คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) คือสารสีเขียวที่เป็นสารประกอบตามธรรมชาติของพืช มักพบได้ในผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักบุ้ง กะเพรา บร็อคโคลี่ ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง มีหน้าที่ช่วยให้พืชสามารถดูดซับแสงแดดจากดวงอาทิตย์เพื่อสังเคราะห์และเปลี่ยนเป็นพลังงาน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังอาจช่วยรักษาสิว และระงับกลิ่นกายได้
[embed-health-tool-bmi]
คลอโรฟิลล์ คืออะไร
คลอโรฟิลล์ คือ สารสีเขียวที่อยู่ในพืชและผัก โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า บร็อคโคลี่ คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังอาจช่วยล้างสารพิษในร่างกาย ป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีคลอโรฟิลล์ในรูปแบบอาหารเสริมแบบเม็ดและแบบชงในน้ำ ที่ง่ายต่อการรับประทานอีกด้วย
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ต่อสุขภาพ
คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณของคลอโรฟิลล์ในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้
-
อาจช่วยระงับกลิ่นกาย
การรับประทานคลอโรฟิลล์ในรูปแบบอาหารเสริมอาจช่วยระงับและลดกลิ่นตัวได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะมีไตรเมทิลามีนในปัสสาวะ (Trimethylaminuria) หรือโรคกลิ่นตัวเหม็น ที่เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญตั้งแต่กำเนิด ที่ส่งผลให้ร่างกายสะสมไตรเมทิลามีนมากเกินไปจนขับออกมาในรูปแบบปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจที่มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลา
จากการศึกษาในวารสาร Life Sciences ปี พ.ศ. 2547 ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารเสริม ถ่านกัมมันต์หรือถ่านชาร์โคล (Activated Charcoal) และคอปเปอร์คลอโรฟิลลิน (Copper Chlorophyllin) ที่เป็นคลอโรฟิลล์ละลายน้ำได้ ต่อการขับไตรเมทิลลามีนในปัสสาวะของผู้ป่วยในญี่ปุ่น โดยทดสอบกับชาวญี่ปุ่นจำนวน 7 คน ที่ให้รับประทานอาหารเสริมถ่านกัมมันต์ 5 กรัม เป็นเวลา 10 วัน และคอปเปอร์คลอโรฟิลลิน 180 มิลลิกรัม/วัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าระดับความเข้มข้นของสารไตรเมทิลลามีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจลดกลิ่นกายได้
-
อาจช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
คลอโรฟิลล์มีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย และอาจช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้ จากการศึกษาในวารสาร Journal of the Korean Dermatological Research Society ปี พ.ศ. 2549 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มที่มีสารสกัดจากคลอโรฟิลล์ในการช่วยลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากแสงแดด โดยให้ผู้เข้ารับการทดสอบซึ่งเป็นผู้หญิงอายุ 45 ปี รับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดของคลอโรฟิลล์ โดยให้กลุ่มหนึ่งรับประทาน 2 ซอง/วัน และอีกกลุ่มหนึ่งรับประทาน 6 ซอง/วัน เป็นเวลา 90 วัน จากนั้นจึงวัดความยืดหยุ่นของผิวเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง พบว่า หลังจากรับประทานคลอโรฟิลล์ ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง ผิวมีความยืดหยุ่นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังช่วยผลิตคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นในผิว ลดความเสียหายของผิวหนังชั้นนอกที่เกิดจากรังสียูวี อาจช่วยซ่อมแซมการเสื่อมสภาพของผิวหนัง
-
อาจช่วยรักษาสิว
คลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังอาจช่วยลดการหลั่งน้ำมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดสิวได้ จากการศึกษาในวารสาร Journal of the American Academy of Dermatology ปี พ.ศ. 2557 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดด้วยโฟโตไดนามิก (Photodynamic) ซึ่งเป็นการใช้แสงเลเซอร์ โดยใช้คลอโรฟิลล์เอในการรักษาสิว ซึ่งให้ผู้ที่เป็นสิวบนใบหน้าทั้ง 2 ข้าง ทำการรักษาโดยการฉายรังสีโฟโตไดนามิกหลังจากทาคลอโรฟิลล์บนใบหน้าเพียงครึ่งหน้า และอีกครึ่งหนึ่งรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว จำนวน 8 ครั้ง เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า ใบหน้าข้างที่รับการฉายรังสีและคลอโรฟิลล์ มีจำนวนของสิว ความมัน และรอยแผลจากสิวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับข้างที่ฉายรังสีเพียงอย่างเดียว
-
อาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในผักใบเขียว มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่เกิดจากอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ จากการศึกษาในวารสาร Nutrition Research ปี พ.ศ. 2550 ที่ศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณในการย่อย การดูดซึม และการป้องกันมะเร็งของอนุพันธ์คลอโรฟิลล์ พบว่า การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมี เช่น คลอโรฟิลล์ อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยการต้านอนุมูลอิสระและต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็ง
ข้อควรระวังการบริโภคคลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์ที่สามารถพบได้ในพืชผักอาจปลอดภัยต่อการรับประทาน โดยควรล้างทำความสะอาดหรือใช้น้ำยาล้างผัก เพื่อป้องกันสารพิษจากยาฆ่าแมลง แต่สำหรับการรรับประทานคลอโรฟิลล์ในรูปแบบอาหารเสริม ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียง ดังนี้
- อาเจียน คลื่นไส้
- ปวดท้อง ท้องเสีย
- ลิ้น ปัสสาวะ และอุจจาระเปลี่ยนสี
- รู้สึกแสบร้อนหรือมีอาการคันผิวหนัง เมื่อนำคลอโรฟิลล์มาทาโดยตรงที่แผล
นอกจากนี้ สำหรับสตรีตั้งครรภ์และสตรีที่กำลังให้นมบุตรอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานคลอโรฟิลล์ในรูปแบบอาหารเสริม หรือควรขอคำแนะนำจากคุณหมอ เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยรับรองถึงความปลอดภัย