สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

การทดสอบทางการแพทย์

วิงเวียน (Dizzy)

วิงเวียน หรือหรือมึนศีรษะ คืออาการอย่างหนึ่ง ที่มักจะพบได้ในโรคต่างๆ วิงเวียน ใช้อธิบายถึงอาการที่ร่างกายรู้สึกไม่สมดุล มึนงง ส่วนใหญ่แล้ว อาการวิงเวียนนั้นจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง และมักจะหายไปได้เอง คำจำกัดความวิงเวียน คืออะไร วิงเวียน หรือหรือมึนศีรษะ คืออาการอย่างหนึ่ง ที่มักจะพบได้ในโรคต่างๆ วิงเวียนใช้อธิบายถึงอาการที่ร่างกายรู้สึกไม่สมดุล มึนงง อาการวิงเวียนนี้สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้อีก แม้ว่าจะรักษาไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้ว อาการวิงเวียนนั้นจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง และมักจะหายไปได้เอง   วิงเวียนพบได้บ่อยแค่ไหน อาการวิงเวียนสามารถพบได้บ่อย และสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย สามารถจัดการได้โดยการรักษาที่ต้นเหตุ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์ อาการอาการวิงเวียน อาการวิงเวียนศีรษะนั้นเป็นลักษณะของอาการ ไม่ใช่โรค นอกจากอาการวิงเวียนแล้ว ยังอาจมีอาการอื่นๆ ที่มักจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการวิงเวียน เช่น อาเจียน มึนศีรษะ หน้ามืด ร่างกายไม่สมดุล คลื่นไส้ รู้สึกเบาโหวง นอกจากนี้ หากคุณมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรรีบติดต่อแพทย์ในทันที ปวดหัวเฉียบพลัน หรือปวดหัวอย่างรุนแรง หมดสติ เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ อ่อนแรง หรือมีอาการชา หายใจติดขัด ไข้สูง มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ ชัก อาเจียน สาเหตุสาเหตุของการวิงเวียน อาการวิงเวียนสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุรวมถึงภาวะต่อไปนี้ หูชั้นในมีปัญหา การเมารถ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาต้านซึมเศร้า ยานอนหลับ และยาคลายกังวลต่างๆ การไหลเวียนเลือดไม่ดี ความดันโลหิตต่ำ หัวใจวาย การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ ไมเกรน น้ำในหูไม่เท่ากัน โรควิตกกังวล ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะโลหิตจาง อากาศร้อนเกินไป ภาวะขาดน้ำ ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของอาการวิงเวียน ปัจจัยเสี่ยงของการวิงเวียนมีหลายปัจจัยได้แก่ อายุ ผู้สูงอายุมักจะมีโอกาสที่จะเกิดอาการวิงเวียนได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการรู้สึกไม่สมดุล เนื่องจากผู้สูงอายุนั้นมักจะมีโอกาสที่จะใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการวิงเวียน อาการวิงเวียนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หากคุณเคยมีอาการวิงเวียนในอดีตมาก่อน คุณก็อาจจะมีโอกาสที่จะวิงเวียนได้ในอนาคต การวินิจฉัยและการรักษาโรคข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยอาการวิงเวียน ตรวจร่างกาย เอ็มอาร์ไอ หรือซีทีแสกน สำหรับกรณีของผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ตรวจสอบความสามารถในการทรงตัวขณะเดิน ตรวจการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ตรวจสอบความสามารถในการได้ยินและการทรงตัว ตรวจการเคลื่อนไหวจองลูกตาและศีรษะ การรักษาอาการวิงเวียน โดยทั่วไปอาการวิงเวียนจะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรักษา แต่หากจำเป็นต้องรักษาก็จะรักษาตามสาเหตุและอาการ โดยการใช้ยา และการออกกำลังกาย ยาที่อาจจะใช้มีดังต่อไปนี้ ยาลดอาการวิงเวียน เช่น ยาต้านฮีสตามีน ยาต้านโคลิเนอร์จิก ยาต้านอาการคลื่นไส้ ยาลดความวิตกกังวล […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แก้มแดง (Rosy cheeks) เพราะอาย หรือ ร่างกายกำลังบอกโรค

หลายคนคงเคยได้ยินว่า การที่มีเลือดฝาดบนใบหน้า ซึ่งส่งผลทำให้แก้มแดงนั้น บ่งบอกถึงการมีสุขภาพที่ดี แต่ความจริงแล้วอาการ แก้มแดง ที่เกิดขึ้น ยังสามารถบ่งบอกอาการของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างายได้อีกด้วย ซึ่งทาง Hello คุณหมอ มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน [embed-health-tool-bmi] อาการ แก้มแดง เกิดขึ้นจากอะไร? แก้มแดงเป็นสีกุหลาบ เกิดจากหลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เลือดไหลผ่านใบหน้ามากขึ้น ซึ่งอาการแก้มแดงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น เนื่องจากร่างกายพยายามทำให้ผิวอุ่นขึ้น อาการแก้มแดงยังเกิดได้จากความร้อนที่สูงเกินไปหลังจากที่ออกกำลังกาย แก้มแดงจากการดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน  แก้มแดงจากความระส่ำระส่ายหรือเกิดความลำบากใจ ซึ่งบางคนสามารรถแก้มแดงได้ง่ายกว่าคนอื่น บางครั้งอาการแก้มแดงที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการป่วนก็เป็นได้ แก้มแดงสามารถบ่งบอกเรื่องสุขภาพได้จริงหรือ? แม้แก้มแดงจะหมายถึงผู้ที่มีสุขภาพดี แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะบางครั้งอาการแก้มแดงที่เกิดขึ้นก็กำลังบ่งบอกโรคที่เกิดขึ้นต่างๆ ดังนี้ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย ส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันมากกว่า 161 ล้านคน ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าพวกเขากำลังเป็นโรคนี้ เนื่องจากอาการของมันดูเมือนหน้าแดงปกติ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชียนั้นเกิดขึ้นจากหลอดเลือดในใบหน้าขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เลือดไหลผ่านแก้มได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังอาจมีอาการเหล่านี้ประกอบด้วย มองเห็นหลอดเลือด ตุ่มที่เต็มไปด้วยหนองที่มีลักษณะเหมือนสิว เปลือกตาบวมแดง จมูกโป่ง ผิวอบอุ่น สิว สิวเป็นสภาพผิวที่พบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รูขุมขนบนผิวหนังอุดตัน และอาจทำให้เกิดรอยแดง ซึ่งอาจรวมถึงบริเวณใบหน้า โดยปกติแล้วสิวมักเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันดักจับแบคทีเรีย และเกิดการติดเชื้อภายใต้ผิวหนัง เมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็จะส่งผลทำให้ผิวหนังดูแดงและบวม ปฏิกิริยาต่ออาหาร อาการเผ็ดสามารถทำให้ผิวหน้าเป็นสีแดงได้ สารประกอบในอาหารเหล่านี้สามารถกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้หลอดเลือดในผิวหนังขยายตัวตามความร้อน ซึ่งปฏิกิริยาเดียวกันนี้ยังสามารถทำให้เหงื่อออกได้ด้วย ยา ยาเฉพาะทางสามารถกระตุ้นอาการแดงบนใบหน้าได้ อาการนี้มักเกิดจากฮีสตามีนซึ่งเป็นสารเคมีที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายปล่อยออกมาเมื่อทำปฏิกิริยากับยา โดยยาบางชนิดอาการให้เกิดอาการหน้าแดง ยกตัวอย่างเช่น ยาระงับปวด เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไฟฟ้าสถิต โดนอะไรก็ช็อตจนสะดุ้งโหยง เป็นเพราะอะไร แก้ยังไงดีนะ

หลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์จับลูกบิดประตู เปิดประตูรถ เปิดก๊อกน้ำ แขนชนกับแขนเพื่อน แล้วโดนช็อตแปลบจนสะดุ้งโหยง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว หรือช่วงที่อากาศแห้งมากๆ ก็ยิ่งโดนช็อตจนรำคาญ จะหยิบจับอะไรทีก็ระแวงไปหมด อาการช็อตที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ไฟฟ้าสถิต แต่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะป้องกันยังไงได้บ้าง วันนี้  Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้ว [embed-health-tool-bmr] อะตอม… ตัวการทำให้เกิด ไฟฟ้าสถิต อะตอม (Atom) เป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดของสสาร ประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิด ได้แก่ โปรตอน (Protons) มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก อิเล็กตรอน (Electron) มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ นิวตรอน (Neutron) ไม่มีประจุไฟฟ้า โดยปกติแล้ว เมื่ออะตอมเป็นอิสระจะมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากัน และมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า โปรตอนและนิวตรอนจะอยู่รวมกับเป็นแกนกลางที่เรียกว่านิวเคลียส (Nucleus) และมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบ ๆ แต่หากจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนไม่สมดุลกัน นั่นเท่ากับประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบภายในหรือบนพื้นผิววัสดุไม่เท่ากัน ก็จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตได้ ทำไมบางคนถึงไม่มีปัญหา ไฟฟ้าสถิต บางคนอาจมีแนวโน้มเกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตได้มากกว่าคนอื่น โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดแรงดันไฟฟ้าสถิตประมาณ 2,000-4,000 โวลต์ ซึ่งอาจเป็นผลจากสาเหตุเหล่านี้ มีความสามารถในการกักเก็บไฟฟ้าสถิตได้มากกว่าคนอื่น ขึ้นอยู่กับขนาดตัว ขนาดเท้า และความหนาของพื้นรองเท้า ยิ่งตัวใหญ่ เท้าใหญ่ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ระวัง อย่าให้ หมาเลีย หน้า เพราะน้ำลายหมาอันตรายกว่าที่คิด

คนที่รักสัตว์มักจะชอบแสดงความรักด้วยการกอดจูบกับสัตว์เลี้ยง หรือปล่อยให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้เลียหน้าเลียตาด้วยความรักใคร่ แต่รู้หรือไม่ว่า การที่ หมาเลีย หน้า อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด [embed-health-tool-bmi] หมาเลีย เป็นอันตรายจริงเหรอ เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในน้ำลายของสุนัขนั้น จะเต็มไปด้วยเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ มากมาย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ก็สามารถถ่ายทอดมาสู่คนได้ หากคุณปล่อยให้สุนัขเลียตัวคุณ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงในกรณีของคนรักสุนัขที่ใช้ช้อนเดียวกันป้อนไอศกรีมให้สุนัข ว่าอาจจะก่อนให้เกิดโรคจากน้ำลายสุนัขได้ สุนัขนั้นเป็นสัตว์ที่มักจะคลุกคลีอยู่กับดิน ทั้งยังมีสัญชาตญาณชอบในการเลีย ไม่ว่าจะเป็นเลียตัวเอง เลียสุนัขตัวอื่น หรือเลียสำรวจสิ่งของต่างๆ ส่งผลให้ภายในน้ำลายของสุนัข เต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ มากมายเข้าไปปะปนในน้ำลาย เมื่อสุนัขมากัดคุณ เลียคุณ หรือหากคุณใช้ช้อนร่วมกันกับสุนัข เชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำลายก็จะสามารถถ่ายทอดมาสู่ตัวคุณได้ โรคจากน้ำลายสุนัขที่อาจเกิดขึ้นกับคน มีดังต่อไปนี้ การติดเชื้อพาสเทอเรลลา แคนิส (Pasteurella canis) เชื้อนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยออกซิเจน เชื้อแบคทีเรียประเภทนี้มักจะอาศัยอยู่ภายในปากและทางเดินหายใจส่วนบนของสุนัข หากเราถูกสุนัขกัด หรือหากสุนัขมาเลียแผลของเรา อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายได้ และทำให้เกิดการติดเชื้อที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และอาจเกิดโรคปอดบวมได้ การติดเชื้อแคปโนไซโตฟากา (Capnocytophaga) เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถพบได้ทั่วไปในน้ำลายของสุนัข แม้ว่าโดยปกติแล้วเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะไม่เป็นอันตรายอะไร แต่การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที เพราะเชื้อนี้อาจจะเข้าไปในกระแสเลือด และกระจายเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองและลิ้นหัวใจได้ โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) การติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง และมีโอกาสเสียชีวิตมากจนเกือบถึง 100% หากไม่ได้รับวัคซีนก่อนที่จะเริ่มมีอาการใดๆ โรคพิษสุนัขบ้านั้นมักจะติดได้จากการถูกสุนัขกัด แต่ก็มีส่วนน้อยที่อาจจะได้รับเชื้อจากการถูกสุนัขเลีย เชื้อโรคที่มาจากน้ำลายสุนัขเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อเด็กเล็ก เด็กทารก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำหนักสมอง ของคนเราหนักเท่าไหร่? มันคือก้อนไขมันจริงหรือ?

น้ำหนักตัวของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักของมวลต่าง ๆ ภายในร่างกาย ทั้งมวลกล้ามเนื้อ และมวลของไขมัน แต่เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ศีรษะของเราที่ภายในมีสิ่งที่เราเรียกว่าสมองนั้น มีน้ำหนักเท่าไหร่ น้ำหนักสมอง จะหนักเท่ากับน้ำหนักตัวหรือไม่ มาหาคำตอบได้จากบทความนี้ของ Hello คุณหมอ กันเลย ในสมองของคนเรามีอะไรบ้าง สมอง ศูนย์กลางการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดอีกระบบหนึ่ง เป็นองค์ประกอบที่คอยดูแลและกำกับการทำงานของส่วนต่าง ๆ ทั้งการเคลื่อนไหว การหายใจ แม้แต่การเคี้ยวอาหารก็ยังเป็นระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลจากสมองเช่นกัน แต่เราเคยสงสัยไหมว่า สิ่งที่เรียกว่าสมองของเรานั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็น3ส่วน ดังนี้ สมองส่วนหน้า สมองส่วนหน้าประกอบไปด้วย ซิรีบรัม ( cerebrum ) เป็นสมองส่วนที่อยู่หน้าสุด มีขนาดใหญ่มากที่สุด ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เชื่อมโยงเกี่ยวกับสติปัญญา และทำหน้าที่ในการควบคุมระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงควบคุมในส่วนของระบบรับความรู้สึกด้วย ออลแฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) เป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกลิ่น หรือการดมกลิ่น ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) เป็นสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ระบบความดันเลือด ระบบการเต้นของหัวใจ รวมถึงระบบความต้องการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ความต้องการทางเพศ ทาลามัส (thalamus) เป็นส่วนสมองที่ดูแลเกี่ยวกับกระแสประสาทต่าง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ท่านั่งอึ แค่นั่งให้ถูก ก็ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

อาการ อึ ไม่ออก ถ่ายยาก เบ่งเท่าไหร่ก็ยังไม่ออก อาจมีสาเหตุมาจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้ลำไส้ไม่สามารถที่จะลำเลียงของเสียออกมาได้สะดวก แล้วท่านั่งแบบไหนถึงเรียกว่าถูกต้อง? มาหาคำตอบกับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ ว่า ท่านั่งอึ ท่าใดที่ช่วยให้คุณอึง่ายขึ้น ท่านั่งอึ กับการขับถ่าย ท่านั่งสำหรับการขับถ่ายนั้น ไม่มีท่านั่งที่ถูกหรือผิดแบบ 100 เปอร์เซนต์ เพราะทุกคนไม่สามารถทำท่าทางแบบเดียวกันสำหรับการขับถ่ายได้ อาทิ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ที่ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมถึงเด็กที่ยังเล็ก แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเวลาขับถ่ายแล้วอึไม่ออก อึยาก เบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออกสักที หรือผู้ที่มีอาการท้องผูก การเปลี่ยนท่าทางในการนั่งชักโครก หรือนั่งในท่าที่ถูกต้อง มีผลต่อการทำงานของลำไส้ และมีส่วนช่วยให้สามารถที่จะเบ่งอึออกมาได้ง่ายขึ้นเช่นกัน เวลา นั่งอึ ต้องนั่งท่าไหนถึงจะดี โดยปกติแล้ว ท่านั่งสำหรับการขับถ่ายนั้นต้องเป็นไปตามลักษณะโครงสร้างของชักโครก หรือโถส้วม เช่นเดียวกันกับเวลาที่เราต้องนั่ง อาจจะเป็นการนั่งกับเก้าอี้ นั่งกับพื้น นั่งรถจักรยานยนต์ ท่านั่งย่อมต้องเปลี่ยนไปตามลักษณะของสิ่งที่เราจะนั่ง ท่านั่งอึก็เช่นเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ท่านั่งอึที่ถูกต้องสำหรับการขับถ่าย ควรเป็นท่านั่งที่ทำมุม 35 องศา หรือเป็นการนั่งในลักษณะของการนั่งยอง ๆ ให้เข่าอยู่เหนือสะโพก การนั่งในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นการช่วยให้ลำไส้ตรงเปิดมากขึ้น ในขณะที่ท่านั่งชักโครกตามปกตินั้น จะเป็นท่านั่งที่เป็นมุมฉาก ซึ่งทำให้ลำไส้ตรงพับและเปิดน้อยกว่าการนั่งแบบยอง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ใครว่า วิดีโอเกม ส่งผลเสียต่อสมอง อย่างเดียว

วิดีโอเกม เป็นรูปแบบความบันเทิงยอดนิยม ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เชื่อว่าหลายๆ คนมีความชอบในการเล่นวิดีโอเกมกันอย่างแน่นอน แต่ส่วนใหญ่แล้ววิดีโอเกมมักจะถูกมองว่าเป็นตัวการที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากวัย วันนี้ Hello คุณหมอ มีอีกมุมหนึ่งของวิดีโอเกมมานำเสนอให้ทุกคนอ่านกัน มาดูกันว่า วิดีโอเกม ส่งผลต่อสมองอย่างไรบ้าง วิดีโอเกม กับการเปลี่ยนแปลงของสมอง จากการศึกษาวิจัย พบว่าสมองและวิดีโอเกมมีความเชื่อมโยงบางอย่างและการเล่นวิดีโอเกมยังมีส่วนช่วยปรับปรุงความสามารถในการตัดสินใจและความรู้ความข้าใจ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากโครงสร้างสมองของผู้ที่เล่นเกมเป็นประจำกับผู้ที่ไม่ค่อยได้เล่นเกม ซึ่งการเล่นวิดีโอเกมช่วยเพิ่มพื้นที่สมองที่ต้องใช้ทักษะในการควบคุมเรื่องต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความทรงจำ และมีความสามารถในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และนั้นอาจหมายความว่า  วิดีโอเกมอาจมีบทบาทในการบำบัดรักษาความผิดปกติของสมองและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกิดจากการบาดเจ็บของสมอง ประโยชน์ของ วิดีโอเกม ต่อสมอง วิดีโอเกมเพิ่มปริมาณสมอง จากการศึกษาของสถาบัน Max Planck เพื่อการพัฒนามนุษย์และการแพทย์มหาวิทยาลัย Charité St. Hedwig-Krankenhaus ได้เปิดเผยว่า การเล่นเกมกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ เช่น Super Mario 64 สามารถเพิ่มสมองเนื้อสีเทา (Gray matter) ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสมองที่รู้จักกันในชื่อ เปลือกสมอง (cerebral cortex) ซึ่งการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนสมองนี้ การเพิ่มขึ้นของสมองเนื้อสีเทา ที่เกิดขึ้นที่สมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ด้านขวาของผู้ที่เล่นวิดีโอเกมจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการจัดระเบียบและสร้างความทรงจำระยะยาว นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับอารมณ์และความรู้สึก กลิ่นและเสียงเข้ากับความทรงจำอีกด้วย เปลือกสมองส่วนหน้ามีส่วนร่วมในการทำงาน รวมถึงการตัดสินใจการแก้ปัญหา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เมื่อหัวหอมทำให้เราเสียน้ำตา ทำไม หั่นหอม แล้วร้องไห้

หากใครที่เข้าครัวอยู่เป็นประจำ ต้องเคยมีประสบการณ์ในการ หั่นหอม แล้วร้องไห้ อย่างแน่นอน เห็นเจ้าหัวหอม หัวจิ๋ว ๆ แบบนี้ แต่ก็ทำใครต่อใครเสียน้ำตามานักต่อนักแล้ว วันนี้ Hello คุณหมอ จะชวนทุกคนไปหาคำตอบกันว่า ทำไมเวลาเราหั่นหัวหอมจึงน้ำตาไหล พร้อมมีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้น้ำตาไม่ไหลเวลาหั่นหัวหอมมาฝากด้วย ไปดูกันเลย ทำไม หั่นหอม แล้วร้องไห้ พืชและสัตว์ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่างก็ต้องการที่จะหาทางในการอยู่รอดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ทีมีพิษเพื่อต่อสู้ป้องกันตัวเอง การอำพรางตัวเองของพืช หัวหอมก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันสัตว์นักล่าที่จะเข้ามากินหัวหอม หัวหอมจึงปล่อยสารระเหยที่ทำให้ดวงตาระคายเคือง ดังนั้นเมื่อเราเราหั่นหัวหอม หัวหอมจึงปล่อยสารระเหยที่ระคายเคืองต่อดวงตาออกมา ทำให้เราน้ำตาไหล เมื่อสารระเหยนั้นสัมผัสเข้ากับดวงตาหรือกระจกตา เส้นประสาทที่อยู่บริเวณปลายประสาทจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่ามีอาการระคายเคืองเกิดขึ้น จากนั้นสมองก็จะส่งสัญญาณไปยังต่อมน้ำตา เราจึงน้ำตาไหลในที่สุด  ประโยชน์ของหัวหอม ต่อสุขภาพ แม้ว่าการหั่นหัวหอมจะทำให้เราร้องไห้ น้ำตาไหล แต่หัวหอมก็ยังคงเป็นพืชที่ใครหลาย ๆ คนชอบรับประทาน เพราะหัวหอมนั้นนอกจากจะหวานอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย หัวหอมเป็นพืชตระกูล Allium ซึ่งเป็นตระกูลของพืชดอก เช่น กระเทียม หอมแดง ซึ่งผักเหล่านี้มีวิตามิน แร่ธาตุและสารประกอบทางเคมีในพืชหลายชนิดที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ จริง ๆ แล้ว หัวหอมนั้นมีสรรพคุณทางยาที่ในสมัยโบราณมักถูกนำมาใช้ในการรักษาโรค เช่น […]


อาการของโรค

โรคแอดดิสัน (Addison’s Disease)

โรคแอดดิสัน(Addison’s disease) หรือเรียกอีกอย่างว่า ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนบางชนิดได้ คำจำกัดความโรคแอดดิสัน คืออะไร โรคแอดดิสัน (Addison’s disease) หรือเรียกอีกอย่างว่า ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง (adrenal insufficiency) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนบางชนิดได้มากเพียงพอ ต่อมหมวกไตจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) หรือฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (aldosterone) ออกมาน้อยจนเกินไป โรคแอดดิสันพบบ่อยแค่ไหน โรคแอดดิสันสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้มากที่สุดในช่วงอายุ 30 ถึง 50 ปี และพบได้มากกว่าในผู้หญิง โรคนี้เป็นสภาวะที่หายาก และมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ใน 100,000 คนเท่านั้น อาการอาการของโรคแอดดิสัน อาการของโรคแอดดิสันนั้นจะค่อนข้างเกิดช้า โดยใช้เวลานานกว่าหลายเดือน หลายคนมักจะละเลยอาการของโรคแอดดิสันจนกระทั่งเกิดอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บ แล้วทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น สัญญาณและอาการของโรคอาจมีดังนี้ เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง น้ำหนักลด และเบื่ออาหาร ผิวสีคล้ำขึ้น ความดันโลหิตต่ำ อยากกินอาหารรสเค็ม น้ำตาลในเลือดต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ผมร่วง สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด คุณควรไปพบคุณหมอหากพบสัญญาณและอาการของโรคแอดดิสันดังต่อไปนี้ สีผิวคล้ำขึ้น เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หน้ามืด วิงเวียน อยากกินอาหารเค็มๆ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของโรคแอดดิสัน โรคแอดดิสันเกิดจากการที่ต่อมหมวกไตเกิดความเสียหาย ทำให้ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน  ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยอาจมีสาเหตุดังต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคแอดดิสันอาจจะเกิดขึ้นหากระบบภูมิคุ้มกันของคุณ โจมตีต่อมหมวกไต และทำให้ต่อมหมวกไตเสียหายอย่างรุนแรง กรรมพันธุ์ บางคนอาจจะมียีนบางตัวที่ทำให้มีโอกาสเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้มากกว่าปกติ หากคนในครอบครัวของคุณมีผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ก็อาจทำให้คุณมีโอกาสเกิดโรคแอดดิสันมากขึ้นด้วยเช่นกัน ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรคแอดดิสัน คุณอาจจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแอดดิสันได้มากกว่าผู้ป่วยถ้าหาก หากคุณเป็นโรคมะเร็ง หากคุณใช้ยาเจือจางเลือด หากคุณมีการติดเชื้อเรื้อรัง เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมคนเราถึง ขี้ลืม จำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคอัลไซเมอร์

เวลาคนรอบข้างมีอาการขี้หลงขี้ลืม จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือความจำไม่ค่อยจะดี เราก็มักจะพูดเล่นกันว่า “ขี้ลืมแบบนี้ เป็นอัลไซเมอร์แหงๆ” หรือ “แก่แล้วอะดิ ถึงได้ขี้ลืมแบบนี้” เพราะคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า อาการขี้ลืมต้องเกิดจากโรคอัลไซเมอร์ ไม่ก็เป็นเพราะอายุมาก แต่ความจริงแล้ว อาการขี้ลืมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และไม่จำเป็นต้องมาจากอัลไซเมอร์เสมอไป แล้วอาการ ขี้ลืม จะเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง เราจะเพิ่มความจำของเราได้ไหม Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้ว หลงลืมง่าย ไม่จำเป็นต้องเกิดจากอัลไซเมอร์ คนเรามักคิดว่าอาการหลงลืมง่าย จำอะไรไม่ค่อยได้ จะต้องเกิดจากภาวะสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ แต่ความจริง อาการขี้ลืม สูญเสียความทรงจำ สามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกมากมาย เช่น การสูงวัย เมื่อเราอายุมากขึ้น จนเข้าสู่วัยชรา กระบวนการรู้คิดของเราก็จะค่อยๆ ช้าลง และความสามารถในการจดจำเริ่มบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงดี สามารถจำข้อมูลต่างๆ ได้อยู่ ก็อาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือช่วงวัยรุ่นไม่ค่อยได้ ความเครียด ความเครียดนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังทำลายสมองด้วย ความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ หรือความเครียดฉับพลันสามารถกระตุ้นให้เกิดปัญหาสูญเสียความทรงจำชั่วขณะ แต่หากคุณเครียดสะสม ก็อาจนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่า อย่างภาวะสมองเสื่อมได้ โรคซึมเศร้า ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า มักมีอาการวิตกกังวล ไม่สนใจสิ่งรอบตัว และไม่มีสมาธิจะจดจำสิ่งต่างๆ ทำให้สมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ สมาธิ และการรับรู้บกพร่องขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนขี้ลืม จำอะไรไม่ได้ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน