ความสัมพันธ์แบบ one night stand คือ ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน หรือการมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ผูกมัด ซึ่งควรได้รับความยินยอมพร้อมใจของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และควรใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ และการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
[embed-health-tool-ovulation]
one night stand คือ อะไร
ความสัมพันธ์แบบข้ามคืนหรือ one night stand คือการมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ผูกมัด เป็นความสัมพันธ์แค่คืนเดียวเท่านั้น โดยความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี้ควรได้รับความยินยอมพร้อมใจของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ตกลงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ โดยทั่วไป one night stand คือความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน จึงควรจะมีข้อตกลงร่วมกันและมีข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
สิ่งที่ควรตกลงกันก่อนมี one night stand
การมีความสัมพันธ์แบบ one night stand ควรมีข้อตกลงร่วมกันหรือพูดคุยกันก่อน เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน เช่น
- พูดคุยกันถึงรสนิยม : ก่อนตัดสินใจ one night stand ควรตกลงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายเต็มใจทำสิ่งไหน และไม่อยากทำสิ่งไหน
- ป้องกันทุกครั้ง : การมีเพศสัมพันธ์จะเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้ สำหรับการมีความสัมพันธ์แบบ one night stand ไม่ควรใช้แค่ยาคุมกำเนิดหรือยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย
ข้อควรระวังของความสัมพันธ์ one night stand
การมีความสัมพันธ์แบบ one night stand จะช่วยปลดปล่อยความต้องการทางเพศอย่างมีอิสระ โดยไม่ผูกมัด เมื่อจบความสัมพันธ์ต่างก็แยกย้ายจากกันด้วยดี แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ก็มีข้อควรระวัง เช่น
- เสี่ยงต่อการเจอคนไม่ดี : การเลือกความสัมพันธ์แบบ one night stand อาจมีความเสี่ยงในการเจอคนที่ไม่ดี หลอกลวง ขโมยทรัพย์สิน อาจมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ยินยอมหรือไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
- เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : การมีความสัมพันธ์แบบ one night stand อาจเสี่ยงต่อการติดโรคได้ จึงควรสังเกตร่างกายของอีกฝ่ายให้ดี หากอีกฝ่ายมีอาการเจ็บป่วยไม่สบายแสดงออกมา ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่ในบางกรณีก็ไม่แสดงอาการของโรค ดังนั้น ควรป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ต้องระวัง
ความสัมพันธ์ one night stand ควรระวังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น
- โรคซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum : ระยะแรกจะมีแผลที่อวัยวะเพศ แต่แผลจะหายได้เอง แล้วจะเกิดผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือฝ่าเท้า ทวารหนัก และช่องปาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค คือ มีผิวหนังเป็นก้อนนูนแตกเป็นแผล กระดูกอักเสบ ตาบอด หูหนวก สมองพิการ เส้นเลือดใหญ่ที่หัวใจโป่งพอง และเสียชีวิต
- โรคหนองในแท้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria Gonorrhoeae : ผู้ชายจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีหนองข้นไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ ผู้หญิงอาจพบอาการตกขาว เมื่อไม่ได้รักษาโรคจะลุกลาม อาจเกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบ ท่อรังไข่ตีบตัน ท่ออสุจิตีบตัน ต่อมลูกหมากอักเสบ และเป็นหมัน
- โรคหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia Trachomatis : ปัสสาวะแสบขัด มีหนองใสไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนแบบโรคหนองในแท้
- โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus : เกิดตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นกลุ่ม ร่วมกับอาการปวด แสบคันบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อเริมในช่องปากจากการออรัลเซ็กส์ได้ โรคนี้ไม่หายขาด เชื้อจะหลบในร่างกายรอวันอ่อนแอเพื่อกำเริบขึ้นมาใหม่
- โรคติดเชื้อเอชพีวี เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus : อาจไม่พบอาการหลังติดเชื้อ แต่อาจเกิดโรคหูดหงอนไก่ เป็นก้อนหรือติ่งเนื้อสีชมพู ผิวขรุขระ บริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก ซึ่งเชื้อไวรัส HPV ในหลายสายพันธุ์นำไปสู่โรคมะเร็งได้
- โรคเอดส์ เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) : โรคเอดส์จะเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวี เกิดเป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงจนไม่อาจป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infection: OIs) เช่น โรคปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้องอก และวัณโรค