Seborrheic Dermatitis หรือโรคผื่นแพ้ต่อมไขมันอักเสบ เป็นภาวะผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่ส่งผลให้ผิวหนังเป็นสะเก็ดบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก และมีอาการคัน ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อรา ความเครียด สภาพอากาศ กรรมพันธุ์ และมักพบได้ทุกช่วงอายุ ทุกเพศทุกวัย หากสังเกตว่ามีอาการของโรคเซ็บเดิร์ม ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังควรดูแลสุขภาพผิวและหนังศีรษะเพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเซ็บเดิร์ม แต่ภาวะนี้ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้
Seborrheic Dermatitis คืออะไร
Seborrheic Dermatitis คือ ภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะ เปลือกตา คิ้ว หน้าอก ข้างจมูก ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนเนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตมากเกินไป โรคเซ็บเดิร์มสามารถเริ่มเป็นได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 2 เดือน และอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเซ็บเดิร์ม ดังนี้
กรรมพันธุ์ในครอบครัว ฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ที่อาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากจนเกินไป ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเสี่ยงเป็นโรคเซ็บเดิร์ม สภาพผิวมัน เป็นสิวบ่อย สภาพอากาศหนาว แห้งหรือร้อน ความเครียด ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่มีภาวะตับอ่อนอักเสบ ผู้ที่ทำเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ภาวะสุขภาพ เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมบ้าหมู โรคพาร์กินสัน โรคสะเก็ดเงิน โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคโรซาเซีย (Rosacea) อาการของเซ็บเดิร์ม
อาการของเซ็บเดิร์ม อาจมีดังนี้
- ผิวหนังเป็นสะเก็ดสีขาวบริเวณหนังศีรษะ ผม คิ้ว หนวด หน้าอก เปลือกตา ใบหู รักแร้ ขา และข้างจมูก
- ผดผื่น รอยแดง และมีอาการคัน
หากพบว่ามีอาการคันรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีความกังวลว่าผิวหนังจะติดเชื้อ ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว
การรักษาเซ็บเดิร์ม
การรักษาเซ็บเดิร์มอาจทำได้ ดังนี้
- ยาฟลูโอซิโนโลน (Fluocinolone) คือยาบรรเทาอาการอักเสบ ลดอาการบวม อาการคัน และรอยแดง โดยใช้ทาผิวหนังวันละ 3-4 ครั้ง ยกเว้นบริเวณใบหน้า ขาหนีบและใต้วงแขน ก่อนทายานี้ควรทำความสะอาดผิวและเช็ดให้แห้งสนิท
- ยาโคลเบทาซอล (Clobetasol) ใช้เพื่อช่วยรักษาอาการบวมที่ผิวหนังและบรรเทาอาการคัน วันละ 2 ครั้ง หรือตามดุลพินิจของคุณหมอ สามารถทาบาง ๆ บนผิวหนังที่ตัว ยกเว้นใบหน้า ขาหนีบและใต้วงแขน
- ยาเดโซไนด์ (Desonide) ใช้เพื่อรักษาโรคผิวหนังอักเสบและช่วยบรรเทาอาการคัน โดยควรทาวันละ 2-3 ครั้ง หรือตามดุลพินิจของคุณหมอ
- ยาพิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) ใช้สำหรับการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิแพ้ เพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและลดปฏิกิริยาการแพ้ โดยทาบาง ๆ ผิวหนังบริเวณที่ได้รับผลกระทบวันละ 2 ครั้ง
- ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ใช้สำหรับการรักษาโรคผิวหนังติดเชื้อรา เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา โดยควรทาวันละ 2 ครั้ง ในบริเวณผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ เช่น คอ หน้าอก ขา
- ยาซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium sulfide) คือยาในรูปแบบแชมพูสระผม เหมาะสำหรับการรักษา Seborrheic Dermatitis บนหนังศีรษะ เพื่อช่วยลดการอักเสบ อาการคัน หนังศีรษะลอกเป็นขุย และอาการบวมแดง โดยเขย่าขวดก่อนใช้งาน จากนั้นชโลมบนหนังศีรษะให้ทั่วและทิ้งเอาไว้ 2-3 นาที ก่อนล้างออก ควรใช้ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์
- ยาต้านเชื้อรา คุณหมออาจให้รับประทานยาต้านเชื้อราในรูปแบบเม็ด เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มเนื่องจากการติดเชื้อราที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น
การป้องกันเซ็บเดิร์ม
การป้องกันเซ็บเดิร์มอาจทำได้ ดังนี้
- ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดความมันบนใบหน้าและกำจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขน อีกทั้งควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ปราศจากน้ำมันและสารระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์และเจลจัดแต่งทรงผม เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนบนหนังศีรษะ ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเซ็บเดิร์ม
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อช่วยลดการขับเหงื่อ ซึ่งอาจช่วยป้องกันปัญหาผิวมันและการอุดตันในรูขุมขน
- ล้างเครื่องสำอางบนหน้าให้สะอาด ไม่ควรทิ้งไว้ข้ามคืน และไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน เพราะอาจอุดตันในรูขุมขนและกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเซ็บเดิร์ม
- ควรใช้ยาและแชมพูสำหรับรักษาเซ็บเดิร์มจนกว่าจะหายขาด หรือตามดุลพินิจของคุณหมอ เพื่อบรรเทาอาการเซ็บเดิร์ม