ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบำบัดด้วยการลอยตัวในน้ำเกลือ ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบการนวด

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านต่าง ๆ มากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อการเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่เรา แม้กระทั่งการทำสปาก็เช่นเดียวกัน ที่แต่เดิมเราจะคุ้นเคยเพียงแค่การนวดน้ำมัน ขัดตัว เท่านั้น แต่เมื่อลองศึกษาให้มากขึ้นจะพบว่ามีการทำสปา หรือการบำบัดร่างกาย ในรูปแบบใหม่ ๆ ให้เราได้ลองอยู่เสมอ บทความนี้ Hello คุณหมอ ขอพาทุกคนมารู้จักกับ การบำบัดด้วยการลอยตัวในน้ำเกลือ หรือ การทำสปาลอยตัวในน้ำเกลือ ที่คุณจะรู้สึกถึงความสบาย และสดชื่นตลอดเวลา จนคุณไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ทำความรู้จักกับ การบำบัดด้วยการลอยตัวในน้ำเกลือ การทำสปาลอยตัวในน้ำเกลือ หรือ การบำบัดด้วยการลอยตัวในน้ำเกลือ เรียกอีกอย่างได้ว่า โฟลเทชัน เทอราพี (Floatation Therapy) เป็นการลอยตัวในเครื่องลอยตัว (Float Tank) ที่ดูเหมือนแคปซูลเต็มไปด้วยน้ำที่ประกอบด้วยดีเกลือฝรั่ง อยู่ภายในประมาณครึ่งฟุต ซึ่งเป็นเครื่องที่ถูกผลิตขึ้นมาสำรับการทำสปานี้โดยเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วการแช่ร่างกายในน้ำอาจใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอกแม้กระทั่งเสียงผู้คน ถือได้ว่าเป็นอ่างแช่ส่วนตัวที่ทำให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยทีเดียว ประโยชน์ของการใช้บริการ การบำบัดด้วยการลอยตัวในน้ำเกลือ ถึงแม้จะเป็นการทำบำบัดที่ค่อนข้างแปลกใหม่ และเชื่อว่าหลายคนคงจะสงสัยกันอยู่เป็นแน่ว่า แค่ลอยตัวในน้ำจะสามารถช่วยบำบัดร่างกายของเราได้อย่างไร หากเมื่ออ่านคุณประโยชน์ด้านล่างนี้ที่กำลังจะกล่าวถึงแล้วละก็ อาจทำให้คุณอยากลองเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีนี้ก็เป็นได้ ลดอาการปวดเมื่อยตัว เพื่อปรับปรุงการนอนหลับ บางครั้งที่เราเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งทำงานทั้งวัน ทำให้เกิดมีอาการปวดเมื่อยตัว จนนำไปสู่การนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท บางรายอาจมีตะคริวร่วมจนไปรบกวนเวลาการพักผ่อน ซึ่งการทำบำบัดแบบลอยตัวในน้ำนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกถึงความสบาย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบำบัดด้วยความเย็น เทรนด์ใหม่มาแรง ที่อาจช่วยฟื้นฟูร่างกาย

การออกกำลังกายถือว่าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะสามารถช่วยให้ระบบการทำงานภายในของเราแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าหากคุณหักโหมจนเกินไป ก็อาจทำให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นแย่ลงได้ ยกตัวอย่างเช่น อาการกล้ามเนื้ออักเสบ การเจ็บปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อ จนกระทั่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ยากลำบาก ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการนวดคลายเส้น หรือการรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อเข้าช่วย แต่ยังมีอีกเทคนิคหนึ่งที่ วันนี้ Hello คุณหมอ ได้นำมาฝากให้ทุกคนลองอ่านกัน นั่นก็คือ การบำบัดด้วยความเย็น หรือ ไครโอเทอราพี ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับคนที่ไม่ชอบการทานยา หรือการกดเส้นที่เจ็บปวด นับได้ว่าเป็นตัวช่วยดี ๆ อีกวิธีที่อาจเหมาะกับคุณกว่าการรักษาแบบอื่นก็เป็นได้ การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy) คืออะไร การฟื้นฟูสมรรถภาพการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยความเย็น หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า ไครโอเทอราพี (Cryotherapy) เป็นการรักษากล้ามเนื้อของร่างกายด้วยการนำตัวคุณเข้าไปในตู้ หรืออ่างแช่เย็น ที่มีอุณหภูมิ -200 ถึง -300 องศา เป็นเวลา 2-5 นาที หรืออาจมากกว่านั้นตามการประเมินร่างกายโดยนักบำบัด ในช่วงปลายปี 1970 ประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้ความเย็นนี้มาเป็นตัวช่วยในการรักษาอาการบางอย่างทางการแพทย์ เช่น โรคไขข้ออักเสบ และบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อให้แก่นักกีฬา เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันคุณก็ยังคงพบกับวิธีเช่นนี้อยู่ เป็นการรักษาแบบวิธีพื้นบ้านที่นำน้ำแข็งมาใส่ในอ่างแช่น้ำก่อนนำร่างกายคุณลงไปแช่ตาม แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาตามยุคสมัย ปัจจุบันได้เกิดการพัฒนาเป็นเครื่องแช่ที่มาพร้อมกับไอเย็น และมีขนาดพอดีกับร่างกาย พร้อมทั้งยังสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่พอดีเหมาะแก่อาการของผู้ใช้บริการแต่ละบุคคลได้ การบำบัดด้วยความเย็น ดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ไครโอเทอราพี นอกจากจะลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อแล้ว […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

5 ประโยชน์ของเสียงดนตรี ที่ฟังเมื่อไหร่ ก็ทำให้คุณยิ้มได้ทันที

สงสัยกันไหม ว่าทำไมเวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ หรือมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์ พอได้ฟังเสียงดนตรีแล้ว กลับทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้ทันที และยังเกิดความเพลิดเพลินอินไปกับเพลงที่เราชื่นชอบ ทำให้จิตใจพร้อมที่จะเริ่มกิจกรรมดี ๆ ได้ตลอดทั้งวัน นอกจากข้อดีข้างต้นแล้ว วันนี้ Hello คุณหมอ ก็ได้นำ ประโยชน์ของเสียงดนตรี ด้านอื่น ๆ มาฝากอีกด้วย เพื่อให้ทุกคนลองหันมาปรับอารมณ์ด้วยการฟังเสียงเพลงแทนการทำลายสิ่งของ จนอาจทำไปสู่การทำร้ายตนเอง หรือคนรอบข้างได้ ประโยชน์ของเสียงดนตรี ที่อาจเสริมสร้างจิตใจ และร่างกายให้ดีขึ้น จากการวิจัยล่าสุดในวารสารจิตเวชศาสตร์ พบว่าดนตรีสามารถใช้เป็นการรักษาบำบัดผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังปรับปรุงการทำงานของสมองของผู้ป่วยพาร์กินสัน สมองเสื่อม โรคหลอดเลือดในสมอง และเส้นเลือดตีบในสมองอีกด้วย ซึ่งการทดลองนี้นักวิจัยได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 25 ครั้ง ด้วยกัน จึงจะได้ข้อสรุปว่าการใช้ดนตรีบำบัด หรือการฟังเสียงเพลงช่วยลดความเศร้าในจิตใจ และความวิตกกังวลได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีของผู้ป่วยนั้นดีขึ้น แต่นอกจากการวิจัยข้างต้นแล้ว การฟังเสียงดนตรีที่เราชื่นชอบยังให้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้อีกดังนี้ 1.ลดความเครียด ในการศึกษาปี 2013 ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่นักวิจัยได้คัดมาส่วนใหญ่มักมีภาวะความเครียดจากสิ่งรอบข้างในสังคม แต่เมื่อได้รับการฟังเสียงเพลง เนื้อหา ทำนอง หรือจังหวะ คลื่นเสียงคุณได้ยินนั้น จะถูกส่งเข้าสู่ระบบประสาทอัตโนมัติ จึงทำให้ผู้ทดสอบเริ่มผ่อนคลายตนเองจากความเครียดได้ค่อนข้างรวดเร็ว 2.ปรับปรุงหน่วยความจำ เพราะการฟังเพลงเป็นประจำ ทำให้เกิดความคิดในเชิงบวก ปรับอารมณ์ให้อยู่ในระดับดีได้เสมอ จึงไม่เกิดการขัดขวางการทำงานของหน่วยความจำ และยังพบการศึกษาชิ้นหนึ่งสรุปผลออกมาได้ว่า ผู้ที่รักเสียงดนตรีเรียนรู้ภาษา และความหมายจากเพลงนั้น ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เอ๊ะ? ตกลง เราเป็น ภูมิแพ้ หรือ ไข้หวัด กันแน่นะ

เมื่อมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ จาม คุณอาจจะคิดว่าเป็นไข้หวัด แต่อาการต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นสัญญาณของภูมิแพ้ได้เช่นกัน แม้ว่าทั้งภูมิแพ้และไขหวัดนั้น จะมีอาการที่คล้ายคลึงกันมาก จนบางครั้งก็ไม่สามารถแยกได้ แต่ว่าวิธีการรักษาทั้ง 2 ก็มีความต่างกัน หากสามารถแยกได้ว่าเราเป็น ภูมิแพ้ หรือ ไขหวัด ก็จะช่วยให้ใช้ยาได้อย่างถูกประเภท Hello คุณหมอ จึงมีข้อมูลดีๆ ที่จะเป็นตัวช่วยว่าตกลงเราเป็น ภูมิแพ้ หรือ ไข้หวัด กันแน่ [embed-health-tool-bmi] ไข้หวัด คืออะไร                     ไข้หวัด เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสหลายๆ  ชนิดก็มีส่วนทำให้เกิดไข้หวัด ซึ่งจะมีอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะมีอาการพื้นฐานคล้ายๆ กัน ซึ่งไข้หวัดใหญ่มักจะมีลักษณะ ดังนี้ แพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่ง เมื่อไอหรือจามอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล เมื่อไข้หวัดรุนแรงจะทำให้เกิดอาการปวดหัว ไข้ขึ้น และมีอาการปวดเมื่อยตามตัว โดยปกติแล้ว ไข้หวัดจะหายได้เร็ว ภายใน 7-10 วัน หากมีอาการเรื้อรังนานกว่า 1หรือ2 สัปดาห์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง เช่น ติดเชื้อไซนัส ปอดอักเสบ ภูมิแพ้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก ปรอทวัดไข้ หลากหลายชนิด

สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ได้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างเกิดความวิตกกังวล หลายคนจึงต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า “เครื่องวัดอุณหภูมิ” หรือคนทั่วไปมักเรียกติดปากว่า “ปรอทวัดไข้” นั่นเอง ใช้ในการตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกาย เพื่อเช็กอาการเบื้องต้นดูว่าตนเองเข้าข่ายเสี่ยงต่อการติดโรค COVID-19 หรือไม่ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมาทำรู้จักกับปรอทวัดไข้ชนิดต่าง ๆ กันค่ะ จะมีข้อดี ข้อเสีย และวิธีการใช้งานอย่างไรบ้างนั้น มาดูพร้อมกันเลย ทำความรู้จัก เครื่องวัดอุณหภูมิ ชนิดต่าง ๆ หลายคนอาจรู้สึกสับสนกับการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ หรือ ปรอทวัดไข้ (Thermometers) ว่าแต่ละแบบนั้นมีข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันอย่างไร คุณสามารถดูรายละเอียดของปรอทวัดไข้แต่ละแบบ ได้ดังต่อไปนี้ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital thermometers) ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอลทั่วไปจะใช้เซ็นเซอร์ความร้อนอิเล็กทรอนิกส์ในการวัดอุณหภูมิในร่างกาย เด็กโตหรือผู้ใหญ่นิยมใช้วัดอุณหภูมิทางปากและรักแร้ สำหรับเด็กทารกในช่วง 3 เดือนแรก ถึง 3 ปี  เหมาะสำหรับการใช้วัดอุณหภูมิทางทวาร จะได้ค่าความแม่นยำมากกว่า ข้อดี : เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลสามารถวัดอุณหภูมิจากทางปากและรักแร้ได้อย่างรวดเร็ว ข้อเสีย : ในการวัดอุณหภูมิอาจจะใช้งานยากสำหรับเด็กเพื่อให้เขาหยุดนิ่งนานพอที่จะอ่านค่าได้ เครื่องวัดอุณหภูมิในช่องหู (Digital ear thermometers) เครื่องวัดอุณหภูมิในช่องหู ใช้รังสีอินฟาเรดเพื่อวัดอุณหภูมิภายในช่องหู ข้อดี : สะดวกและรวดเร็วสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ข้อเสีย : […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้หรือไม่ ทำไมถึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง มากกว่าวันละ 2 ขวด

เครื่องดื่มชูกำลัง ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด เป็นคำเตือนสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อไหน ๆ ต่างก็ออกคำเตือนนี้มาจนเราทุกคนล้วนคุ้นหูกันทั้งสิ้น แต่เราเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้นถ้าเราดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเกินวันละ 2 ขวด? มีอันตรายอะไรที่ทำให้ผู้ผลิตถึงกับต้องออกมาเตือนไม่ให้เรา ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากเกินไป มาหาคำตอบร่วมกันกับ Hello คุณหมอ เครื่องดื่มชูกำลังคืออะไร เครื่องดื่มชูกำลัง (Energy drinks) หมายถึงเครื่องดื่มที่ดื่มเพื่อช่วยเพิ่มพลังงานและประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง หลายคนมักจะดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อช่วยให้ตื่น และสามารถทำงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องทำงานเป็นกะ หรือผู้ที่อ่านหนังสือสอบจนดึกดื่น เครื่องดื่มชูกำลังแทบจะทุกยี่ห้อนั้นจะมีส่วนผสมของคาเฟอีน (Caffeine)เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้สมองเกิดความตื่นตัว และทำให้มีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละยี่ห้อ แต่ส่วนผสมของเครื่องดื่มชูกำลังหลัก ๆ มักจะมีดังต่อไปนี้ น้ำตาล มักจะเป็นแหล่งของสารอาหารหลักในเครื่องดื่มชูกำลัง แต่ก็มีบางยี่ห้อที่ไม่ใช้น้ำตาล แต่จะเป็นสารให้ความหวานแทน วิตามินบี เป็นวิตามินสำคัญที่จะช่วยแปลงสารอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปให้กลายเป็นพลังงานให้ร่างกายนำไปใช้ กรดอะมิโน เช่น แอลคาร์นิทีน (L-carnitine) หรือทอรีน (taurine) สารสกัดจากสมุนไพร เช่น โสม เพื่อช่วยในการทำงานของสมอง ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากเกินไป อันตรายอย่างไร หนึ่งในปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้การดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากเกินไปเป็นอันตรายนั้น เนื่องมาจากคาเฟอีนที่อยู่มากในเครื่องดื่มชูกำลัง ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตาม เครื่องดื่มชูกำลังส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีคาเฟอีนอยู่ที่ประมาณ 80 มก. ต่อขวด หรือก็คือในปริมาณที่เท่ากับกาแฟ 1 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธี เพิ่มการไหลเวียนเลือด ง่ายๆ ทำแล้วเลือดไหลเวียนดี ร่างกายแข็งแรง

เชื่อหรือไม่ว่า หลอดเลือดในร่างกายของเรานั้นยาวกว่า 96,500 กิโลเมตร ประกอบด้วย หลอดเลือดอาร์เทอรีหรือหลอดเลือดแดง หลอดเลือดเวนหรือหลอดเลือดดำ และ หลอดเลือดฝอย โดยเลือดจะหมุนเวียนจากหัวใจไปและกลับยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย พร้อมลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ด้วย หากระบบการไหลเวียนเลือดของคุณทำงานได้ไม่ดี ปัญหาสุขภาพต่างๆ ก็อาจตามมาได้ วันนี้ เราเลยอยากชวนคุณมา เพิ่มการไหลเวียนเลือด ด้วยวิธีตามธรรมชาติ ที่รับรองว่าทำแล้วปลอดภัย ได้ผลชัวร์ [embed-health-tool-heart-rate] สัญญาณที่บอกว่าเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี หากคุณมีสภาะเหล่านี้ นั่นอาจหมายความว่าเลือดของคุณไหลเวียนได้ไม่ดีนัก และคุณกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดโดยด่วน มือและเท้าเย็น หรือชา หากคุณมีผิวสีอ่อน อาจมองเห็นเส้นสีน้ำเงินจางๆ ใต้ผิวหนัง ผิวแห้ง เล็บเปราะ หักง่าย ผมและขนตามส่วนต่างๆ ร่วงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะขนขา ผู้ชายอาจมีปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวยาก ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน อาจมีปัญหาแผลหายช้ากว่าปกติ วิธี เพิ่มการไหลเวียนเลือด หากคุณอยาก เพิ่มการไหลเวียนของเลือด คุณก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ เลิกบุหรี่ นิโคติน (Nicotine) ซึ่งเป็นสารประกอบหลักของบุหรี่ ทั้งบุหรี่ธรรมดา บุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่ไร้ควัน สามารถทำอันตรายผนังหลอดเลือดแดง และทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น จนเลือดไหลเวียนได้ยากหรือเกิดการอุดตันได้ ฉะนั้น หากคุณเป็นสิงห์นักสูบ และอยากให้เลือดไหลเวียนดี แนะนำว่าให้รีบเลิกบุหรี่โดยด่วน ควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ความดันโลหิตสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ประโยชน์ของการแช่เท้า ด้วย ดีเกลือฝรั่ง สปาเท้าง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้

การผ่อนคลายด้วยการทำสปา เป็นอีกหนทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ชอบการนวดในรูปแบบใช้แรงกด และในปัจจุบันนั้นมักมีวิธีการสร้างความผ่อนคลายต่างๆ มากมายตามความชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งการแช่เท้าด้วย ดีเกลือฝรั่ง ก็เป็นอีกวิธีที่คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง พร้อมคุณประโยชน์ทันตาเห็นเมื่อทำกันอย่างสม่ำเสมอ บทความนี้ Hello คุณหมอ จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักการใช้ดีเกลือฝรั่ง และขั้นตอนที่คุณควรรู้ก่อนการเริ่มทำ สปาเท้า แสนง่ายนี้กัน ทำความรู้จักกับดีเกลือฝรั่ง ก่อนบำรุงสุขภาพเท้ากันเถอะ ดีเกลือฝรั่ง (Epsom Salt) เป็นแร่ธาตุที่หาพบได้ตามธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำที่ผุดขึ้นจากชั้นใต้ดิน ที่มีองค์ประกอบของแมกนีเซียม (Magnesium) และ ซัลเฟต (Sulfate) อยู่ด้วย โดยมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวที่เกิดการตกผลึกขนาดเล็ก แต่เดิมนั้นคนสมัยก่อนนิยมมาใช้รักษาโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และยังทำให้ผิวพรรณของคุณดูอ่อนเยาว์ เนียนนุ่ม แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายขึ้น ขั้นตอ การแช่เท้าด้วยดีเกลือฝรั่ง และประโยชน์น่ารู้ ก่อนการนำเท้าลงไปแช่ คุณควรเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ให้พร้อมก่อนเริ่มขั้นตอน การแช่เท้า ดังนี้ เตรียมภาชนะที่พอดีกับ การแช่เท้า ดีเกลือฝรั่ง(สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ ตามร้านขายสมุนไพร ร้านขายยา และช่องทางออนไลน์ของเว็บเกี่ยวกับสุขภาพ) น้ำอุ่นสะอาด น้ำมันหอมระเหย ขั้นตอนการแช่เท้า ต้มน้ำสะอาด และทิ้งไว้จนน้ำเริ่มอุ่น เทน้ำอุ่นลงในภาชนะที่นำมาแช่เท้า และโรยดีเกลือฝรั่ง ½ ถ้วย นำเท้าลงไปแช่เป็นเวลา 30 – 60 นาที คุณสามารถเพิ่มน้ำได้ ให้น้ำคลุมเท้าคุณทั้งหมด หากอยากได้กลิ่นที่หอมชัดขึ้น คุณสามารถหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่างๆ ตามความชอบของคุณเพิ่มได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดให้เช็ดเท้าให้แห้ง หรืออาจทาโลชั่นเป็นการบำรุงได้ การแช่เท้าด้วยดีเกลือฝรั่งนี้ มีคุณประโยชน์ในด้านการกำจัดเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เบื่ออาหารหลังฉายรังสี ควรแก้ไขอย่างไรดี เพื่อสุขภาพของคุณ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งและรับการรักษาด้วยการฉายรังสีนั้น มักจะมีผลกระทบที่ตามมาก็คือ อาการ เบื่ออาหารหลังฉายรังสี ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง หรือบางคนอาจจะถึงขั้นไม่อยากทานอะไรเลยก็เป็นได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ก็อาจจะอ่อนแอลงตามไปด้วย แล้วจะทำอย่างไรกับอาการเบื่ออาหารที่เกิดขึ้นนี้ ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน เบื่ออาหารหลังฉายรังสี เกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนที่เป็นมะเร็ง และรักษาด้วยการฉายรังสี อาจเกิดอาการเบื่ออาหาร เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายรังสีนั้น สามารถส่งผลกระทบต่อการทานอาหาร โดยทำให้คุณรู้สึกเบื่ออาหาร เมื่อเกิดอาหารเบื่ออาหารขึ้นมาก็จะทำให้คุณทานอาหารได้ไม่มากเพียงพอ จึงส่งผลให้คุณน้ำหนักลดลง โดยน้ำหนักลดลงถือเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของการรักษาโรคมะเร็ง เมื่อคุณทานอาหารได้ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งส่งผลต่อการรักษาแผล ทั้งยังทำให้เหนื่อยล้าและไม่สบายตัว ดังนั้น ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง คุณควรจะต้องได้รับการบำรุงอย่างดี ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสมดุล เพื่อให้อาหารเหล่านั้นเป็นพลังงานและเชื้อเพลิงให้กับร่างกาย ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ และการพักฟื้น ในขณะที่คุณต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสี และการได้รับประทานอาหารอ่อนๆ จะเป็นการดีต่อร่างกายของผู้พักฟื้นเป็นอย่างมาก สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการ เบื่ออาหารหลังฉายรังสี อาการเบื่ออาหารหลังฉายรังสีนั้น มันอาจรวมถึงการรักษาที่ต้องใช้เคมีบำบัด และการผ่าตัดด้วย หลังจากฉายรังสีแล้ว อาจจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ซึ่งมันจึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเกิดอาการเบื่อหลังฉายรังสี ซึ่งอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีดังนี้ คลื่นไส้และอาเจียน ท้องผูก โรคท้องร่วง เจ็บปาก ปากแห้ง เคี้ยวหรือกลืนลำบาก รสชาติและกลิ่นที่ได้รับมีการเปลี่ยนแปลง เกิดความเมื่อยล้า จำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ หรือโลหิตจาง ติดเชื้อ มีความกระตือรือร้นน้อยลง หายใจลำบาก วิตกกังวล หรือหดหู่ เกิดความรู้สึกแน่น เนื่องจากการสะสมของเหลวในช่องท้อง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า น้ำในช่องท้อง แก้ไขอาการ เบื่ออาหารหลังฉายรังสี อย่างไรถึงจะดี สำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง การรักษาน้ำหนักเอาไว้ถือเป็นเร่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก แม้จะเกิดอาการเบื่ออาหารระหว่างการรักษา หรือหลังจากฉายรังสีก็ตาม […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

อนุมูลอิสระ คืออะไรกันแน่ ทำไมเราถึงต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ

คาดว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินสรรพคุณของเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว อาหารเสริม หรือแม้แต่อาหารต่างๆ ว่าตัวเองมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากพร้อมมาด้วยประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชะลอการเกิดริ้วรอย ลดการอักเสบ และประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ จนอาจจะฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า แล้ว อนุมูลอิสระ ที่ว่านี่มันคืออะไรกัน แล้วทำไมเราถึงต้องคอยต่อต้านอนุมูลอิสระนี้ หาคำตอบได้จากบทความนี้ อนุมูลอิสระ คืออะไร อนุมูลอิสระ (Free Radicals) หมายถึงโมเลกุล หรืออะตอมที่ไม่เสถียรเนื่องจากการขาด อิเล็กตรอน ที่อยู่รอบนอกสุดของอะตอม อนุมูลอิสระนี้มีช่วงอายุสั้นเพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที แต่สามารถสร้างความเสียหายต่อ DNA ด้วยการแย่งจับอิเล็กตรอนของเซลล์อื่นในร่างกาย ที่เรียกว่าภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) ทำให้โมเลกุลของร่างกายไม่เสถียร เกิดความเสียหาย นำไปสู่การเกิดโรคและริ้วรอยบนร่างกาย และอาจเกิดการกลายพันธุ์จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในภายหลัง เราจึงมักจะต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยทำให้โมเลกุลที่ไม่เสถียรนี้มีความเป็นกลาง และช่วยปกป้องร่างกายจากการเสื่อมโทรมของเซลล์เหล่านี้ อนุมูลอิสระได้มาจากไหน แม้ว่าตามปกติแล้ว สารอนุมูลอิสระจะสามารถเกิดขึ้นได้เองภายในร่างกายของเรา ในระหว่างกระบวนการเผาผลาญพลังงานตามปกติของร่างกาย แต่ในบางครั้ง ปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น ลักษณะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ก็อาจส่งผลต่อการสร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นภายในร่างกายได้เช่นกัน ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระมีดังต่อไปนี้ มลภาวะทางอากาศ การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารทอด การอักเสบ การออกกำลังกาย การฉายรังสี ยาและสารเคมีบางชนิด ไวรัสบางชนิด อนุมูลอิสระทำให้เกิดโรคมะเร็งได้จริงเหรอ โรคมะเร็งนั้นมักจะเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย ที่เกิดการเจริญเติบโตอย่างไม่สามารถควบคุมได้ของเซลล์ อนุมูลอิสระนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ DNA และส่งผลให้เกิดยีนที่สร้างโปรตีนที่ไม่สามารถใช้งานได้ขึ้นมา หลังจากนั้น ร่างกายก็จะเกิดการสร้างยีนที่ทำหน้าที่ในการซ่อมแซม DNA ที่เสียหายเกินกว่าจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้จากกระบวนการการตายของเซลล์ ยีนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ จนอาจนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด เราสามารถปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่จะช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ก็คือสารต้านอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในอาหาร เครื่องสำอาง หรืออาหารเสริมต่างๆ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน