัว) รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด คือ 200 มก./ครั้ง ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 200 มก./วัน
คำแนะนำ
- ยานี้ไม่ใช่ตัวเลือกยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัสทุกประเภท
การใช้งาน
- เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
- รับประทาน 4 มก./กก. ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 2 มก./กก. (น้ำหนักตัว) ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 200 มก./วัน
คำแนะนำ
- แนะนำสำหรับการรักษาอาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง (อาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบที่เกี่ยวข้องกับการระบายหรือการหลั่งน้ำหนองโดยไม่มีฝีที่จะหลั่งน้ำหนองออกมาได้) เนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโรคสร้างผิว
อายุมากกว่า 8 ปี
- ขนาดยาเริ่มต้น คือ 4 มก./กก. (นัำหนักตัว) รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ตามด้วย 2 มก./กก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมงฃ
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 200 มก./วัน
คำแนะนำ
- ยานี้ไม่ใช่ตัวเลือกยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อสแตปฟิโลคอคคัสทุกประเภท
การใช้งาน
เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสผลการทดสอบทางแบคทีเรียวิทยาแสดงให้เห็นถึงการมีปฏิกิริยาไวที่เหมาะสมต่อยานี้
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
- รับประทาน 4 มก./กก. ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 2 มก./กก. (น้ำหนักตัว) ทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง ในตอนเริ่มต้น ตามด้วย 200 มก./วัน
คำแนะนำ
- แนะนำสำหรับการรักษาอาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง (อาการเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบที่เกี่ยวข้องกับการระบายหรือการหลั่งน้ำหนองโดยไม่มีฝีที่จะหลั่งน้ำหนองออกมาได้) เนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อต่อยาเมทิซิลลิน
- ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้ยาในปัจจุบัน
ข้อควรระวัง
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 8 ปีเว้นเสียแต่คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยารูปแบบออกฤทธิ์นานกับผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 12 ปี
รูปแบบของยา
ขนาดและรูปแบบของยา มีดังนี้
- ยาแขวนตะกอนสำหรับรับประทาน
- ยาแคปซูลสำหรับรับประทาน
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาเม็ดสำหรับรับประทานแบบออกฤทธิ์นาน
- ยาผงสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
- ยาแคปซูลสำหรับรับประทานแบบออกฤทธิ์นาน
- ชุดยาสำหรับรับประทานและยาเฉพาะที่
กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]