สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ดื่มน้ำหลังตื่นนอน ดีต่อร่างกายอย่างไร

การดื่มน้ำนั้นให้ประโยชน์ที่สำคัญต่อร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แล้วการ ดื่มน้ำหลังตื่นนอน ทันที จะให้ประโยชน์ที่มากกว่าการดื่มน้ำในช่วงเวลาอื่นอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันเลย ดื่มน้ำดีอย่างไร การดื่มน้ำนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายแบบที่เรารู้กันดี ทั้งยังเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะการดื่มน้ำให้ประโยชน์ ดังนี้ 1.ช่วยในเรื่องของระบบการเผาผลาญ หากคุณกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก อย่ามัวแต่มองหาสูตรลัดและวิธีเด็ดในการลดน้ำหนักแค่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากการดื่มน้ำนั้นก็สำคัญ เพราะการดื่มน้ำช่วยในเรื่องของการเผาผลาญ และลดจำนวนแคลอรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นน้ำเย็น เมื่อดื่มเข้าไปร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องทำร่างกายให้อบอุ่นขึ้น จึงเป็นการเผาผลาญแคลอรี่ไปในตัว 2.เพิ่มพลังงาน หากคุณกระหายน้ำ ยิ่งกระหายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกหมดแรงและเหนื่อยง่าย แต่การดื่มน้ำจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้เต็มที่ ทั้งยังช่วยให้เลือดสามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปยังเซลล์อื่นๆ ในร่างกายได้อีกด้วย 3.ช่วยในเรื่องผิวพรรณ หลายคนอาจมีปัญหาในเรื่องของผิวแห้ง ผิวดูเหี่ยว ไม่ชุ่มชื้น ไม่จำเป็นต้องไปหาครีมบำรุงอื่นให้ยุ่งยาก การดูแลตัวเองง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ก็ช่วยให้คุณมีผิวผรรณที่สดใสขึ้นมาได้ 4.ช่วยขับของเสีย น้ำมีความสำคัญต่อระบบของการย่อยอาหาร เพราะน้ำช่วยลำเลียงของเสียให้สามารถส่งผ่านไปยังลำไส้ได้อย่างราบรื่น หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะดูดซับเอาน้ำทิ้งบริเวณลำไส้ใหญ่มาใช้งาน ทำให้ลำไส้แห้งและลำเลียงของเสียได้ยากขึ้น 5.ลดนิ่วในไต หนึ่งในสาเหตุของการเกิดนิ่วในไต ก็เนื่องมาจากการดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอ น้ำช่วยในการเจือจางเกลือและแร่ธาตุต่างๆ ในปัสสาวะ และนิ่วในไตนั้นไม่สามารถที่จะเกิดได้ในปัสสาวะที่เจือจาง ดังนั้นหากดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอก็จะช่วยลดสาเหตุของโรคนี้ลงได้ 6.ลดอาการท้องผูก โดยเฉพาะกับเด็กและผู้สูงอายุ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้ลำไส้แห้งและขับเอาของเสียออกมาได้ยากมากยิ่งขึ้น หากดื่มน้ำมากขึ้นและเพียงพอก็สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกให้น้อยลงได้  ประโยชน์ของการ ดื่มน้ำหลังตื่นนอน เรามักได้ยินกันมาตลอดว่าการดื่มน้ำหลังตื่นนอนเป็นอย่างแรกนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว พร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ได้ เพราะหลังจากการรับประทนอาหารมื้อเย็นที่ผ่านมา อาหารเหล่านั้นก็ถูกย่อยไปในขณะที่กำลังนอนหลับ เมื่อตื่นนอนเราจึงรู้สึกท้องว่างและการดื่มน้ำในขณะที่ท้องว่างโดยเฉพาะหลังการตื่นนอนในยามเช้าแบบนี้ก็มีผลดีต่อสุขภาพ ดังนี้ 1. ทำความสะอาดร่างกาย การดื่มน้ำในช่วงที่ท้องว่างนั้นเป็นการช่วยล้างลำไส้ เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมของลำไส้ ทำให้ลำไส้ขับถ่ายของเสียและสารพิษออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น 2. ลำไส้แข็งแรง การดื่มน้ำในตอนเช้าซึ่งเป็นช่วงที่ท้องกำลังว่างนั้น มีส่วนช่วยลดอาการท้องผูก และลดกระบวนการย่อยอาหารที่ไม่ดี ช่วยให้ลำไส้สามารถขับถ่ายเอากากอาหารในร่างกายออกมาได้ง่ายขึ้น และมีส่วนทำให้ลำไส้แข็งแรงได้อีกด้วย 3. […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

5 เครื่องดื่มคลายหนาว ดื่มแล้วร่างกายอบอุ่น

ลมหนาวมาแล้ว เป็นสัญญาณว่าได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ  หลายท่านเริ่มหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาๆ ขึ้นมาใส่เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น วันนี้ Hello คุณหมอ จึงนำอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาฝากกันค่ะ ด้วย 5  เครื่องดื่มคลายหนาว รับรองได้เลยว่านอกจากจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย ว่าแต่จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย มาทำให้ร่างกายอบอุ่นกันเถอะ หน้าหนาวแบบนี้การดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพียงเรารักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงก็เสมือนเป็นเกาะป้องกันโรคอีกชั้นนึงแล้วค่ะ วิธีการทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้ ไม่ควรนั่งนิ่งๆ หรือ นอนบ่อยจนเกินไป ควรขยับร่างกายหรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยเติมความอบอุ่นในร่างกาย ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ปิดประตูและหน้าต่างภายในบ้านให้มิดชิด เพื่อป้องกันลมหนาว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นประเภท เนื้อสัตว์ ไขมันและผักผลไม้มากกว่าปกติ ออกไปสูดบรรยากาศนอกบ้านบ้าง ให้ร่างกายโดนแสงแดดเพิ่มเพิ่มความอบอุ่นในร่างกาย จิบเครื่องดื่มคลายหนาว เช่น จิบน้ำชาระหว่างวัน เพื่อป้องกันการขาดน้ำ  หรือ นมอุ่นๆก่อนนอน 5 เครื่องดื่มคลายหนาว ดื่มแล้วร่างกายอบอุ่น ชาเขียวร้อน เริ่มต้นด้วย เครื่องดื่มคลายหนาวสุดโปรดสำหรับใครหลายๆคนอย่าง ‘ชาเขียวร้อน‘  ที่อุดมไปด้วยสาร Epigallocatechin Gallate (EGCG) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กินแล้วช่วยให้หน้าเด็กขึ้นด้วยนะ แถมยังช่วยในการขับสารพิษในร่างกายอีกด้วย สรรพคุณชาเขียวร้อน ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างกระดูก และช่วยป้องกันกระดูกพรุน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดกลิ่นปากและช่วยป้องกันฟันผุ น้ำขิงร้อน ขิง ถือว่า เป็นยาอายุวัฒนะที่อุดมไปด้วยประโยชน์และสรรพคุณทางยามากมาย ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้แล้ว ได้ดื่ม น้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว นอกจากร่างกายจะอบอุ่นขึ้นแล้วยังเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย สรรพคุณน้ำขิงร้อน  ช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

บำบัดอาการปวดเมื่อยด้วยการ ครอบแก้ว ฉบับศาสตร์จีน

รู้สึกเบื่อหรือเปล่า ? ที่ต้องคอยรับประทานยาเม็ดใหญ่ๆ เวลาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือต้องคอยเข้าร้านนวดอยู่บ่อยๆ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพามาพบกับบำบัดแบบใหม่ด้วยเทคนิค ครอบแก้ว ตามศาสตร์จีนแบบโบราณที่อาจทำให้คุณต้องติดใจและทำให้อาการปวดเมื่อยหายไปในทันที ครอบแก้ว (Cupping Therapy) คืออะไร ครอบแก้ว (Cupping Therapy) มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนเป็นการรักษาบำบัดอาการปวดเมื่อยแบบแพทย์แผนจีนโบราณ โดยการนำถ้วยแก้วแบบเฉพาะมาวางไว้บนผิวหนังพร้อมกับใช้ความร้อนให้แก้วดูดผิวหนังหรือกล้ามเนื้อขึ้น อุปกรณ์ในการบำบัดด้วยวิธีครอบแก้วมีหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่มักทำจากกระจก ไม้ไผ่ เครื่องเคลือบดินเผา และยางทำจากซิลิคอน ซึ่งการบำบัดด้วยวิธีนี้จะช่วยปรับสมดุลของหยินและหยางตามความเชื่อของชาวจีน ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดคล่องขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อย ขจัดสารพิษออกจากร่างกายคล้ายกับการทำ กัวซา (Gua Sha) และยังสามารถบ่งบอกถึงโรคต่างๆ ที่คุณมีความเสี่ยงจะเป็นอีกด้วย ครอบแก้วมีกี่ประเภท การรักษาด้วยการครอบแก้ว (Cupping Therapy) สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ การครอบแบบแห้ง ให้เพียงเทคนิคการดูดชั้นผิวหนังเท่านั้น การครอบแบบเปียก อาจเกี่ยวข้องกับการดูดชั้นผิวหนัง และควบคุมการตกเลือดร่วมด้วย การครอบทั้ง 2 ประเภท แพทย์ที่ทำการบำบัดของคุณจะทำการวิเคราะห์อาการ และเลือกประเภทการครอบที่เหมาะสม  ในระหว่างการครอบแก้วนั้นแพทย์จะมีการใส่สารไวไฟ เช่น แอลกอฮอล์ รวมถึงสมุนไพรลงบนสำลีก้อนหรือกระดาษเฉพาะ และทำการจุดไฟ เพื่อนำไปวนภายในแก้วครอบจากนั้นจะวางไว้บนหลังเพื่อทำการดูดเนื้อแต่ละตำแหน่งของเราขึ้น เรียกว่า ระบบสุญญากาศ แพทย์จะทำการทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้หรือไม่ กินเผ็ด มากเกินไปเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม

รสชาติที่เผ็ดจัดจ้านสามารถช่วยกระตุ้นให้เรานั้นรับประทานอาหารได้เยอะขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็สามารถให้โทษกับร่างกายของคุณได้ โดยแรกเริ่มอาจมีอาการปวดท้อง มึนหัว จนถึงขั้นทำให้คุณสูญเสียความทรงจำได้เลยทีเดียว วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมารู้ถึงอันตรายจากการ กินเผ็ด กัน โรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s Disease) โรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคที่ทำให้เซลล์ในสมองเสื่อมสภาพลงส่งผลให้สูญเสียความทรงจำช่วงใดช่วงหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นหรือจดจำเหตุการณ์ในปัจจุบันได้เพียงเลือนลาง การรับประทานยารักษาโรคอัลไซเมอร์สามารถทำได้เพียงแค่ให้อาการบรรเทาลงได้เพียงชั่วคราวและช่วยยืดการทำงานของสมองได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากคนใกล้ชิดของคุณรวมถึงตัวคุณเริ่มมีอาการหลงลืม มึนงง มีบทสนทนาหรือพฤติกรรมที่ซ้ำไปซ้ำมา ควรเข้าพบเพื่อได้รับการรักษาและการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด พฤติกรรมที่ทำให้คุณเสียความทรงจำ มีหลายปัจจัยด้วยกันที่อาจทำให้คุณสูญเสียความทรงจำ รวมถึงพฤติกรรมเหล่านี้ การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป การรับประทานอาหารไม่ครบตามหลักโภชนาการ ควรเน้นหรือรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 12 การทำกิจกรรมที่ส่งผลให้กระทบต่อศีรษะ สมองหรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น กิจกรรมผาดโผน การขับยานพาหนะด้วยความเร็วสูง รับประทานรสชาติที่เผ็ดจัดจ้านในปริมาณมาก นอกเหลือจากพฤติกรรมข้างต้น ยังรวมถึงอาการและโรคต่างๆ ที่สามารถส่งผลให้คุณเกิดการสูญเสียความทรงจำได้ ดังนี้ การฉีดยาระงับความรู้สึกจากการผ่าตัด ผลกระทบจากการการรักษาโรคมะเร็ง เช่น เคมีบำบัดรังสีหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก มีภาวะขาดออกซิเจนที่ส่งไปยังสมอง อาการชัก เนื้องอกในสมองหรือการติดเชื้อ การผ่าตัดบายพาสหัวใจ ความผิดปกติทางจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคไบโพล่า (bipolar) ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ การบำบัดด้วยไฟฟ้า มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคฮันติงตัน (Huntington’s disease) อาการไมเกรน กินเผ็ด ทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมจริงหรือ? เป็นที่ทราบกันดีว่า พริก มีสารชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในแกนกลาง สามารถส่งความเผ็ดร้อนไปช่วยเผาผลาญแคลอรี่และช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี สารชนิดนี้เรียกว่า แคปไซซิน (Capsaicin) จากการวิจัยโดยทีม ซูมิน ชิ (Zumin Shi) แห่งมหาวิทยาลัยกาตาร์ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เข้าร่วมชาวจีนที่มีอายุตั้งแต่ 55 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

มหัศจรรย์ ดอกเกลือ กับคุณประโยชน์รอบด้าน

ดอกเกลือ เป็นวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่ได้จากการผลิตเกลือทะเล ซึ่งพบว่ามีประโยชน์มากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึงกันเลยค่ะ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรค การดูแลสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ  วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับดอกเกลืออย่างละเอียดและวิธีการใช้ที่ถูกต้องเราไปดูกันเลยจ้า มาทำความรู้จักกับ ดอกเกลือ กันเถอะ ดอกเกลือ (Flower of Salt) หรือที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า เฟลอเดอเซล (Fleur de Sel) ดอกเกลือได้รับขนานนามว่าเป็น “ดอกไม้แห่งเกลือ” เพราะมีลักษณะคล้ายคลิสตัลรูปดอกไม้ ดอกเกลือจะลอยอยู่บนผิวน้ำ เป็นผลึกแรกของการตกผลึกของเกลือ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น ไอโอดีน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น ประเทศฝรั่งเศสเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตดอกเกลือ และมีราคาค่อนข้างสูง  โดยผลผลิตจะออกในช่วงฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนกันยายน ในสมัยก่อนถูกนำมาใช้เป็นยาระบาย แต่ในปัจจุบันดอกเกลือได้เป็นที่นิยมในการนำมาปรุงอาหาร ดอกเกลือและเกลือทั่วไปมีความแตกต่างกันอย่างไร หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าดอกเกลือนั้นมีความแตกต่างจากเกลือธรรมดาอย่างไร นอกจากจะมีความบริสุทธิ์สะอาดมากกว่าเกลือเม็ดทั่วไปแล้วยังมีความแตกต่างในหลายๆด้านดังนี้ วิธีการผลิต ดอกเกลือจะลอยอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นชาวนาเกลือจะใช้ช้อนเอาดอกเกลือมาเก็บไว้ ซึ่งต้องใช้ความประณีตอย่างมาก ส่วนเกลือทะเลจะต้องให้น้ำทะเลระเหยออกไปด้วยการตากกับแสงแดด รสชาติ ดอกเกลือมีรสชาติความเค็มน้อยกว่าเกลือทั่วไป มีความชื้นสูงกว่าจึงสามารถเก็บรักษารสชาติของน้ำทะเลได้ นอกจากนี้เมื่อรับประทานไปโดนลิ้น จะสัมผัสได้ถึงรสชาติที่อ่อนนุ่มมากกว่าเกลือแบบทั่วไป ราคา เนื่องจากดอกเกลือมีปริมาณน้อยและหายากเมื่อเทียบกับเกลือทั่วไป จึงทำให้ดอกเกลือมีราคาสูงกว่า ในประเทศฝรั่งเศสมีราคาสูงถึง 200 เท่า ของปริมาณเกลือทั่วไป ดอกเกลือกับการใช้รักษาโรค ด้วยความที่ดอกเกลือนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเหมือนดั่งเกลือทะเลและเกลือธรรมดาทั่วไป ดังนั้นหากใครเป็นโรคต่างๆ ที่กล่าวถึงมานี้ เราสามารถใช้ดอกเกลือช่วยบรรเทาอาการหรือรักษาโรคอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง บรรเทาอาการปวดไขข้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ  ปวดกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดที่เกิดจากโรคไขข้ออักเสบ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมเราถึง ขนลุก แล้วอาการขนลุกบอกอะไรกับเราบ้าง

อาการขนลุกนั้นเรียกได้ว่าเป็นกันแทบจะทุกคน เวลาที่เรากลัว หนาว หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้หวาดกลัว เราก็จะรู้สึก ขนลุก ขึ้นมาทันที แต่อาการขนลุกเกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลเสียต่อร่างกายด้วยหรือไม่ สามารถหาคำตอบได้กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ [embed-health-tool-bmr] ทำไมคนเราถึงขนลุก เราขนลุกเพราะร่างกายปล่อยสารที่มีชื่อว่า อะดรีนาลีน (Adrenaline) โดยอะดรีนาลีนนั้นถูกผลิตขึ้นที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง ซึ่งการปล่อยฮอร์โมนชนิดนี้ออกมานั้นไม่เพียงแต่จะทำให้กล้ามเนื้อผิวหนังหดตัว หัวใจเต้นเร็ว แต่ยังมีผลอื่นๆ ต่อร่างกายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือการขนลุกนั่นเอง ฮอร์โมนนี้จะถูกปล่อยออกมาเมื่อร่างกายสัมผัสกับความเย็นหรืออากาศเย็น หรือการที่คุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด น่าหวาดกลัว ดังนั้นเวลาที่เราหนาวหรือรู้สึกกลัว อะดรีนาลีนก็จะถูกปล่อยออกมาและทำให้เรามีอาการขนลุก ขนลุก เกิดจากอะไร อาการขนลุกเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่โดยหลักๆ แล้ว เกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ อากาศเย็น เมื่ออากาศเย็น ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนไปยังสมองของเราว่าได้เวลาที่ควรจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ซึ่งการขนลุกเป็นหนึ่งในสัญญาณดังกล่าว และเมื่อร่างกายของเราอุ่นขึ้น อาการขนลุกก็จะหายไป การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก เวลาที่คุณรู้สึกกลัว หวาดหวั่น หรือมีความต้องการทางเพศ ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังของคุณกระชับและทำให้เส้นขนของคุณตั้งขึ้น เกิดเป็นอาการขนลุกขึ้นมาในที่สุด รูขุมขนอุดตัน ผิวหนังของคนเรานั้นมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เคราติน (Keratin) โดยทำหน้าที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่ถ้าร่างกายของคุณมีเคราตินที่มากเกินไปก็จะมีอาการที่เรียกว่า ขนคุด (Keratosis pilaris) และขนคุดนี้จะไปอุดตันรูขุมขน ทำให้ขนไม่สามารถงอกออกมาได้ จึงเกิดแรงกระแทกเล็กๆ จากขนที่ต้องการจะงอกออกมา และเกิดเป็นอาการขนลุก อาการชัก คุณสามารถขนลุกในระหว่างที่มีอาการชัก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคลมชักในกลุ่ม Temporal lobe epilepsy ซึ่งอาการชักในกลุ่มนี้จะเริ่มจากบริเวณสมองที่ทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ โมโหหิว ได้จริงหรือ?

เชื่อว่าหลายๆ คน คงผ่านภาวะทางอารมณ์นี้กันมาแล้ว เวลาที่เรารับประทานอาหารผิดเวลาหรืออดอาหารเป็นเวลานานๆ ทำให้เริ่มมีอาการหงุดหงิด หรือเรียกง่ายๆ ว่า โมโหหิว แต่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะ น้ำตาลในเลือดต่ำ ใช่หรือไม่? วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้ทุกคนได้ทราบกัน โมโหหิว เกิดขึ้นได้อย่างไร? อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่สารอาหารเหล่านี้ซึมซับเข้าภายในร่างกาย ระบบการย่อยสลายจะทำการส่งออกมาเป็นน้ำตาล หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า กลูโคส (Glucose) ที่จะเข้าไปสู่กระแสเลือดและยังกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ เพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำกิจวัตรประจำวันของคุณ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อระบบการทำงานของสมองจะจดจำช่วงเวลาเอาไว้ หากอดอาหารหรือทานผิดเวลาสมองของคุณจะรับรู้ได้ถึงระดับกลูโคสในกระแสเลือดที่กำลังลดลง ส่งผลต่อไปยังด้านฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นพฤติกรรมอารมณ์ความพลุ่งพล่าน เพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดอาการโมโหหิว ขึ้นและสามารถเกิดภาวะอารมณ์อื่นร่วมด้วย เช่น ความเครียด วิตกกังวล ศาสตราจารย์ฟรานเซสโก้ เลรี กรมจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยเกวลฟ์ในแคนาดา ได้ทำการทดลองพิสูจน์เรื่องนี้โดยฉีดสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกายหนูทดลอง เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนูทดลองมีพฤติกรรมเนือยนิ่งผิดปกติ จึงทำการตรวจเลือด หลังจากนั้นไม่นานศาสตราจารย์ฟรานเซสโก้และทีมพบว่าหนูทดลองมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวลสูงกว่าปกติ จึงทำการแก้ไขโดยฉีดยาคลายเครียดให้ การทดลองในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลต่อการทำงานของระบบในร่างกาย ทำให้เกิดกระตุ้นทางอารมณ์บางรายอาจหงุดหงิดหรือโมโห แต่บางรายอาจรู้สึกหมดแรงอ่อนเพลีย ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมรอบข้างของคุณด้วยว่าเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ เมื่อระดับ น้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อข้องใจ ทำไมกินยาแล้วต้องห้ามกินเหล้า

เวลาที่คุณไปซื้อยาที่ร้านขายยา คุณอาจจะเคยได้ยินเภสัชกรให้คำแนะนำว่าไม่ควรดื่มสุราขณะที่กำลังใช้ยานั้น แต่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเสียทีเดียวว่าการรับประทานยาพร้อมกับดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นจะส่งผลอย่างไร หรือเป็นอันตรายอะไรต่อร่างกาย บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจว่าทำไม แอลกอฮอล์กับยา จึงไม่ควรกินร่วมกัน แอลกอฮอล์กับยา ทำปฏิกิริยากันอย่างไร ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักดังนี้ ปฏิกิริยาทางเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic Interactions) ปฏิกิริยานี้หมายถึง ปฏิกิริยาที่ทำให้ผลข้างเคียงของยาเพิ่มมากขึ้น เช่น หากยาตัวหนึ่งมีผลข้างเคียงคือทำให้ง่วงนอน แล้วคุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงนอนของยานั้นก็จะเพิ่มมากขึ้น และทำให้คุณง่วงนอนหนักกว่าเดิม ปฏิกิริยานี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน เช่น ยาแก้แพ้ การเพิ่มขึ้นของผลข้างเคียง อย่างอาการง่วงนอนนี้ จะทำให้ผู้ใช้ยามีปัญหากับการมีสติสัมปชัญญะ การรวบรวมสมาธิ การตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับรถหรือใช้เครื่องจักร และทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ปฏิกิริยาทางเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic Interactions) ปฏิกิริยานี้หมายถึง ปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการดูดซึมยา หรือกระบวนการกำจัดยาออกจากร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ทำให้ดูดซึมยามากขึ้นกว่าปกติ และทำให้ฤทธิ์ของยาแรงขึ้น หรือทำให้การกำจัดยาออกจากร่างกายได้เร็วกว่าที่ควร ทำให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ แอลกอฮอล์นั้นจะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ต่างๆ ที่อยู่ในตับ ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ก็เป็นเอนไซม์เดียวกันกับเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายยาหลายๆ ประเภทด้วยเช่นกัน ดังนั้น การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปพร้อมกับการรับประทานยา จะทำให้เอนไซม์ตับเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนักมากขึ้นเพื่อย่อยสลายทั้งยาและแอลกอฮอล์พร้อมกับ ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยาเหล่านี้สามารถทำให้ยาบางชนิดทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ หรือทำให้ยาบางชนิดเกิดการสะสมค้างอยู่ในร่างกาย จนกลายเป็นพิษได้ ยาอะไรบ้างที่อาจจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (The National Institute of Health) ได้ทำการวิจัยกับคนกว่า 26,000 คน เพื่อหาปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมเมื่อยล้าถึงต้องมองสีเขียว สี มีอิทธิพลต่อร่างกายจริงหรือ?

คุณเป็นคนที่ชอบเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวตามสีที่ชอบหรือเปล่า? แม้จะเป็นสิ่งของที่ชอบแต่หากไม่มีสีที่คุณชอบ คุณก็เลือกที่จะรอให้ของสิ่งนั้นผลิตสีที่คุณชอบออกมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณต้องไม่พลาดหาคำตอบเรื่องอิทธิพลของ สี กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ สี มีอิทธิพลกับเราอย่างไร โลกของเราเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ มากมาย สีสันเหล่านั้นแต่งแต้มให้สิ่งต่างๆ ดูมีชีวิตชีวา สวยงาม และสร้างสรรค์ แต่สีไม่ได้เกิดมาเพียงสร้างสีสันสวยงามเท่านั้น เพราะสียังมีอิทธิพลต่อผู้พบเห็นได้เช่นกัน สีสามารถเปลี่ยนอารมณ์และพฤติกรรม รวมถึงเสริมความมั่นใจให้คุณได้เป็นอย่างดี สีมีอิทธิพลต่อคนเราไม่น้อย ซึ่งคุณอาจได้ประโยชน์จากสี ดังนี้ สีช่วยเสริมความจำ สีมีผลต่อความจำของคนเรา เวลาที่เห็นสีแดงเราจะจำได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของคำเตือน ในขณะที่เวลาเราเห็นสีเขียวร่างกายจะจำได้ว่านี่เป็นสัญญาณของความสบายใจ รวมถึงการใช้ปากกาสีบันทึกข้อความต่างๆ ก็จะช่วยให้เราสามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ สีกับนาฬิกาชีวิต นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า โทนสีฟ้าสว่างสดใส จะช่วยในการรีเซ็ตนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ของคุณ ซึ่งนาฬิกาชีวภาพหรือนาฬิกาชีวิตที่ว่านี้ ก็คือระบบวงจรการทำงานภายในร่างกายของมนุษย์ตลอด 24 ชั่วโมง จากงานวิจัยยังพบอีกว่า สีฟ้าเป็นสีของพลังบวก ยิ่งมองสีฟ้ามากเท่าไหร่ก็จะช่วยคลายความเครียดและความกดดันลงได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เรามองไปยังท้องฟ้ากว้างแล้วจะรู้สึกสดชื่นและสบายใจ เสมือนว่าร่างกายได้รับการฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าและความเครียดที่รุมเร้า สีกับความคิดสร้างสรรค์ นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าสีเขียวจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของคนทำงานและคนทั่วไปได้ เมื่อเปรียบเทียบกับสีเทา สีขาว สีแดง และสีฟ้า พบว่าสีเขียวสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ดีกว่า ดังนั้นหากใครที่กำลังจะแต่งบ้าน หรือทำออฟฟิศใหม่ การมีพื้นที่สีเขียว หรือผนังสีเขียว ก็จะช่วยให้ผู้ที่อาศัยได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ สีกับอาหารการกิน มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าสีสันในจานอาหาร ช่วยให้คุณเจริญอาหารได้มากขึ้น คุณสามารถที่จะรับประทานได้มากขึ้นหากในเมนูนั้นๆ มีสีสันจับตา มองดูแล้วน่ารับประทาน โดยจะเห็นว่าเวลาที่มีอาหารวางเรียงรายอยู่มากมาย เรามักจะเลือกตักอาหารที่มีสีสันสวยงามชวนรับประทานก่อนเสมอ  […]


ข่าวสารสุขภาพทั่วไป

อึฟรุ้งฟริ้งด้วย แคปซูลกากเพชร ควรลองหรือต้องเลี่ยง

คุณอยากอึออกมาเป็นกากเพชร ฟรุ้งฟริ้ง และแวววาวบ้างหรือไม่? อึเสร็จแล้วได้ความรู้สึกเสมือนว่าคุณกำลังโลดแล่นอยู่ในโลกของเทพนิยาย ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น คุณอาจสนใจผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันในชื่อ แคปซูลกากเพชร ที่กินเข้าไปแล้วจะอึออกมาเป็นกากเพชรวิบวับเลยทีเดียว แต่แคปซูลที่ว่านี้จะปลอดภัยและเห็นผลจริงหรือไม่ และมีความเสี่ยงอย่างไร มาหาคำตอบกันได้กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ กากเพชรกินได้จริงหรือ กากเพชร หรือ กลิตเตอร์ (Glitter) มีอยู่ด้วยกัน2แบบ คือแบบที่รับประทานได้กับแบบที่รับประทานไม่ได้ กากเพชรที่ไม่สามารถรับประทานได้ คือ กากเพชรสำหรับใช้ในงานศิลปะ เช่น กากเพชรสำหรับแต่งหน้า กากเพชรสำหรับทำงานประดิษฐ์ตกแต่ง กากเพชรที่สามารถรับประทานได้ คือ กากเพชรสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น กากเพชรตกแต่งหน้าคุ้กกี้ กากเพชรตกแต่งหน้าเค้ก กากเพชรชนิดที่นำมากินได้ มีส่วนประกอบของ น้ำตาล, อะคาเชียหรือกัมอะคาเซีย (Acacia or gum arabic), มอลโทเดกซ์ทริน (maltodextrin), แป้งข้าวโพด, และสีที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบไปด้วย สีไมก้า (Mica-based), ผงสีมุก และสีผสมอาหารหรือสีสังเคราะห์ อย่างเช่น สี FD&C Blue No. 1. โดยสีสังเคราะห์ที่ว่านี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา และเครื่องสำอาง หรือ Food, […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน