สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้หรือไม่ อากาศร้อน อันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่เราคิด

อากาศร้อนกับประเทศไทยนั้นดูเหมือนจะเป็นของคู่กันไปเสียแล้ว เนื่องจากประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงทำให้มีอากาศร้อนอยู่เกือบตลอดทั้งปี จนทำให้หลายคนเกิดความเคยชิน และมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีอันตรายอะไร แต่ในความจริงแล้ว อากาศร้อน อาจมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมายอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่ปัญหาเหล่านี้มีอะไรบ้าง และสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร Hello คุณหมอ จะพาคุณไปหาคำตอบได้จากบทความนี้ [embed-health-tool-heart-rate] อากาศร้อน ภัยอันตรายที่หลายคนมองข้าม ตามปกติแล้ว ร่างกายของเราจะสามารถรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 36 – 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับปกติที่ร่างกายสามารถทนได้ แต่หากอยู่กลางแจ้งที่มีแดดร้อนเป็นเวลานาน อาจทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงมากเกินไป ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ยากลำบากขึ้น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือน มีนาคมถึงพฤษภาคม ตั้งแต่ปีพ.ศ 2558-2562 จะมีรายงานผู้เสียชีวิตเนื่องจากอากาศร้อนเป็นจำนวนมาก เฉลี่ยที่ประมาณ 38 ราย โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่มักจะมีอากาศร้อนมากที่สุด โดยอันตรายจากอากาศร้อนที่พบได้บ่อย มีดังนี้ โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) โรคลมแดดเป็นภาวะที่อันตรายที่สุดที่เกิดขึ้นจากอากาศร้อน โรคลมแดดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกายหยุดทำงาน ทำให้ร่างกายไม่สามารถลดอุณหภูมิลงได้ จนระบบและอวัยวะภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ โรคลมแดดนี้สามารถสร้างความเสียหายต่อสมองและอวัยวะภายใน หรือทำให้เสียชีวิตได้หากไม่สามารถลดอุณหภูมิของร่างกายได้อย่างทันท่วงที อาการของโรคลมแดดอาจมีดังต่อไปนี้ ปวดหัว คลื่นไส้ กระหายน้ำอย่างรุนแรง ง่วงนอน ผิวแห้ง แตก […]


ข่าวสารสุขภาพทั่วไป

WHO เลือกไทยและนิวซีแลนด์เป็นสถานที่ถ่ายทำ สารคดี Covid-19

เป็นระยะเวลากว่าครึ่งปีแล้วหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus) หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ที่เริ่มต้นการระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อปลายปี 2019 ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในวิกฤติการณ์อันเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก เนื่องจากการระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา มีผลทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วทั้งโลก โดยที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ สถานการณ์ การติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกในตอนนี้เป็นอย่างไร ปัจจุบันตัวเลขของผู้ติดเชื้อทั่วโลกสูงกว่า 16 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งสูงกว่า 6 แสนรายแล้ว ซึ่งจวบจนขณะนี้วิกฤติการระบาดของ โรคโควิด-19 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะเกิดความคลี่คลายลงแต่อย่างใด ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายของ โรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก ก็มีอยู่หลายประเทศที่มีการวางแผนรับมือกับการระบาดของ โรคโควิด-19ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทยและประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งมีการวางมาตรการที่อาศัยความร่วมมือจากรัฐบาล คณะแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และสำคัญที่สุดคือความร่วมมือจากประชาชนทุกคนภายในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลงและไม่เพิ่มจำนวนอีกเลยติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันแล้ว มาตรการป้องกันการระบาดของ โรคโควิด-19 ในไทย ในประเทศไทยเองมีการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการร่วมมือกันเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยสิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตนตามหลัก Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม และรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงหลักในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย  หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์หรือสิ่งของต่างๆ ร่วมกัน ล้างมือให้สะอาด องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนพิจารณาให้มีการทำงานที่บ้าน หรือ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะน้ำเกิน (Hypervolemia)

ภาวะน้ำเกิน หรือที่เรียกว่า “ภาวะบวมน้ำ” เป็นอาการของภาวะที่น้ำในร่างกายของคุณมากเกินไป แม้ในร่างกายปกติจะมีของเหลวอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ปริมาณของเหลวที่มากเกินไป ก็อาจทำลายสุขภาพของคุณได้เช่นกัน [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ ภาวะน้ำเกิน (Hypervolemia) คืออะไร ภาวะสารน้ำมากเกินไป หรือที่เรียกว่าของเหลวเกินพิกัด เป็นเงื่อนไขของการที่น้ำในร่างกายของคุณมากเกินไป ในขณะที่ร่างกายปกติจะมีของเหลวจำนวนหนึ่งอยู่ในนั้น แต่ของเหลวที่มากเกินไปอาจทำลายสุขภาพของคุณได้ ภาวะน้ำเกินไปเป็นภาวะอย่างหนึ่งของร่างกาย จะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีของเหลวในร่างกายมากเกินไป ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ร่างกายมีการกักเก็บน้ำมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ตัวบวม ความดันโลหิตสูง ปัญหาหัวใจ และอื่น ๆ ภาวะน้ำเกิน พบบ่อยเพียงใด ภาวะน้ำเกินพบได้ทั่วไปในคนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease หรือ CKD) และไตวาย เนื่องจากไตไม่สามารถกำจัดของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ซึ่งไม่เหมือนกับคนที่มีสุขภาพดี ทำให้มีของเหลวต่าง ๆ สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไปจากที่ร่างกายต้องการ อาการ อาการของ ภาวะน้ำเกิน อาการที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ำเกิน อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย เกิดความเครียดในร่างกาย ทั้งยังเป็นปัญหาต่ออวัยวะต่าง ๆ  ซึ่งอาการของภาวะน้ำเกิน มีดังนี้ น้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว อาการบวมที่เห็นได้ชัดเจนในแขน ขา เท้า ข้อเท้า ข้อมือ และใบหน้า อาการบวมในช่องท้อง ตะคริว ปวดศีรษะ ท้องอืด หายใจถี่ เกิดจากของเหลวส่วนเกินเข้าสู่ปอด […]


ข่าวสารสุขภาพทั่วไป

งานวิจัยใหม่ยืนยัน ดื่มน้ำอัดลม 2 แก้วต่อวัน เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ไวขึ้น!

ถึงแม้ว่าการ ดื่มน้ำอัดลม จะอาจเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายของคุณ แต่ถ้าหากบริโภคมากจนเกิดการเสพติดเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างละเว้นไม่ได้ ก็อาจทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะภายในคุณในอนาคตนั้นเสื่อมประสิทธิภาพลงได้ ซึ่งวันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลงานวิจัยที่ได้เผยให้เห็นถึงความเสี่ยงของการดื่มน้ำอัดลมมาฝากทุกคน ให้ได้ลองอ่านกันค่ะ ดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงต่อการชีวิต จริงหรือ? การศึกษาใหม่ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ JAMA Internal Medicine อธิบายไว้ว่า จากข้อมูลของทั้งเพศชาย และเพศหญิงรวม 451,143 คน ทั้ง 10 ประเทศในทวีปยุโรป มีผลออกมาถึงอัตราการเสี่ยงเสียชีวิตจากสาเหตุที่พวกเขาดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 ครั้งขึ้นไป อยู่สูง เนื่องจากแก๊ส และน้ำตาล หรือสารประกอบในน้ำอัดลมที่มีปริมาณมาก อาจทำให้พวกเขาประสบกับปัญหาของโรคต่าง ๆ ในช่องทางเดินอาหาร และระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ผู้ที่บริโภคน้ำอัดลมมากเกินกว่า 2 ครั้งต่อวัน อยู่ในเกณฑ์อายุช่วง 51 ปี ซึ่ง 71% พบว่าเป็นเพศหญิงเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็มิได้หมายความว่า ในเพศชายจะไม่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพในการดื่มน้ำอัดลมนี้ เพียงแค่ผู้หญิงมีตัวเลขค่าเฉลี่ยที่มากกว่าเท่านั้น การศึกษานี้ยังครอบคลุม และบ่งบอกไปถึงผลกระทบของการบริโภคน้ำอัดลมในทุกรูปแบบ ทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลธรรมชาติ และเครื่องดื่มที่ใส่สารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย เช่น เครื่องดื่มเพิ่มพลังงาน หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น โดยพบว่าปริมาณการดื่มเพียงแค่ 250 มิลลิลิตร […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เคล็ดลับ ดับร้อน ในช่วงอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าว

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงความร้อน ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอากาศที่ร้อนและอบอ้าวเสียเหลือเกิน อากาศร้อนนอกจากจะทำให้ร่างกายเสียเหงื่อมากแล้ว บางครั้งยังอาจทำให้คนเกิดอารมณ์หงุดหงิดได้อีกด้วย ดังนั้นทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำ เคล็ดลับ ดับร้อน ในช่วงอากาศที่แสนอบอ้าวมาฝากกัน เคล็ดลับ ดับร้อน สามารถทำอะไรได้บ้าง ในช่วงอากาศร้อน หลายบ้านอาจจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น การที่จะต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าวจึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทุกคน ดังนั้น ลองมาดูวิธี ดับร้อน กันดีกว่า ว่าคุณสามารถทำอะไรเพื่อดับร้อนได้บ้าง ใช้พัดลมหรือพัดลมเพดาน เพื่อทำให้อากาศในบ้านไหลเวียนได้ดีขึ้น การเปิดประตูในบ้านและเปิดพัดลมเพื่อดับลมร้อนภายนอก ทั้งยังดึงอากาศที่เย็นเข้ามาในบ้าน ในช่วงเย็น เมื่ออากาศเย็นลงการเปิดหน้าต่างภายในบ้านทั้งหมด จะเป็นการช่วยให้อากาศในบ้านไหลเวียนได้มากที่สุด หลังจากนั้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ก็ให้ปิดประตูและหน้าตาทุกบ้าน อย่าลืมปิดม่านและมู่ลี่ด้วย เพื่อรักษาความเย็นภายในบ้านให้นานที่สุด เมื่ออากาศภายนอกเย็นลงถึงอุณภูมิที่ต่ำกว่าภายใน ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงเย็นหรือกลางคืน ให้เปิดหน้าต่างแล้วเปิดพัดลมอีกครั้ง ใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นของน้ำ คุณอาจจะนำถังใส่น้ำแล้วแช่เท้าของคุณ หรือไม่เช่นนั้นอาจจะนำผ้าขนหนูชุดน้ำให้เปียกมาวางลงบนไหล่หรือศีรษะ ไม่อย่างนั้นก็พยายามอาบน้ำเย็น และลองใช้ขวดสเปรย์ที่เต็มไปด้วยน้ำเย็นฉีดใส่ตัวเองเพื่อเพิ่มความรู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำในปริมาณมาก หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากความร้อน ก็คือ การดื่มน้ำปริมาณมาก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากร่างกายคุณจำเป็นต้องเก็บน้ำเอาไว้ แม้ว่าจะไม่รู้สึกกระหาย และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ พยายามหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำร้อน หรือน้ำหวาน รวมถึงชาและกาแฟ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้การกักเก็บน้ำของร่างกายแย่ลง ลงมาอยู่ชั้นล่างของบ้าน เนื่องจากอากาศร้อนมักจะขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน จึงทำให้บ้านชั้นบนรู้สึกอบอ้าวกว่าชั้นล่าง ดังนั้น การลงมาอยู่ชั้นล่างของบ้าน หรือถ้าบ้านมีชั้นใต้ดิน ก็สามารถลงไปอยู่ได้ เพื่อหลบความร้อนจากตอนเที่ยง กำจัดแหล่งความร้อนพิเศษ ในความเป็นจริงแล้ว หลอดไฟ ก็สามารถสร้างความร้อนที่ไม่จำเป็นได้ เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แอลกอฮอลิซึม (Alcoholism) ภาวะติดสุราเรื้อรัง บำบัดได้ เริ่มง่ายๆ ที่ตัวคุณ

แอลกอฮอลิซึม (Alcoholism) หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นภาวะติดสุราเรื้อรัง โดยผู้ที่มีอาการนี้มักจะมีความอยากดื่มสุราเป็นอยากมาก และไม่สามารถลดหรืองดการดื่มได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการรักษาอาการติดสุราเรื้อรังที่ได้ผลดีที่สุดคือการบำบัดและการรักษาที่โรงพยาบาล การบำบัดการเลิกสุราด้วยวิธีทางธรรมชาตินั้นเป็นเพียงรูปแบบเสริมที่ช่วยให้การรักษาดีขึ้น วันนี้ Hello คุณหมอ จะชวนทุกคนไปรู้จักกับภาวะติดสุราเรื้อรังและวิธีการบำบัดอาการแบบธรรมชาติกันค่ะ [embed-health-tool-bmr] แอลกอฮอลิซึม (Alcoholism) คืออะไร แอลกอฮอล์ลิซึม (Alcoholism) หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นภาวะติดสุราเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการติดสุราเรื้อรังจะรู้สึกอยากดื่มสุรา จนมีปัญหาในการจำกัดปริมาณในการดื่มสุราได้ และไม่สามารถงดการดื่มสุราได้ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ โรคพิษสุราเรื้อรังเป็นโรคร้ายแรง ที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้มากมาย ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง วิธีที่ได้ผลที่สุดในการรักษาอาการติดสุราเรื้อรังคือการบำบัดและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่การบำบัดทางธรรมชาติและการบำบัดร่างกายและจิตใจก็สามารถเอาชนะอาการติดสุราเรื้อรังได้เช่นกัน สัญญาณที่บ่งบอกว่า ติดแอลกอฮอล์ สำหรับหลาย ๆ คนที่ดื่มแอลกอฮอล์มานาน และมีการดื่มเป็นประจำทุกวัน ไม่ได้หมายความว่าจะมีภาวะติดสุราเรื้อรัง แต่เพียงดื่มมากก็เท่านั้น สำหรับผู้ที่มีภาวะติดสุราเรื้อรังมักจะมีสัญญาณที่บ่งบอก ดังนี้ ไม่สามารถควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ได้ เกิดอาการดื้อสุรา (Alcohol tolerance) เป็นอาการที่ร่างกายทนต่อระดับแอลกอฮอล์ที่มากขึ้น เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน ผู้ดื่มก็จะมีความต้องการแอลกอฮอล์ในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้มีผลของแอลกอฮอล์เท่าที่ต้องการตามเดิม มีการถอนสุรา คือรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกเมื่อหยุดดื่มแอลกอฮอล์อย่างฉับพลันเมื่อดื่มมาเป็นระยะเวลานาน ดื่มแอลกอฮอล์มากจนไม่ทำกิจกรรมอื่น ๆ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มีอาการหน้ามืด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

นั่งพื้น เหมือนจะเมื่อย แต่กลับส่งผลดีต่อร่างกายในแบบที่คุณอาจไม่เคยรู้

ความชอบในการนั่งของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป บางคนอาจจะชอบนั่งเก้าอี้ โซฟา หรือ นั่งพื้น ซึ่งการนั่งพื้นนั้นถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับความยืดหยุ่น ทั้งยังช่วยส่งเสริมการรักษาความมั่นคงตามธรรมชาติของกล้ามเนื้อหลักอีกด้วย นอกจากนี้ การนั่งพื้น จะมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง ลองมาติดตามในบทความนี้ที่ Hello คุณหมอ นำมาฝากกัน ประโยชน์ของ การนั่งพื้น สำหรับประโยชน์ของ การนั่งพื้น ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ มีดังนี้ ส่งเสริมความมั่นคงตามธรรมชาติ การนั่งพื้นจะเป็นการบังคับให้แกนกลางของลำตัวเกิดความมั่นคง โดยปราศจากการสนับสนุนจากเก้าอี้ แรงตึงสะโพกน้อยลง การนั่งเก้าอี้เป็นเวลานานจะทำให้สะโพกของคุณแน่นและแข็ง แต่เมื่อคุณนั่งบนพื้นคุณจะสามารถยืด หรืองอสะโพกได้ง่ายขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่น ตำแหน่งที่นั่งนั้นจะช่วยให้คุณยืดกล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกายได้มากขึ้น ความคล่องตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่คุณยืดกล้ามเนื้อบางส่วนได้ ซึ่งส่งผลให้การเคลื่อนไหวของคุณดีขึ้น เพิ่มกิจกรรมของกล้ามเนื้อให้มากขึ้น ท่าบางอย่าง เช่น การนั่งคุกเข่า และการนั่งยองๆ เป็นท่าพักให้เพลิน (Active rest) ซึ่งเป็นท่านั่งที่จะต้องใช้กล้ามเนื้อมากกว่าการนั่งเก้าอีก นั่งพื้น พร้อมกินอาหารไปด้วย ดีต่อร่างกายอย่างไร นอกจากนั้นแล้วการนั่งพื้นพร้อมกินอาหารไปด้วย ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน ซึ่งประโยชน์ของการนั่งพื้นแล้วกินอาหารไปด้วยนั้น มีดังนี้ กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น เมื่อคุณนั่งพื้นแล้วกินอาหารในท่าสุขะสนะ (Sukhasana) หรือท่าแห่งความสุข หรือนั่งกินในท่าไขว้ขา ก็เหมือนกับการนั่งกินแล้วทำท่าโยคะไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งตำแหน่งโยคีนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ท่าสุขะสนะ (Sukhasana) หรือ ท่าแห่งความสุข นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่าเมื่อคนที่นั่งกินในตำแหน่งนี้ มันจะส่งสัญญาณไปยังสมองของคุณ เพื่อบอกให้ร่างกายเตรียมย่อยอาหาร เมื่อคุณนั่งในตำแหน่งนี้แล้วก้มตัวลงไปกินอาหาร แล้วยกตัวกลับมาที่ตำแหน่งเดิม เพื่อกลืนอาหาร การเคลื่อนไหวไปมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้จะเปิดใช้งานกล้ามเนื้อหน้าท้อง และการย่อยอาหารที่ดีขึ้น ปรับปรุงความยืดหยุ่น การนั่งพื้น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะรูม่านตาต่างขนาด (Anisocoria)

ภาวะรูม่านตาต่างขนาด (Anisocoria) คือ รูม่านตามีขนาดไม่เท่ากัน (วงกลมสีดำกลางดวงตา) ส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น มีไข้ ปวดศีรษะ เป็นต้น คำจำกัดความภาวะรูม่านตาต่างขนาด (Anisocoria) คืออะไร ภาวะรูม่านตาต่างขนาด (Anisocoria) คือ รูม่านตามีขนาดไม่เท่ากัน (วงกลมสีดำกลางดวงตา) ส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น มีไข้ ปวดศีรษะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นภาวะรูม่านตาต่างขนาดมาตั้งแต่กำเนิด หรือในผู้ป่วยบางคนอาจเป็นภาวะรูม่านตาต่างขนาดเพียงชั่วคราวเท่านั้นก็สามารถหายกลับมาเป็นปกติได้เอง พบได้บ่อยเพียงใด ภาวะรูม่านต่างขนาดอาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโดยกำเนิด หรือในบางรายอาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อดวงตา อาการอาการของภาวะรูม่านตาต่างขนาด ภาวะรูม่านตาต่างขนาดขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยหลายๆอย่าง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการ ดังต่อไปนี้ มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น ปวดศีรษะ ปวดตา ปวดคอ ไข้ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของภาวะรูม่านตาต่างขนาด สาเหตุของภาวะรูม่านตาต่างขนาดเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่างด้วยกัน ดังนี้ การได้รับบาดเจ็บโดยตรงกับดวงตา การถูกกระทบกระแทก มีเลือดออกในกะโหลกศีรษะ การอักเสบของเส้นประสาทตา เนื้องอกในสมอง อาการไขสันหลังอักเสบ การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยภาวะรูม่านตาต่างขนาด  ในเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติและสอบถามอาการผู้ป่วยเพื่อดูความผิดปกติของรูม่านตา รวมถึงวิธีการอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ตรวจตา การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง (complete blood count: CBC) การตรวจเลือด เจาะน้ำไขสันหลัง การตรวจเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan : CT SCAN) การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging : MRI) การเอกซเรย์ (X-Ray) การรักษาภาวะรูม่านตาต่างขนาด วิธีการรักษาภาวะรูม่านตาต่างขนาดขึ้นอยู่กับสาเหตุของแต่ละบุคคล เช่น หากเกิดจากการติดเชื้อแพทย์อาจสั่งยาหยอดตาหรือยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วย หากเกิดจากสาเหตุเนื้องอกในสมอง […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

บรรเทาอาการต่อมน้ำเหลืองบวมได้ง่าย ๆ ด้วย การนวดระบายน้ำเหลือง

ภาวะบวมน้ำเหลือง หมายถึงอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง เนื่องมาจากการอุดตันของท่อน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง ที่อาจจะเกิดขึ้นจากพันธุกรรม หรือบาดแผลผ่าตัด จนทำให้เกิดน้ำเหลืองสะสมใต้ผิวหนัง และทำให้ผิวหนา ตะปุ่มตะป่ำ ไม่น่าดู แต่รู้หรือไม่คะว่าเราสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ ด้วยการนวดระบายน้ำเหลือง วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาแนะนำเรื่อง การนวดระบายน้ำเหลือง อีกทางเลือกหนึ่งในการบรรเทาอาการบวมน้ำเหลือง [embed-health-tool-heart-rate] การนวดระบายน้ำเหลือง คืออะไร การนวดระบายน้ำเหลือง คือการนวดประเภทหนึ่ง ที่ช่วยทำให้น้ำเหลืองในร่างกาย สามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น และช่วยลดการคั่งค้างหรือสะสมของน้ำเหลืองตามจุดต่างๆ ได้ น้ำเหลืองที่ไหลเวียนในระบบน้ำเหลือง จะช่วยในการกำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ในต่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ท่อน้ำเหลืองจะเป็นตัวการในการลำเลียงให้น้ำเหลืองสามารถไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ในร่างกายได้ เพื่อนำของเสียและน้ำส่วนเกินจากเนื้อเยื่อมาผ่านการกรองที่ต่อมน้ำเหลือง ในบางครั้ง สภาวะบางอย่าง เช่น แผลจากการผ่าตัด และสภาวะอื่นๆ อาจทำให้เกิดการอุดตันในท่อน้ำเหลือง จนทำให้มีน้ำเหลืองสะสมอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง การนวดระบายน้ำเหลืองสามารถช่วยลดอาการบวมน้ำเหลือง และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเหลืองให้ดีขึ้นได้ โดยปกติแล้ว การนวดระบายน้ำเหลืองนั้นมักจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการรักษาที่เรียกว่า การบำบัดเพื่อรักษาอาการอุดตันของน้ำเหลือง (Decongestive lymphatic therapy ; DLT) ใครบ้างที่ต้องการการนวดระบายน้ำเหลือง การนวดระบายน้ำเหลือง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้ ภาวะบวมน้ำเหลือง โรคปวดกล้ามเนื้อไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) โรคบวมน้ำ (Edema) โรคผิวหนัง อาการเหนื่อยล้า นอนไม่หลับ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลิ้นแตกเป็นร่อง สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

ลิ้นแตกเป็นร่อง (Fissured Tongue)  คือ ภาวะที่เป็นพิษต่อลิ้นส่งผลให้ลิ้นมีลักษณะเป็นร่องแตกยาว โดยปกติลิ้นรอยแยกหลักจะเกิดขึ้นที่กลางลิ้น อย่างไรก็ตามอาการลิ้นแตกเป็นร่องไม่ใช่โรคติดต่อหรือส่งผลอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด [embed-health-tool-bmi] คำจำกัดความ ลิ้นแตกเป็นร่อง คืออะไร   ลิ้นแตก เป็นร่อง (Fissured Tongue)  คือ ภาวะที่เป็นพิษต่อลิ้นส่งผลให้ลิ้นมีลักษณะเป็นร่องแตกยาว โดยปกติลิ้นรอยแยกหลักจะเกิดขึ้นที่กลางลิ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจมีอาการลิ้นลายแผนที่ (Geographic Tongue) เกิดร่วมด้วย อย่างไรก็ตามอาการลิ้นแตกเป็นร่องไม่ใช่โรคติดต่อหรือส่งผลอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด พบได้บ่อยเพียงใด ผู้ป่วยลิ้นแตกเป็นร่องสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยโดยส่วนใหญ่มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยเฉพาะกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) และกลุ่มอาการเมลเคอร์สสัน-โรเซ็นทาล (Melkersson-Rosenthal) อาการ อาการของลิ้นแตกเป็นร่อง ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นรอยแตกที่ร่องที่ลิ้นได้อย่างชัดเจน ร่องลิ้นจะลึก โดยเฉพาะส่วนตรงกลางของลิ้นจะสังเกตได้ง่ายที่สุด  ลักษณะเป็นรอยแยก สีแดง หรือสีชมพู นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีลิ้นลายแผนที่เกิดร่วมด้วย และมีความลึกของร่องลิ้นไม่เกิน 6 มิลลิเมตร รอยแตกแต่ละรอยอาจเชื่อมกับรอยแตกอื่น ๆ โดยแยกรอยแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ หรือส่วนต่าง ๆ อาการลิ้นแตกเป็นร่อง อาจส่งผลให้ลิ้นผู้ป่วยบางรายไวต่อความรู้สึกเร็วเกินไป จนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ระคายเคืองได้ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุ สาเหตุของกลุ่ม อาการลิ้นแตกเป็นร่อง ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการลิ้นแตกเป็นร่อง โดยมีข้อสันนิษฐานว่าอาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรืออาจเกิดขึ้นครั้งแรกในวัยเด็ก รวมถึงสาเหตุอื่นๆ ดังนี้ การขาดสารอาหาร และขาดวิตามิน ภาวะที่มีอาการบวมที่ริมฝีปากและใบหน้า (Orofacial […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน