สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้ไหม? ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ยิ่งเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรค อาหารเป็นพิษ

เรารู้กันมาว่า ก่อนนำวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ มาประกอบอาหาร ก็ต้องล้างทำความสะอาดให้ดีก่อน เพื่อทำลายเชื้อโรคและสารเคมี ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อสัตว์ ก็ยิ่งต้องล้างเมือกและเลือดให้เกลี้ยง แต่ความจริงแล้ว การล้างทำความสะอาดวัตถุดิบบางอย่างก่อนนำมาทำอาหาร เช่น เนื้อไก่สด ก็อาจไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรคอย่างที่เราคิด แต่กลับยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย และทำให้คุณเสี่ยงโรคมากกว่าเดิม ลองอ่านบทความนี้ของ Hello คุณหมอ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม คุณถึงไม่ควร ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ทำไมเราถึงไม่ควร ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า การล้างไก่สดก่อนทำอาหาร เพิ่มความเสี่ยงอาหารเป็นพิษ เป็นไข้ ท้องเสีย เนื่องจากเนื้อไก่มักปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียอันตราย เช่น ซาลโมเนลลา (Salmonella) แคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ (Clostridium perfringens) และการล้างเนื้อไก่ก่อนนำไปทำอาหาร ก็ไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้ แต่กลับยิ่งเพิ่มความเสียงให้เชื้อโรคแพร่กระจายและปนเปื้อนไปทั่วห้องครัว จากผลงานศึกษาวิจัยของหน่วยบริการด้านความปลอดภัยและตรวจสอบคุณภาพอาหาร (Food Safety Inspection Service) สังกัดกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบริจาคพลาสมา กับข้อดี ข้อเสีย ที่คุณควรรู้

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับการบริจาคเลือด และรู้จักเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือดกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำว่า “พลาสมา” และ “การบริจาคพลาสมา” กันเท่าไหร่นัก พลาสมา (Plasma) คือ ส่วนประกอบหลักของเลือด ลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส ประกอบไปด้วยน้ำ เกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฮอร์โมน ก๊าซ แอนติบอดีที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรค รวมถึงโปรตีนอัลบูมิน และไฟบริโนเจนซึ่งจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก พลาสมามีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น รักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ช่วยลำเลียงแร่ธาตุ สารอาหาร (เช่น โปรตีน) และฮอร์โมนไปสู่เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งรวมถึงฮอร์โมนที่ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อเจริญเติบโตแข็งแรง และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่จะช่วยให้เลือดหยุดไหลเวลาเลือดออกด้วย [embed-health-tool-heart-rate] ความจำเป็นในการบริจาคพลาสมา ในปัจจุบัน แพทย์จำเป็นต้องใช้พลาสมาในการรักษาพยาบาลสภาวะโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคมะเร็งบางชนิด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว) การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคฮีโมฟีเลียหรือโรคเลือดไหลไม่หยุด โรคระบบทางเดินหายใจ การให้เลือด การสมานแผล เป็นต้น การบริจาคพลามา จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นไม่แพ้การบริจาคโลหิต เพราะสามารถช่วยให้แพทย์เก็บสะสมพลาสมาไว้ใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ การบริจาคพลาสมา ปลอดภัยไหม การบริจาคพลาสมา ถือเป็นกระบวนการที่ปลอดภัย อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ส่วนผลข้างเคียงรุนแรงถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากมาก พลาสมาเป็นส่วนประกอบในเลือด เมื่อเรายินยอมบริจาคพลาสมา เจ้าหน้าที่จะเจาะเก็บเลือดจากเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อพับแขน เช่นเดียวกับการบริจาคโลหิต […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

นกพิราบ ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด! แต่เป็นพาหะนำโรค ที่คุณควรหนีให้ไกล

นกพิราบมีให้เห็นแทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบนเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน ตามฟุตบาทริมถนนหนทาง ยิ่งบริเวณลานกว้างในสวนสาธารณะ ยิ่งเป็นแหล่งชุมนุมของนกพิราบฝูงใหญ่ และภาพคนเอาอาหารไปโปรยให้นกพิราบ เด็กๆ วิ่งไล่นกพิราบจนแตกฮือ บินว่อนไปทั่วฟ้า หรือคนโพสท่าถ่ายรูปโดยมีฝูงนกพิราบเป็นฉากหลัง ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นกันจนชินตา แต่คุณรู้ไหมว่า ภาพสวย ๆ ที่ได้มานั้น อาจแลกด้วยการติดเชื้อโรคจากนกพิราบ โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว เพราะความจริงแล้ว นกพิราบ คือพาหะนำโรคตัวร้าย ที่ Hello คุณหมอ แนะนำให้คุณควรหนีให้ห่าง เห็นที่ไหน อย่าเฉียดไปใกล้เป็นดีที่สุด นกพิราบ… ตัวแพร่เชื้อโรค สัตว์ปีกอย่างนกพิราบ ถือเป็นพาหะนำโรคชั้นดี พวกมันบินไปทั่วพร้อมหอบเอาปริสิตและเชื้อโรคติดต่อมากมายไปแพร่กระจายยังที่ต่างๆ นกพิราบสามารถแพร่เชื้อโรคได้ผ่านทางแหล่งน้ำและอาหาร และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ มูลของนกพิราบ หรือเรียกง่ายๆ ว่าขี้นกพิราบ ที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยสนใจทำความสะอาด ปล่อยให้แห้งคาที่อยู่อย่างนั้น คิดว่าแค่เดินเลี่ยงก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ความจริง เมื่อขี้นกพิราบแห้งกลายเป็นผงลอยฟุ้งไปในอากาศ แล้วเราหายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนขี้นกพิราบเข้าไป ก็อาจทำให้เราติดเชื้อและป่วยได้เช่นกัน เชื้อโรคที่สามารถแพร่จากนกพิราบมาสู่คนได้ เช่น เชื้ออีโคไล (E. coli) เมื่อเราบริโภคน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนขี้นกพิราบ ก็อาจได้รับเชื้อแบคทีเรียอีโคไล และเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน มีไข้ ปวดท้องรุนแรงได้ เชื้อราฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis) เชื้อราที่เจริญเติบโตในขี้นก หากสูดดมเข้าไปจะทำให้เป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส ซึ่งเป็นโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แบคทีเรียซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ หนอง เป็นหนองแล้วจะอันตรายจริงไหม

เมื่อเกิดบาดแผล เราอาจจะสังเกตเห็นน้ำหนองสีเหลืองๆ ดูน่ากลัว ไหลออกมาจากแผลนั้น หลายคนที่เห็นว่าบาดแผลของตัวเองมี หนอง ก็อาจจะรู้สึกตกใจกลัว และกังวลใจว่าจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า บทความนี้จะมานำเสนอข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ หนอง ว่าคืออะไร และเป็นอันตรายจริงเหรอ [embed-health-tool-bmi] หนอง คืออะไร หนอง (Pus หรือชื่อทางการแพทย์คือ purulent exudate) หมายถึงของเหลวที่มีสีขาวอมเหลือง หรือเหลืองอมน้ำตาล ที่มักจะสะสมอยู่ในบริเวณแผลที่ติดเชื้อ และอาจมีกลิ่นเหม็น หนองนั้นคือของเหลวที่เกิดขึ้นจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ ตายลงและสะสมจนเกิดกลายเป็นน้ำหนอง นอกจากนี้ในน้ำหนองยังประกอบไปด้วย เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราอื่นๆ หากน้ำหนองนี้สะสมอยู่ใกล้กับบริเวณพื้นผิวหนัง จะเรียกว่าตุ่มหนอง หรือสิว หากน้ำหนองนั้นสะสมอยู่ในพื้นที่เนื้อเยื่อปิด ภายในผิวหนัง จะเรียกว่า ฝี สาเหตุของการเกิดหนอง หนองนั้นเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตอบสนองต่อการติดเชื้อ ที่มักจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อรา ซึ่งเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางบาดแผล หรือจากการสูดหายใจรับเชื้อเข้าไป เมื่อร่างกายรับรู้ว่าเราติดเชื้อ ร่างกายก็จะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท neutrophils เพื่อมากำจัดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย กระบวนการนี้จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวบางส่วน และเนื้อเยื่อรอบบริเวณที่ติดเชื้อตายลง การสะสมของเนื้อเยื่อและเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วเหล่านี้จะทำให้เกิดหนองขึ้น การติดเชื้อส่วนใหญ่นั้นมักจะทำให้เกิดหนอง โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียประเภท Staphylococcus aureus หรือ Streptococcus pyogenes มักจะมีโอกาสในการเกิดหนองมากเป็นพิเศษ แบคทีเรียทั้งสองประเภทนี้จะปล่อยพิษออกมา และทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบ ทำให้เกิดหนองมากขึ้น หนองเป็นอันตรายรึเปล่า หลังจากที่บาดแผลของคุณตกสะเก็ดแล้ว คุณอาจสังเกตเห็นน้ำหนองและของเหลวสีขาวๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ฟู้ดโคม่า อาการง่วงนอนหลังกินข้าว ที่ชาวออฟฟิศเป็นกันเยอะ!

การตื่นมาทำงานในตอนเช้าว่ายากแล้ว แต่การทำให้ตัวเราเองไม่ง่วงหลังจากการกินข้าวนั้นยากยิ่งกว่า เป็นที่มาของคำว่า “หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” จะแอบงีบในออฟฟิศก็คงทำไม่ได้ เพราะงานที่กองเป็นภูเขายังรออยู่เพียบ แถมอาจจะโดนเจ้านายต่อว่า ซ้ำ! ไปกว่านั้น ถ้าไม่ถูกตัดเงินเดือน ก็คงโดนไล่ออกแน่ๆ อาการที่เกิดกวนใจคุณนี้เรียกว่า ฟู้ดโคม่า วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมารู้จักกับอาการนี้กัน อาการง่วงนอนหลังจากการรับประทานอาหาร (Food Coma) คือ อาการง่วงนอนหลังกินอิ่ม ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า ฟู้ดโคม่า (Food Coma) ในขณะที่เรารับประทานอาหารในแต่ละมื้อที่มักประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อผ่านระบบการย่อยอาหารแล้วร่างกายจะกลั่นกรองน้ำตาลหรือกลูโคส ที่สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดนำไปใช้เป็นพลังงานในการใช้ชีวิตประจำ แต่ก็ยังมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งมาจากอาหารที่เราทานเข้าไปเช่นเดียวกัน เรียกว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งสารนี้จะเข้าสู่สมองและระบบประสาททำให้ลดความตึงเครียด และทำให้คุณเกิดอาการง่วงนอนได้ อิ่มจนรู้สึก ง่วงนอน เกิดจากสาเหตุอะไร? อาการง่วงนอนที่เกิดขึ้นบ่อยกับชาวออฟฟิศ ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดวิตกกังวล ไม่ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ นอกจากสาเหตุเหล่านี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้คุณเกิดอาการง่วงนอนระหว่างวัน การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ ทริปโตเฟน (Tryptophan) พบมากในเนื้อสัตว์ และนมบางชนิดที่รับประทานกันในชีวิตประจำวันและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วย ทริปโตเฟน (Tryptophan) จะเข้าสู่สมองและเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ลดความภาวะทางอารมณ์ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ การเปลี่ยนแปลงในกระแสเลือดไปยังสมอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบางคนกล่าวว่าอาการง่วงซึมเกิดจากการไหลเวียนของเลือดถูกส่งไปในการเลี้ยงสมองค่อนข้างน้อยทำให้คุณรู้สึกง่วง หรือเกิดอาการซึม และเหนื่อยล้าได้ง่าย การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรือแคลอรี่สูง นักวิจัยชี้ให้เห็นว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงทำให้เกิดอาการง่วงนอนหลังอาหาร ในการศึกษาจากนักวิจัยนำผู้ทดสอบที่รับประทานอาหารไขมันสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แอปเปิ้ลไซเดอร์ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล น้ำหมักคุณประโยชน์แน่น

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือที่เรียกกันว่า “แอปเปิลไซเดอร์วินีการ์” และ “แอปเปิ้ลไซเดอร์” หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างและสงสัยว่าแตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปอย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ เรามีคำอธิบายที่มาพร้อมกับทั้งวิธีเลือกซื้อ รวมไปถึงประโยชน์ในเชิงสุขภาพ และความงามอีกด้วยค่ะ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar ; ACV) คืออะไร แอปเปิ้ล ไซเดอร์ วินีการ์ (Apple Cider Vinergar ; ACV) คือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หมักจากแอปเปิ้ลสดโดยผ่านกรรมวิธีนำมาบดแล้วปล่อยให้เกิดการหมักตัวในถังไม้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองและกระบวนการความร้อน ด้วยเหตุนี้ทั้งเอนไซม์และแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติจึงยังคงอยู่ไว้อย่างครบถ้วน น้ำส้มสายชูที่ได้นี้จะมีคุณสมบัติความเป็นกรดสูง ทำให้มีสีเหลืองคล้ายน้ำชาและรสเปรี้ยวจัด ซึ่งมีความเป็นกรดประมาณ 5% มีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง และบริเวณก้นขวดจะมีตะกอนกากใยที่เกิดจากกระบวนการหมักหรือที่เรียกกันว่า “Mother” วิธีการเลือกซื้อน้ำส้มสายชูหมัก น้ำส้มสายชูหมักที่ดีควรบรรจุอยู่ในขวดแก้ว โดยมีฉลากที่ระบุแหล่งผลิตอย่างชัดเจน มีเครื่องหมาย อย. หรือเครื่องหมายรับรองคุณภาพ มอก. และวันหมดอายุร่วมด้วย ซึ่งหากเป็นสินค้าที่ผลิตใหม่ๆ ก็จะยิ่งคงคุณค่าไว้ได้มากขึ้น แต่หลังจากที่เปิดใช้แล้วก็ควรปิดฝาให้สนิทพร้อมกับเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่แห้งและมืด เพื่อช่วยป้องกันการระเหยและเป็นการยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนาน 5 ประโยชน์ด้านความงามกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล บำรุงผิว เพียงแค่นำสำลีแผ่นชุบกับน้ำส้มสายชูหรือแอปเปิลไซเดอร์แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า เพราะคุณสมบัติความเป็นกรดอ่อน ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้ผิวหน้ากระจ่างใส กระชับรูขุมขน นำผลสตรอเบอร์รี่สด 3 ลูก แช่ในน้ำส้มสายชูปริมาณ ¾ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำแข็ง คุณประโยชน์ที่มากกว่าความเย็น

ถ้าพูดถึง น้ำแข็ง เราคงคิดถึงน้ำแข็งที่ใส่ในเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความเย็น แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วน้ำแข็งนั้นมีคุณสมบัติและประโยชน์หลายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งในด้านการบำบัดรักษาโรค ด้านความงามและมีประโยชน์ต่อการใช้ในครัวเรือน วันนี้ Hello คุณหมอจะพาไปทำความรู้จักน้ำแข็งให้มากขึ้นกันค่ะ มาทำความรู้จัก น้ำแข็ง ให้มากขึ้นกันเถอะ น้ำแข็ง เป็นชื่อเรียกของสภาวะของแข็งของน้ำซึ่งมักอยู่ในรูปของผลึกของน้ำ โดยสภาวะปกติน้ำแข็งจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำในรูปของเหลวมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ก็จะแข็งตัวเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีความเย็น น้ำแข็งนั้นถูกนำใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำอาหาร และนำมาใส่เครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่น นอกจากนี้ น้ำแข็งยังอาจใช้ช่วยถนอมอาหาร ยืดอายุอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วอีกด้วย ประโยชน์ของน้ำแข็ง ด้านการบำบัดรักษาโรค เชื่อหรือไม่คะว่า เพียงเรานำน้ำแข็งมาวางไว้ที่ท้ายทอยจะช่วยทำให้ร่างกายของเรานั้นรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า การกระตุ้น จุดเฟิงฟู่ (Feng Fu) หากทำเป็นประจำจะช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ได้ดังนี้ ทำให้นอนหลับสนิทมากขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย บรรเทาอาการวิงเวียนศรีษะและอาการปวดฟัน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคทางเดินหายใจ ประโยชน์ของน้ำแข็ง ด้านความสวยความงาม คืนความสดชื่นแก่ดวงตา สาว ๆ ที่นั่งจอหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน จะต้องเคยรู้สึกว่า ปวดตา ล้าตาจังเลย แถมยังมีรอยคล้ำเล็ก ๆ เกิดรอบดวงตาพ่วงมาด้วยอีก ถ้าอยากให้ดวงตากลับมาสดใสเหมือนเดิม แล้วยังคลายความอ่อนล้าให้ดวงตาด้วย เอาน้ำแข็งก้อนเล็ก วางไว้บริเวณดวงตา ที่สาว ๆ รู้สึกล้า แค่นี้สาว ๆ ก็จะรู้สึกผ่อนคลายแล้ว น้ำแข็ง ช่วยให้เมคอัพติดทน ช่วยให้เมคอัพติดทนได้จริง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ผงถ่านกัมมันต์ ล้างสารพิษและชะลอวัยได้จริงหรือ?

ความจริงแล้ว ผงถ่านกัมมันต์ เป็นผงสีดำ ไม่มีกลิ่น ผงถ่านกัมมันต์จะถูกใช้ในห้องฉุกเฉิน เพื่อดูดซับสารพิษเนื่องจากการได้รับยาเกินขนาด ด้วยคุณสัมบัตินี้ทำให้ผงถ่านกัมมันต์ถูกนำไปใช้ในเครื่องสำอางอย่างกว้างขวาง นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาแล้ว ผงถ่านกัมมันต์ยังมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง ต้องไปติดตามในบทความกัน ผงถ่านกัมมันต์ (Activated Charcoal) คืออะไร ก่อนที่จะไปรู้จักกับประโยชน์ต่างๆ ของผงถ่านกัมมันต์ ลองมาทำความรู้จักกับมันให้มากขึ้นกันก่อนดีกว่า ผงถ่านกัมมันต์ เป็นผงสีดำ ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากถ่านกระดูก กะลามะพร้าว ถ่านหินชนิดร่วน ปิโตรเลียมโค้ก ถ่านหิน หรือขี้เลื่อย โดยผงถ่านกัมมันต์จะมีรูพรุนมากกว่าถ่านปกติทั่วไป เนื่องจากถูกนำไปแปรรูปในอุณหภูมิที่สูงมาก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน จนมีอนุภาคที่ขาดเล็กลง มีพื้นที่ผิวมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ ผงถ่านกัมมันต์กลายเป็นถ่านละเอียดที่สามารถจับยึด และกำจัดสารพิษ โลหะหนัก สารเคมี และก๊าซในลำไส้ ได้นั่นเอง ประโยชน์ของถ่านกัมมันต์ที่ควรรู้ นอกจาก ผงถ่านกัมมันต์จะใช้สำหรับรักษาอาการการได้รับยาเกินขนาดแล้ว ยังอาจมีการใช้ผงถ่านกัมมันต์ในประโยชน์ด้านอื่นๆ ดังนี้ จากการศึกษาพบว่า ผงถ่านกัมมันต์อาจช่วยไตในการกรองสารพิษและยาที่ไม่ได้รับการกำจัด เนื่องจากผงถ่านกัมมันต์ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษที่มาจากยูเรีย ซึ่งเป็นผลพลอยได้หลักของการย่อยโปรตีน นอกจากนั้นผงถ่านกัมมันต์อาจช่วยปรับปรุงการทำงานของไตและความเสียหายในทางเดินอาหาร และช่วยเรื่องของการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังได้ แต่ในส่วนนี้ยังต้องจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เนื่องจากยังเป็นเพียงการศึกษาในสัตว์ทดลองเท่านั้น ผงถ่านกัมมันต์สามารถทำลายก๊าซในลำไส้ได้ โดยจากการศึกษาในปี 2017 ผู้ที่ได้รับไซเมทิโคน (Simethicone) 45 มก. และผงถ่านมันต์ 140 มก. […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

5 พยาธิตัวร้าย และการป้องกันพยาธิ

คนที่ชอบรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาจจะเคยได้ยินคนเตือนให้ระวังเรื่องของการติดพยาธิมาบ้างไม่มากก็น้อย พยาธิเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมแฝงมาอยู่ในร่างกายของคนที่นอกจากจะทำให้รู้สึกขยะแขยงแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของเราอีกด้วย วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ พยาธิ 5 ประเภทที่สามารถพบได้ในคน และวิธีการป้องกันพยาธิเหล่านี้ [embed-health-tool-bmi] 5 พยาธิ ก่อโรคที่ควรระวัง พยาธิเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่ในตัวของสิ่งมีชีวิตอื่น และแย่งอาหารจากสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เพื่อให้มีชีวิตรอด พยาธิมีอยู่หลายประเภท และแต่ละประเภทก็จะสามารถพบได้ในสิ่งมีชีวิตแตกต่างกันไป ตั้งแต่พืช สัตว์ ไปจนถึงมนุษย์ และประเภทของพยาธิที่มักจะพบได้ในมนุษย์มีดังนี้ 1. พยาธิตัวตืด พยาธิตัวตืดนั้นเป็นพยาธิตัวแบนชนิดหนึ่ง คนที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดนั้นมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น พยาธิชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่ในบริเวณลำไส้ และฝังไข่เข้ากับผนังลำไส้ ในบางครั้งตัวอ่อนของพยาธิตัวตืดนั้นอาจสามารถกระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกายได้อีกด้วย พยาธิตัวตืดมีลักษณะลำตัวแบน และมีขนาดยาว คล้ายกับริบบิ้นสีขาว ในบางครั้งอาจมีความยาวมากถึง 3-10 เมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของพยาธิ และพยาธิชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ในร่างกายของคนได้นานถึง 30 ปีขึ้นไป พยาธิตัวตืดมีอยู่หลายประเภท บางประเภทจะอาศัยอยู่ในน้ำ บางประเภทอาศัยอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น วัว หรือหมู คุณสามารถรับพยาธิเหล่านี้เข้าไปในร่างกายได้ หากคุณดื่มน้ำไม่สะอาดที่ปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด หรือรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สะอาดหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ 2. พยาธิปากขอ พยาธิปากขอ เป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่ง มีลักษณะคือด้านหนึ่งของลำตัวละมีลักษณะเรียวแหลม คล้ายเข็มหรือตะขอ พยาธิชนิดนี้มักจะพบได้ในบริเวณลำไส้เล็ก โดยการใช้ร่างกายส่วนที่คล้ายตะขอ เกี่ยวเข้ากับลำไส้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ใส่ หัวหอมในถุงเท้า แก้หวัดได้จริงหรือ?

เป็นคำพูดที่ส่งต่อกันมานานว่า การนำหัวหอมไปวางไว้ในห้องนอนจะช่วยให้ไม่เป็นหวัดหรือช่วยลดอาการของไข้หวัดให้ดีขึ้นได้ แต่หัวหอมช่วยลดไข้หวัดได้จริงหรือ? และถ้าหากเราใส่ หัวหอมในถุงเท้า อาการหวัดจะหายไปด้วยหรือไม่? มาไขคำตอบกันได้จากบทความนี้โดย Hello คุณหมอ ประโยชน์ของหัวหอม หัวหอม เป็นพืชผักที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหารหลากหลายเมนูในชีวิตประจำวัน การรับประทานหัวหอม มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ ลดสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน โรคเบาหวานนั้นมีสาเหตุหลักมาจากเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด และจากการวิจัยค้นพบว่าการรับประทานหัวหอมมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ โดยเฉพาะการรับประทานหัวหอม 20 กรัมในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก จะมีส่วนช่วยในเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าการลดน้ำหนักแบบอดอาหารเพียงอย่างเดียว ลดความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงนั้น ผู้ที่มีภาวะของโรคนี้มักจะไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการรุนแรงใดๆ ที่แสดงออกมาเป็นสัญญาณให้รู้ได้ แต่การรับประทานหัวหอมเป็นประจำสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ มีประโยชน์กับหัวใจ ในหัวหอมนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) และเควอซิทิน (Quercetin) ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบ และลดสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ อย่างการลดความดันโลหิตสูง ลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง ในพืชตระกูลหัว เช่น หัวหอม หรือกระเทียม มีการค้นพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เพียงพอต่อการลดโอกาสในการเป็นโรคมะเร็ง และยังลดโอกาสในการเจริญเติบโตของเนื้องอกในร่างกายได้อีกด้วย ต้านเชื้อแบคทีเรีย ในหัวหอมมีสารต้านต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อเควอซิทิน (Quercetin) ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ของร่างกาย เช่น เชื้อ Escherichia coli หรือที่รู้จักกันในชื่อของเชื้ออีโคไล (E coli) หัวหอมกับไข้หวัด เป็นความเชื่อกันมาอย่างยาวนานที่ว่า ถ้าหากเป็นหวัด ให้นำหัวหอม หรือหั่นหัวหอมออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปวางไว้ในห้องนอน หรือบนหัวเตียง จะช่วยให้อาการเป็นหวัดดีขึ้นและหายจากอาการไข้หวัดได้ ซึ่งตามที่สมาคม National Onion Associationให้ความเห็นไว้นั้น […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน