น้ำฟักทอง อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น แคลเซียม เหล็ก วิตามินซี โฟเลต วิตามินเอ ลูทีน (Lutein) ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น บำรุงกระดูก ลดน้ำหนัก และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม น้ำฟักทองควรทำจากฟักทองต้มสุกเพื่อให้สะดวกต่อการมานำคั้นหรือปั่นและไม่ควรปรุงแต่งรสชาติด้วยน้ำตาล เกลือ หรือน้ำผึ้งเพิ่มเติม เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไตวาย เป็นต้น
[embed-health-tool-bmi]
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำฟักทอง
น้ำฟักทอง ที่ทำจากฟักทองต้มสุก 100 กรัม อาจให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี่ และอาจมีสารอาหารอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- คาร์โบไฮเดรตรวม 4.9 กรัม
- โพแทสเซียม 230 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 15 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 4.7 มิลลิกรัม
- ลูทีนและซีแซนทีน 1,010 ไมโครกรัม
- วิตามินเอ 288 ไมโครกรัม
- วิตามินบีรวม 9 ไมโครกรัม
น้ำฟักทอง มีประโยชน์อะไรบ้าง
น้ำฟักทอง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณของน้ำฟักทอง ในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้
-
อาจช่วยป้องกันโรคหัวใจ
น้ำฟักทองอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุอาหารที่มีบทบาทช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ และช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ป้องกันระดับความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Cardiology เมื่อปี พ.ศ. 2560 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคอาหารเสริมโพแทสเซียมในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง พบว่า การเสริมโพแทสเซียมให้ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงอาจช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้รักษาด้วยยาลดความดันโลหิต และผู้ป่วยที่มีระดับโพแทสเซียมต่ำ
-
อาจช่วยป้องกันโรคตา
น้ำฟักทองมีลูทีนและซีแซนทีน ที่เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตา เช่น ตาบอด ต้อกระจก
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร HHS Author Manuscripts เมื่อ ปี พ.ศ.2560 ที่ศึกษาเกี่ยวกับลูทีนและซีแซนทีนต่อสุขภาพตาและโรคตา พบว่า การบริโภคอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง อาจช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของจุดภาพชัดในดวงตา ลดการดูดซับแสงสีฟ้าจากหน้าจอ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก และโรคต้อหิน
-
อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
น้ำฟักทองมีวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จากอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ในร่างกาย และอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในการต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อโรคที่ส่งผลให้เจ็บป่วย
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2560 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินซีและระบบภูมิคุ้มกัน พบว่า วิตามินซีอาจช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ไวต่อสิ่งแปลกปลอมมากขึ้น เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อปรสิต ฝุ่น ควัน จึงอาจช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยได้
- อาจช่วยควบคุมน้ำหนัก
น้ำฟักทองมีแคลอรี่ต่ำและมีไฟเบอร์สูง ที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน ลดพฤติกรรมการกินจุบกินจิบระหว่างวัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition Reviews เมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไฟเบอร์และการควบคุมน้ำหนัก พบว่า การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์เพิ่มขึ้น 14 กรัม/วัน เป็นเวลากว่า 3.8 เดือน อาจช่วยให้น้ำหนักตัวลดลง 1.9 กรัม ซึ่งอาจลดช่วยความเสี่ยงต่อโรคอ้วน หรือช่วยลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักในผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อควรระวังการบริโภคน้ำฟักทอง
ควรต้มฟักทองให้สุกเพื่อความสะดวกต่อการนำไปคั้นเป็นน้ำฟักทอง และควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติม เช่น น้ำตาล น้ำผึ้ง เนื่องจากฟักทองมีความหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว และเพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคเบาหวาน และสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต ควรหลีกเลี่ยงการเพิ่มรสชาติด้วยเกลือ เพื่อป้องกันอาการไตวาย
น้ำฟักทองอาจมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณมากเกินไป และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำฟักทองร่วมกับยาบางชนิดที่อาจมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะ ลิเทียม (Lithium) เพื่อป้องกันไม่ให้ปัสสาวะบ่อยเกินไปจนร่างกายขาดน้ำ และควรขอคำปรึกษาจากคุณหมอก่อนรับประทาน
นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการแพ้ฟักทองควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของฟักทองอย่างน้ำฟักทอง โดยอาจสังเกตอาการแพ้ เช่น ใบหน้าบวม ลิ้นบวม มีผื่นขึ้นบนผิวหนัง หายใจลำบาก หากมีอาการดังกล่าวควรเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาอย่างรวดเร็ว