หน้าร้อนแบบนี้ จะออกไปหากิจกรรมนอกบ้านทำ ก็ดูจะติดขัดกับเรื่องสภาพอากาศไปเสียหมด จะไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ต้องเจอกับอากาศที่สุดแสนจะร้อนจนทนไม่ไหว เหงื่อไหลไคลย้อย ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่มีอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ สำหรับหน้าร้อน นั่นก็คือ การว่ายน้ำ ที่นอกจากจะสดชื่น และไม่เหนียวเหงื่อแล้ว ก็ยังช่วยให้หุ่นดีอีกด้วย แต่การว่ายน้ำก็ต้องว่ายให้ถูกท่าถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ วันนี้ Hello คุณหมอ มี 4 ท่าว่ายน้ำช่วยลดแคลอรี่ มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ แต่จะมีท่าอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
4 ท่าว่ายน้ำช่วยลดแคลอรี่ มีท่าไหนบ้าง
การว่ายน้ำ เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่ถือได้ว่า เป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ร่างกายได้ใช้งานทุกส่วน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพราะต้องใช้กล้ามเนื้อเกือบจะทุกส่วนในการว่ายน้ำ ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลที่ดีให้แก่ร่างกาย ช่วยในการปลดปล่อยความเครียด เสริมพลังงาน อีกทั้งการออกกำลังกายประเภทนี้ ยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มขีดความสามารถของสุขภาพหัวใจ ให้หัวใจทำงานดีขึ้น และลดโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ การออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ มักจะต้องมีความเหนียวตัว เหนอะหนะ แต่กีฬาว่ายน้ำนั้น ไม่มีข้อกังวลในเรื่องเหงื่อออก เพราะต้องอยู่ในน้ำตลอดการเล่น และที่สำคัญอีกไม่แพ้กันก็คือ การว่ายน้ำนั้นมีส่วนช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้เป็นอย่างดี มีผลการศึกษาพบว่า การว่ายน้ำ เพียง 30 นาที จะช่วยลดแคลอรี่ได้มากถึง 200 แคลอรี่เลยทีเดียว ถ้ายิ่งว่ายให้ถูกท่าล่ะก็ กระบวนการเผาผลาญแคลอรี่ก็จะยิ่งทำได้ดีตามไปด้วย โดยเฉพาะกับ 4 ท่าว่ายน้ำช่วยลดแคลอรี่ โดยจะเรียงลำดับจากน้อยไปหามาก ดังต่อไปนี้
4 ท่าว่ายน้ำช่วยลดแคลอรี่
ท่าที่ 1 ท่ากบ (Breaststroke)
การว่ายน้ำด้วยท่ากบ เป็นท่าว่ายน้ำที่ดูไม่ค่อยสง่างามนัก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของร่างกาย แทบจะไม่ได้โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำเลย ยกเว้นศีรษะ แต่ท่ากบ จัดว่าเป็นท่าว่ายน้ำที่คล้ายกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมากกว่าท่าอื่น ๆ เพราะเป็นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อในหลาย ๆ ส่วน โดยเฉพาะช่วงอก ไหล่ กล้ามเนื้อไตรเซป (Triceps ) และกล้ามเนื้อแฮมสตริง (Hamstring) เป็นท่าว่ายน้ำที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ และสุขภาพปอด การว่ายน้ำด้วยท่ากบในทุก ๆ 10 นาที จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 60 แคลอรี่ และจะสามารถเผาผลาญได้สูงสุดถึง 200 แคลอรี่ ต่อการว่ายน้ำท่ากบ 30 นาที
ท่าที่ 2 ท่ากรรเชียง (Backstroke)
ท่ากรรเชียง เป็นท่าว่ายน้ำที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากความเมื่อยล้าใน การว่ายน้ำ มากที่สุด เพราะใช้หลังในการพยุงตัวให้ลอยน้ำ จึงช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อได้ ทั้งยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นท่าว่ายน้ำที่ช่วยให้ผู้ว่ายน้ำสามารถหายใจได้อย่างสะดวก เพราะส่วนใบหน้าไม่ต้องอยู่ใต้น้ำ และยังรู้สึกได้ถึงการผ่อนคลาย แม้จะยังว่ายน้ำอยู่โดยที่กล้ามเนื้อแขน ไหล่ และหลังยังคงทำงานตามปกติ
การว่ายน้ำด้วยท่ากรรเชียงทุก ๆ 10 นาที ช่วยลดแคลอรี่ได้ 80 แคลอรี่ หากว่ายน้ำด้วยท่ากรรเชียงเป็นเวลา 30 นาที จะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้สูงถึง 250 แคลอรี่เลยทีเดียว
ท่าที่ 3 ท่าฟรีสไตล์ (Freestyle) หรือ ท่าฟรอนท์ ครอล (Front Crawl)
ท่าฟรีสไตล์ หรือเรียกอีกอย่างว่าท่าฟรอนท์ ครอล เป็นท่าว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เวลานึกถึงการว่ายน้ำ ท่านี้จะเป็นภาพจำของใครหลายคนเสมอ เป็นท่าที่ว่ายน้ำไปข้างหน้าแบบปกติ สลับแขนทั้งสองข้าง และตีขา เป็นท่าที่ใช้งานกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ หน้าท้อง กล้ามเนื้อกลูเตียล หรือกล้ามเนื้อสะโพก (Gluteal)
แม้ท่านี้จะเป็นท่าธรรมดาที่ทุกคนทำกัน แต่ การว่ายน้ำ ด้วยท่าฟรีสไตล์ทุก ๆ 10 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากถึง 100 แคลอรี่ต่อการว่ายท่านี้ทุก ๆ 10 นาที และสูงสุดถึง 300 แคลอรี่ ต่อการว่ายน้ำด้วยท่าฟรีสไตล์ 30 นาที
ท่าที่ 4 ท่าผีเสื้อ (Butterfly)
ท่าผีเสื้อ ถือว่าเป็นท่าว่ายน้ำที่ยากที่สุด ต้องใช้ทั้งเทคนิคและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากกว่า การว่ายน้ำ ด้วยท่าอื่น ๆ และไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นว่ายน้ำ สำหรับท่าผีเสื้อนั้น จะช่วยในการปรับและสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายส่วนบนมีความแข็งแรง โดยเฉพาะช่วงอก หน้าท้อง แขน และกล้ามเนื้อหลัง และยังช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้ออีกด้วย
การว่ายน้ำด้วยท่าผีเสื้อ ต้องอาศัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็นอย่างมาก และเพราะเป็นท่าที่ทั้งยากและต้องใช้ความแข็งแรงมากนี้เอง ทำให้ท่าผีเสื้อเป็นท่าว่ายน้ำที่ช่วยลดแคลอรี่ได้มากที่สุด โดยหากว่ายน้ำด้วยท่าผีเสื้อทุก ๆ 10 นาที จะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากถึง 150 แคลอรี่ และสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้สูงถึง 450 แคลอรี่ ต่อการว่ายด้วยท่าผีเสื้อ 30 นาที
กิจกรรมว่ายน้ำ นอกจากจะช่วยคลายร้อนแล้ว ก็ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมบุคลิกภาพให้ดูดี ข้อสำคัญคือมีส่วนช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกาย ซึ่งสำหรับแต่ละท่านั้น สามารถเลือกไปปรับใช้ในการว่ายน้ำได้ตามความสนใจ แต่ควรอยู่ในขอบข่ายของสมรรถภาพร่างกายที่เป็นอยู่ หรือหากจะให้ดี ควรมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่จะเกิดจาก การว่ายน้ำ
[embed-health-tool-bmi]