ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นภาวะเกิดการอักเสบที่ไส้ติ่ง ซึ่งมักไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจน แต่เมื่อมีการอุดกั้น สามารถก่ออันตรายต่อร่างกายและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ คำจำกัดความไส้ติ่งอักเสบ คืออะไร ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เป็นภาวะเกิดการอักเสบที่ไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีขนาดเล็ก และรูปร่างเหมือนท่อ ติดอยู่กับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ในบริเวณด้านขวาล่างของช่องท้อง มักไม่มีหน้าที่ชัดเจน แต่เมื่อมีการอุดกั้น สามารถทำให้ก่ออันตรายต่อร่างกาย และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ไส้ติ่งอักเสบ พบได้บ่อยแค่ไหน ไส้ติ่งอักเสบพบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่มักเกิดขึ้นได้มากที่สุดในผู้ที่มีอายุระหว่าง 10-30 ปี โรคนี้สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของไส้ติ่งอักเสบ อาการหลักของไส้ติ่งอักเสบคืออาการปวดท้อง ที่เริ่มต้นบริเวณกลางท้องส่วนบนใกล้กับสะดือ จากนั้นอาการปวดมักลุกลามลงไปยังช่องท้องด้านขวาล่าง และการเคลื่อนไหวร่างกาย การไอ หรือการออกแรงอาจทำให้อาการปวดแย่ลง อาการอื่น ๆ ที่พบ ได้แก่ คลื่นไส้และอาเจียน เบื่ออาหาร ท้องผูก หรือท้องร่วง ผายลมไม่ได้ ท้องบวม มีไข้ต่ำ หากไม่รีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และปล่อยไว้จนอาการรุนแรง อาจทำให้ไส้ติ่งแตกและทำให้เกิดการติดเชื้อที่เป็นอันตรายต่อชีวิต สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หรือไปโรงพยาบาลทันที หากมีอาการดัง ต่อไปนี้ หากสงสัยว่ามีอาการใด ๆ ของไส้ติ่งอักเสบ อาการปวดที่ช่องท้องด้านขวาล่างที่ไม่หายไป ท้องร่วงหรือมีเลือดปนในอุจจาระ ท้องบวมร่วมกับมีไข้ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการอุดกั้น โดยสามารถเกิดจากอุจจาระ สิ่งแปลกปลอม หรือมะเร็ง เมื่อเกิดการอุดกั้น แบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ ทำให้ไส้ติ่งบวมและมีหนอง หากไส้ติ่งแตก แบคทีเรียสามารถแพร่กระจายและทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกาย ในผู้ป่วยบางราย ไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการตอบสนองต่อการติดเชื้อในร่างกาย ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของไส้ติ่งอักเสบ ปัจจัยเสี่ยงสำหรับไส้ติ่งอักเสบมีหลายประการ เช่น มีการติดเชื้อที่ลำไส้ มีสมาชิกในครอบครัวเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือโรคซิสติกไฟโบรซิส (cystic fibrosis) รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารต่ำและคาร์โบไฮเดรตสูง การไม่มีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ม้ามโต (Enlarged Spleen)

ม้ามโต หมายความว่าม้ามทำงานมากเกินไป ตัวอย่างเช่น ในบางครั้ง ม้ามทำงานมากเกินไปในการกำจัดและทำลายเซลล์เม็ดเลือด โดยภาวะดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ   คำจำกัดความม้ามโต (Enlarged Spleen) คืออะไร ม้ามเป็นอวัยวะภายในอยู่บริเวณใต้ซี่โครงในช่องท้องด้านซ้ายบน ค่อนไปด้านหลัง ม้ามเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำเหลือง ทำหน้าที่กำจัดของเสียและป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ  เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ถูกสร้างจากม้ามจะช่วยกำจัดแบคทีเรีย เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ออกจากกระแสเลือดขณะไหลผ่านม้าม นอกจากนี้ ม้ามยังทำหน้าที่รักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดด้วย ม้ามมักมีขนาดประมาณเท่ากำปั้น แพทย์มักไม่สามารถสัมผัสม้ามได้ในระหว่างการตรวจร่างกายภายนอก การเกิดโรคต่างๆ สามารถทำให้ม้ามมีขนาดใหญ่กว่าปกติได้หลายเท่า หรือ ม้ามโต (Enlarged Spleen) เนื่องจากม้ามเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของร่างกายหลายระะบบ ดังนั้น ม้ามมักได้รับผลกระทบเสมอหากเกิดโรคใดๆ ขึ้นในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ม้ามโตไม่ได้เป็นสิ่งบ่งชี้ของความผิดปกติเสมอไป ภาวะม้ามโต หมายความว่าม้ามทำงานมากเกินไป ตัวอย่างเช่น ในบางครั้ง ม้ามทำงานมากเกินไปในการกำจัดและทำลายเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งเรียกว่าภาวะม้ามทำงานมากเกินไป โดยภาวะดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ ซึ่งได้แก่ อาการผิดปกติเกี่ยวกับการมีเกล็ดเลือดมากเกินไป และความผิดปกติอื่นๆ เกี่ยวกับเลือด ม้ามโตพบบ่อยเพียงใด ภาวะม้ามโตพบได้ทั่วไปในคนทุกช่วงวัย โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการของม้ามโตอาการทั่วไปของภาวะม้ามโต ได้แก่ ไม่มีอาการในผู้ป่วยบางราย อาการปวดหรือแน่นในช่องท้องด้านซ้ายบนที่อาจลุกลามไปยังไหล่ด้านซ้าย รู้สึกอิ่มแม้ไม่ได้รับประทานอาหาร หรือหลังจากรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากม้ามกดทับลงบนกระเพาะอาหาร เลือดจาง อ่อนเพลีย ติดเชื้อบ่อย เลือดออกง่าย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด คุณควรปรึกษาแพทย์ หากมีอาการปวดในช่องท้องด้านซ้ายบน โดยเฉพาะหากมีอาการรุนแรง หรือมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อหายใจเข้าลึกๆ สาเหตุสาเหตุของม้ามโต การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัส เช่น โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส (mononucleosis) การติดเชื้อพยาธิ เช่น โรคท็อกโซพลาสโมซิส […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ปวดท้อง (Stomach ache)

ปวดท้อง เป็นอาการที่เกิดขึ้นบริเวณช่องท้อง โดยการติดเชื้อหรืออาการบาดเจ็บใดๆ ต่ออวัยวะในช่องท้องต่างๆ สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ คำจำกัดความ ปวดท้องคืออะไร ปวดท้อง (Stomach ache) คืออาการที่เกิดขึ้นบริเวณช่องท้อง โดยอวัยวะหลักที่อยู่ในบริเวณช่องท้อง ได้แก่ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไต ไส้ติ่ง ม้าม กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ตับ และตับอ่อน การติดเชื้อหรืออาการบาดเจ็บใดๆ ต่ออวัยวะเหล่านี้ สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ พบได้บ่อยเพียงใด อาการปวดท้องพบได้ทั่วไปในคนทุกวัย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงมีความไวต่ออาการนี้มากกว่า แต่สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของการปวดท้อง อาการปวดท้อง อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ มีอาการปวดเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะบ่อย มีอาการกดเจ็บที่ช่องท้อง อาเจียน มีอาการปวดเรื้อรัง มีภาวะขาดน้ำ อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการ ที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรไปพบหมอหากมีอาการใดๆ ที่ระบุข้างต้น หรืออาการอื่นๆ ดังต่อไปนี้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีเลือดปน หรือมีสีคล้ำเหมือนน้ำมันดิน หายใจลำบาก มีอาการปวดในระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุ สาเหตุของการปวดท้อง สาเหตุที่พบได้มากที่สุด คือ อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ไวรัสในกระเพาะอาหาร อาหารเป็นพิษ การแพ้อาหาร แก๊ส อาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส และนิ่วในไต เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดท้อง มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้อง เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป การสูบบุหรี่ การใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวด เช่น ยาแอสไพริน และ ยาไอบูโพรเฟน การวินิจฉัยและการรักษา ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยอาการปวดท้อง การวินิจฉัยอาการปวดท้อง ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาการปวด การตรวจร่างกาย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เท้าแบน อาการผิดปกติของเท้าที่คุณอาจไม่รู้ตัว และอาจก่อปัญหามากกว่าที่คิด

ถ้าคุณมีอาการเจ็บปวดบางอย่างที่ขาหรือเท้าอยู่บ่อยๆ โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ และไม่ได้เกิดจากโรคอะไร หนึ่งในสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือ ปัญหาความผิดปกติของสรีระของตัวคุณเอง และหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยก็คือ ปัญหาจากรูปลักษณะของเท้าที่ผิดปกติ ที่เรียกกันว่า เท้าแบน เท้าแบนคืออะไร เท้าแบน (Flat Feet) คือ ลักษณะของเท้าที่ไม่มีส่วนโค้งเว้าตรงกลางเท้า เมื่อลุกขึ้นยืน ฝ่าเท้าจะราบแนบไปกับพื้นทั้งหมด ตรงกลางฝ่าเท้าที่โค้งขึ้นมานั้นคืออุ้งเท้า (Arch) ซึ่งทอดไปตามแนวยาวและแนวขวางของฝ่าเท้า อุ้งเท้าเกิดจากการยึดกันระหว่างเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูกเท้า โดยเส้นเอ็นที่เท้าเองและเส้นเอ็นส่วนที่ต่อจากขาส่วนล่างจะยึดกระดูกตรงกลางเท้าเข้ากับส้นเท้า ทำให้กลางฝ่าเท้าโค้งเข้ามาและไม่ราบไปกับพื้น ภาวะเท้าแบนเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นเด็กเล็ก เนื่องจากฝ่าเท้าของเด็กมีไขมันและเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้มองเห็นอุ้งเท้าตรงฝ่าเท้าได้ไม่ชัด แต่เมื่อโตขึ้นช่องโค้งก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา บางคนอาจได้รับการถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวมาทางพันธุกรรม นอกจากนี้ ภาวะเท้าแบนอาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพไปตามอายุ เท้าแบนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทดังนี้ อาการเท้าแบนแบบนิ่ม ลักษณะเท้าแบนชนิดนี้พบได้บ่อยและทั่วไป ซึ่งเป็นอาการที่เท้ามีลักษณะผิดปกติคือ ผู้ที่มีความผิดปกติจะไม่ค่อยมีอุ้งเท้าและเท้าจะแบนราบไปกับพื้นไม่มีส่วนโค้งเว้า อาการเท้าแบนแบบแข็ง เป็นลักษณะของอาการที่ไม่ค่อยพบในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ ลักษณะของเท้าแบนชนิดนี้จะมีความผิดปกติของข้อเท้าคือ อุ้งเท้าจะนูนออก เท้าผิดรูป มีลักษณะกลับด้านนอกออกใน เท้าแบนส่วนใหญที่มีลักษณะแบบแบนนิ่ม จะไม่ก่อให้เกิดการเจ็บเท้า แต่เท้าแบนอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ข้อเท้าและเข่าได้เนื่องจากความผิดปกติของเท้า โดยอาการเจ็บปวดของเท้าแบนที่พบอาจได้แก่ เมื่อยขาง่าย เจ็บที่อุ้งเท้า อุ้งเท้าบวม การเคลื่อนไหวเท้าลำบาก ปวดหลังและขา สาเหตุของการเกิดอาการเท้าแบน อาการเท้าแบนเกิดได้จากความผิดปกติทางพันธุกรรมกล่าวคือ เป็นตั้งแต่เกิด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่มีความผิดปกติตั้งแต่เกิด และเป็นลักษณะของอาการเท้าแบนแบบนิ่ม หากอาการไม่รุนแรงมาก จะสามารถหายเป็นปกติได้เองเมื่อโตขึ้น แต่นอกจากนี้อาการเท้าแบนยังสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นได้ก็คือ เส้นเอ็นยืดหรือฉีก เอ็นที่ยึดหน้าแข้งส่วนหลังที่เรียกว่าเอ็นท้ายกระบอกถูกทำลาย หรือมีการอักเสบ กระดูกหักหรืออยู่ผิดที่ มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น เป็นโรคข้อเสื่อมรูมาตอยด์ มีปัญหาเรื่องเส้นประสาท การวินิจฉัยอาการเท้าแบน ตรวจพื้นรองเท้าของคุณว่ามีความผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะพื้นรองเท้าสามารถบอกได้ว่า คุณเดินผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติบ้างหรือไม่ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบริจาคเลือด กับประโยชน์สุขภาพที่คุณอาจคาดไม่ถึง

การบริจาคเลือด ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ หากสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และมีคุณสมบัติตรงตามที่ศูนย์รับบริจาคโลหิตต้องการ เช่น มีอายุระหว่าง 17-70 ปีบริบูรณ์ มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป ก็สามารถบริจาคเลือดได้ ผู้บริจาคเลือดไม่เพียงจะได้รับความสุขจากการให้ แต่ยังได้รับประโยชน์สุขภาพอีกมากมายที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ประโยชน์ดีๆ ที่ได้จาก การบริจาคเลือด ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ การบริจาคเลือด อาจเหมือนแค่นอนนิ่ง ๆ แต่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า การบริจาคเลือดครั้งละ 450 มิลลิลิตรสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 650 กิโลแคลอรี่ แม้การบริจาคเลือดแต่ละครั้ง จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะลดน้ำหนัก ด้วยการโหมบริจาคเลือดได้ เพราะคุณสามารถบริจาคเลือดได้ทุก 3 เดือน โดยต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย ช่วยป้องกันภาวะเหล็กเกิน ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่หากมีธาตุเหล็กสะสมอยู่ภายในร่างกายมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) คือ ธาตุเหล็กไปเกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ หัวใจ ไต ส่งผลให้เป็นโรคอย่าง ตับแข็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งการบริจาคเลือดจะทำให้ปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายน้อยลง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเหล็กเกินได้ ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการศึกษาพบว่า การบริจาคเลือดเป็นประจำติดต่อกันนานหลายปี จะช่วยลดความเข้มข้นของเลือด และระดับธาตุเหล็กในร่างกาย จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวายได้ถึง 88% และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจชนิดรุนแรง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เหงื่อออกมาก คุณอาจเป็นยิ่งกว่าขี้ร้อน

เหงื่อ..อาจเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะนอกจากจะทำให้เหนอะหนะ ไม่สบายตัว บางครั้งยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ จนทำให้คุณไม่มั่นใจ แต่คนเราจำเป็นต้องมีเหงื่อ เพื่อไม่ให้ร่างกายร้อนเกินไป บางคนอาจสังเกตเห็นว่า ตัวเองมีเหงื่อออกมากกว่าคนอื่น ซึ่งไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่การที่คุณมี เหงื่อออกมาก เกินไป ยังอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคบางอย่างได้อีกด้วย [embed-health-tool-bmr] ทำไมคนเราถึงเหงื่อออก ร่างกายมนุษย์จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อมีอุณหภูมิในร่างกายไม่เกิน 37ºC หรือประมาณ  (98.6ºF) หากอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น เพราะเจออากาศร้อน มีไข้ การออกกำลังกาย กินอาหารเผ็ดร้อน หรือรู้สึกตื่นเต้น สมองจะกระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อออกมา การผลิตเหงื่อตามระบบของร่างกาย เพื่อเป็นการระบายความร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เพราะหากเหงื่อไม่ออก ร่างกายเราอาจร้อนมากเกินไป จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แค่ไหนถึงเรียกว่า “เหงื่อออกมาก” ปกติแล้วร่างกายคนเราจะผลิตเหงื่อวันละ 1 ลิตร แต่ปริมาณเหงื่ออาจมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เชื้อชาติ เพศ อายุ กิจกรรมประจำวัน สภาพอากาศ อารมณ์ ความไวต่อความร้อน หากวันไหนคุณออกกำลังกายอย่างหนัก หรืออากาศร้อนจัด ร่างกายย่อมผลิตเหงื่อมากกว่า 1 ลิตร หากคุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น นั่งอยู่ในห้องปรับอากาศเฉยๆ ก็มีเหงื่อออกมาก หรือเหงื่อออกเฉียบพลัน คุณอาจมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) ร่างกายจึงผลิตเหงื่อมากกว่าคนปกติหลายเท่า เมื่อเหงื่อออกมาก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภัยสุขภาพจากพลาสติก งานวิจัยชี้จะ BPA หรือ BPS สารเคมีตัวไหน..ก็อันตรายพอกัน!

มีหลายการศึกษาพิสูจน์ว่า สารเคมีในพลาสติก อย่าง BPA (Bisphenol-A) ที่อยู่ในขวดน้ำพลาสติก และภาชนะบรรจุอาหาร สามารถปลดปล่อยเข้าสู่อาหารและเครื่องดื่ม แล้วเข้าไปในร่างกายได้ เนื่องจากสารดังกล่าวมีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนต่างๆ ของมนุษย์ จึงอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหลายประการ จากข้อกังวลดังกล่าวเกี่ยวกับ ภัยสุขภาพจากพลาสติก เหล่านี้ ทำให้ผู้ผลิตพลาสติกส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาใช้สาร Bisphenol-S (ชนิดใกล้เคียงกับสาร Bisphenol-A) ซึ่งเชื่อว่ามีความปลอดภัย แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น การศึกษาในสัตว์มีการโยงสาร Bisphenol-S และสาร Bisphenol-A กับความเสี่ยงต่อสุขภาพต่าง ๆ นักวิทยาต่อมไร้ท่อ (Endocrinologists) จากมหาวิทยาลัย UCLA ในสหรัฐฯ ทำการศึกษาปลาม้าลาย เพื่อดูว่าจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง จากการได้รับสาร Bisphenol-S ในระดับต่ำ การสัมผัสสาร Bisphenol-S เร่งการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ และมีผลต่อเซลล์ของต่อมไร้ท่อในสมองของลูกปลาม้าลาย ความไม่สมดุลของฮอร์โมนยังทำให้การสืบพันธุ์ของปลาเสียหายอย่างถาวร นอกจากนี้ สาร Bisphenol-S ยังรายงานว่า มีผลเช่นเดียวกับคุณสมบัติของฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง นักวิจัยไม่สามารถทำการทดสอบนี้ในมนุษย์ เนื่องจากเหตุผลทางจรรยาบรรณ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถทำได้ก็คือ การศึกษาในสัตว์ต่างๆ และเซลล์มนุษย์ ปลาม้าลายเป็นสายพันธุ์ปลาลำดับที่สอง ที่แสดงให้เห็นถึงการรบกวนต่อระบบสืบพันธ์ุ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สะอึก (Hiccups)

สะอึก (Hiccups)เป็นการหดตัวของกระบังลม เป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และไม่สามารถควบคุมได้ การหดตัวแต่ละครั้งเกิดขึ้นหลังจากเส้นเสียงปิดอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงสะอึก   คำจำกัดความสะอึก คืออะไร สะอึก (Hiccups) เป็นการหดตัวของกระบังลม ซึ่งเป็นชั้นบางๆ ของกล้ามเนื้อ ที่แยกช่องอกจากช่องท้องและช่วยในการหายใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และไม่สามารถควบคุมได้ การหดตัวแต่ละครั้งเกิดขึ้นหลังจากเส้นเสียงปิดอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงสะอึก สะอึก พบได้บ่อยเพียงใด อาการสะอึกพบได้บ่อยมาก สามารถส่งผลต่อคนทุกวัย อาการสะอึกสามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการสะอึกเป็นอย่างไร อาการประการเดียวของอาการสะอึก คือมีเสียงที่ได้ยินว่าเป็นอาการสะอึก อาการยังเป็นความรู้สึกตึงตัวเล็กน้อยในอก ช่องท้อง หรือคอ ที่เกิดขึ้นก่อนมีเสียงสะอึก อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของอาการสะอึก สาเหตุที่พบได้มากที่สุด ของอาการสะอึกที่มีอาการนานประมาณ 48 ชั่วโมง ได้แก่ รับประทานอาหารมากเกินไปอย่างรวดเร็ว ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป กลืนอากาศมากเกินไป/กลืนอากาศพร้อมกับเคี้ยวหมากฝรั่งหรือดูดลูกอม สูบบุหรี่ อุณหภูมิของกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงกะหันหัน มีอารมณ์ตึงเครียดหรือตื่นเต้น อย่างไรก็ดี อาการสะอึกที่มีอาการมากกว่า 48 ชั่วโมงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น เส้นประสาทเสียหายหรือระคายเคือง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ความผิดปกติของการเผาผลาญและการใช้ยา ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงของอาการสะอึก ผู้ชายมีโอกาสที่จะมีอาการสะอึกเป็นเวลานานได้มากกว่าผู้หญิงเป็นอย่างมาก ความเสี่ยงสำหรับอาการสะอึกมีหลายประการ เช่น ประเด็นทางจิตใจหรืออารมณ์ ความกังวล ความเครียด และความตื่นเต้น มีความสัมพันธ์กับอาการสะอึกในระยะสั้นและระยะยาวในบางกรณี การผ่าตัด ผู้ป่วยบางรายมีอาการสะอึก หลังจากได้รับยาสลบ หรือหลังจากหัตถการเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง การวินิจฉัยและการรักษาโรคข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยอาการสะอึก อาจจำเป็นต้องมีการทดสอบทางประสาท เพื่อตรวจสอบความสมดุลและการประสานงานของร่างกาย ความแข็งแรงและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ กิริยาสนองฉับพลัน การมองเห็น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

ภาวะขาดน้ำ เป็นอาการที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำ รวมถึงเกลือ แร่ธาตุ และน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถรบกวนการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดผลเสียหลายประการ คำจำกัดความ ภาวะขาดน้ำคืออะไร ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เป็นอาการที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำมากกว่าการได้รับน้ำ ภาวะไม่สมดุลดังกล่าวยังขัดขวางระดับของเกลือ แร่ธาตุ และน้ำตาลในเลือด ซึ่งสามารถรบกวนการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดผลเสียหลายประการ พบได้บ่อยเพียงใด ภาวะขาดน้ำพบได้บ่อยมาก สามารถส่งผลต่อคนทุกวัย ในทุกวัน น้ำในร่างกายสูญเสียไปในลมหายใจออก ในเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อชดเชยน้ำส่วนที่เสียไป เราจะมีภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำสามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการ อาการของภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำมีผลต่อร่างกายที่สังเกตได้ อาการที่พบได้ทั่วไปบางประการของภาวะขาดน้ำ ได้แก่ กระหายน้ำมาก รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ ใจสั่น (หัวใจเต้นเร็ว) ปัสสาวะน้อยลง ปากแห้ง มีปัสสาวะข้นเป็นสีเหลืองเข้ม กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผิวแห้ง อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น ให้ปรึกษาแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติต่างๆ ควรไปพบหมอเมื่อใด ถึงแม้ว่าจะพบได้ทั่วไป ภาวะขาดน้ำอาจเป็นอันตรายมากหากไม่ได้รับการรักษา ให้แจ้งแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ท้องเสียมากกว่า 2 วัน ปัสสาวะน้อยลง มึนงง อ่อนเพลีย สมาธิสั้น เป็นลม เจ็บหน้าอกหรือช่องท้อง หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำมักเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ สภาพอากาศ การออกกำลังกาย และอาหาร นอกจากนี้ ยังเกิดจากโรคที่ทำให้เกิดการขาดน้ำ เช่น ท้องร่วงเรื้อรัง อาเจียน และเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงภาวะขาดน้ำ ทารกและทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงมากกว่า ในการมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากน้ำหนักร่างกายน้อย ทำให้ร่างกายไวต่อการสูญเสียน้ำ แม้เพียงปริมาณเล็กน้อย ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากลืมดื่มน้ำ และไม่ได้ระลึกว่าจำเป็นต้องดื่มน้ำ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernia)

ไส้เลื่อนกระบังลม เป็นอาการที่กระเพาะอาหารส่วนบนเคลื่อนตัวผ่านกระบังลม กระบังลมเป็นผนังกล้ามเนื้อที่แยกกระเพาะอาหารออกจากหน้าอก เมื่อคุณเป็นไส้เลื่อนกระบังลม กรดจะไหลขึ้นมาด้านบนได้ง่ายขึ้น คำจำกัดความไส้เลื่อนกระบังลม คืออะไร ไส้เลื่อนกระบังลม (hiatal hernia) เป็นอาการที่กระเพาะอาหารส่วนบนเคลื่อนตัวผ่านกระบังลม กระบังลมเป็นผนังกล้ามเนื้อที่แยกกระเพาะอาหารออกจากหน้าอก กระบังลมช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลขึ้นมายังหลอดอาหาร เมื่อคุณเป็นไส้เลื่อนกระบังลม กรดจะไหลขึ้นมาด้านบนได้ง่ายขึ้น การรั่วของกรดจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร เรียกว่าโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) โรคนี้อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนในกระเพาะอาหารและลำคอได้ ไส้เลื่อนกระบังลมพบได้บ่อยเพียงใด ทุก ๆ คนในทุกกลุ่มอายุอาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้ อย่างไรก็ดี ไส้เลื่อนกระบังลมมักพบได้มากในผู้หญิง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี คุณสามารถลดโอกาสในการเกิดไส้เลื่อนกะบังลมได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของไส้เลื่อนกระบังลม ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่เมื่ออาการเกิดขึ้น มักมีอาการประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร อาการ ได้แก่ แสบร้อนกลางอก เจ็บหน้าอก เรอ และปัญหาเกี่ยวกับการกลืนซึ่งพบได้น้อย การก้มตัวหรือการนอนลงสามารถทำให้อาการแสบร้อนกลางอกแย่ลงได้ อาการแทรกซ้อนคืออาการเลือดออก ซึ่งเกิดจากอาการระคายเคืองที่หลอดอาหาร อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นไส้เลื่อนกระบังลม และมีอาการปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอกหรือช่องท้อง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ คุณอาจเป็นไส้เลื่อนกระบังลมแบบเลือดคั่งเหตุบีบรัด (Strangulated Hernia) หรือมีการอุดกั้น ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางร่างกาย ให้โทรแจ้งแพทย์ทันที ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของไส้เลื่อนกระบังลม โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุมักไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยปกติแล้ว […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน