โรคหัวใจ (Heart Disease) เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ โดยปกติแล้ว หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญในการสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้อย่างราบรื่น แต่หากหัวใจมีปัญหา ก็อาจทำให้ระบบอื่น ๆ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมาได้ การศึกษาเกี่ยวกับ 10 อาการเตือนโรคหัวใจ จึงถือเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือมีความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากอาจช่วยให้ทราบถึงอาการที่ควรใส่ใจ เช่น หายใจถี่และติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก ขาบวม หมดสติ หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
[embed-health-tool-bmi]
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
ปัจจัยดังต่อไปนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและอาการหัวใจวายได้
ปัจจัยที่ไม่สามารถป้องกันได้ เช่น
- พันธุกรรม การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้เสี่ยงเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าคนทั่วไป
- อายุ ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เสี่ยงเกิดโรคหัวใจมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว
- เพศ ผู้ชายมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้หญิง
ปัจจัยที่สามารถป้องกันได้ อย่างพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น
- การสูบบหุรี่ เป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากอาจทำให้หลอดเลือดตีบตันและหัวใจขาดเลือด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย
- การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มีไขมันอิ่มตัว เช่น คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ (Trigleceride) โซเดียม และน้ำตาลสูง อาจทำให้มีไขมันสะสมอยู่ในหลอดเลือดจนหลอดเลือดตีบตัน
- ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายน้อย มีพฤิตกรรมเนือยนิ่ง ไม่ค่อยขยับร่างกายเป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน จะทำให้ร่างกายไม่ได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ส่งผลให้มีไขมันสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อและหลอดเลือด และทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ จนอาจทำให้เกิดโรคหัวใจได้
10 อาการเตือนโรคหัวใจ
อาการเตือนโรคหัวใจ อาจมีลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละคน บางคนอาจมีอาการหลายสัปดาห์ ในขณะที่บางคนก็อาจมีอาการเพียงไม่กี่วันก่อนเกิดภาวะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก (Stroke) หากมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจ ดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมตั้งแต่เนิ่น ๆ
-
รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
อาการวิงเวียนหรือหน้ามืดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การลุกขึ้นเร็วเกินไป การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่หากมีอาการวิงเวียนร่วมกับแน่นหน้าอก หายใจถี่ อาจเกิดจากระดับความดันโลหิตลดต่ำลง เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบเลือดได้ตามปกติ
-
มีอาการแน่นหน้าอก (Angina)
อาการแน่นหรืออึดอัดในทรวงอก เป็นอาการของภาวะหัวใจขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือมีลิ่มเลือดอุดกั้นจนทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง เมื่อหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้เกิดอาการแน่นหน้าอก อาจเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น หน้ามืด คลื่นไส้ เหงื่อออก ปวดร้าวไปถึงกราม คอ ไหล่ หรือแขนซ้าย หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่อาการหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว รวมไปถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
-
หายใจถี่หรือหายใจลำบาก
หากมีอาการหายใจถี่หรือหายใจลำบากขณะนอนราบหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ปกติแล้วไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อย อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจที่อาจเป็นอันตราย เช่น ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เนื่องจากปกติแล้วหัวใจและปอดจะทำงานร่วมกันในการลำเลียงเลือดเลือดแดงไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ และนำเลือดดำที่มีออกซิเจนต่ำกลับสู่หัวใจ หากมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เลือดจะคั่งอยู่ที่หัวใจและล้นจนไหลกลับไปยังปอด ส่งผลให้ผู้ป่วยหายใจถี่และหายใจลำบาก
-
มีอาการปวดร้าวบริเวณแขน
สัญญาณหนึ่งของภาวะหัวใจวาย คือ อาการปวดร้าวบริเวณแขนซ้าย โดยอาจรู้สึกปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่วมกับมีอาการแน่นกลางหน้าอก ไม่สบายตัว ปวดบริเวณกราม คอ หลัง และหน้าท้อง อาการปวดแขนซ้ายเป็นอาการปวดต่างที่ หรือที่เรียกว่า อาการปวดร้าว (Referred pain) ซึ่งหมายถึง อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่ได้เกิดโรค แม้ว่าส่วนนั้นจะไม่ได้มีความผิดปกติเกิดขึ้นก็ตาม
อาการปวดร้าวบริเวณแขนเกิดจากหลอดเลือดหัวใจที่ตีบตันจนไม่สามารถนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก และอาจทำให้เกิดอาการปวดในตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกายได้ เนื่องจากเส้นประสาทบริเวณหน้าอกและแขนส่งสัญญาณไปยังเซลล์สมองเดียวกัน แต่สมองไม่สามารถระบุได้ว่าความเจ็บปวดมาจากที่ไหน จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดแขนซ้ายไปด้วย ในบางรายอาจรู้สึกปวดแค่ที่แขน แต่ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
-
ขา เท้า ข้อเท้าบวม
การทำงานที่ผิดปกติของหัวใจขณะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว อาจทำให้การไหลเวียนโลหิตช้าลงและทำให้มีเลือดสะสมอยู่ในหลอดเลือดที่ขา ส่งผลให้มีของเหลวสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อมากเกินไป จนอาจสังเกตเห็นขา เท้า และข้อเท้าบวม เมื่อกดแล้วเกิดรอยบุ๋ม อาการนี้อาจเกิดร่วมกับอาการทางโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น หายใจถี่ หายใจลำบากเมื่อนอนราบ เหนื่อยง่าย ทั้งนี้ หากมีอาการขาบวมเพียงข้างเดียว อาจเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ซึ่งก็ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมเช่นกัน
-
เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial fibrillation) เป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดร่วมกับปัญหาโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่เพียงพอ ผู้ป่วยอาจสังเกตว่าตัวเองมีภาวะนี้จากอาการอย่างใจสั่น หน้ามืด ตาลาย หายใจติดขัด เป็นต้น
-
เหงื่อออกโดยไม่มีสาเหตุ
อาการเหงื่อออกผิดปกติจนรู้สึกหนาวบริเวณลำตัวส่วนบน อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจวาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น วิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก หายใจถี่หรือหายใจลำบาก รู้สึกเหนื่อย ปวดหลัง
-
คลื่นไส้หรืออาเจียน
โรคหัวใจอาจกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดทำให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงในระบบย่อยอาหารลดลง ส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ และอาจทำให้ผู้ที่อยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเกิดอาการกรดไหลย้อนได้
-
ปวดคอหรือกราม
อาการปวดคอหรือกรามโดยทั่วไปมักไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และมักเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ โรคไซนัสอักเสบ หรือการติดเชื้อไข้หวัดเสียมากกว่า แต่หากผู้ที่เสี่ยงเกิดโรคหัวใจหรือเป็นโรคหัวใจมีอาการเจ็บกลางหน้าอกที่ร้าวไปจนถึงคอหรือกราม อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจวาย
-
วูบหมดสติ ไม่รู้สึกตัว
ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia) อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป และอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำมากจนหัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปยังสมองได้ ทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เมื่อสมองขาดเลือดจะทำให้ผู้ป่วยเป็นลมหมดสติไปชั่วขณะได้