สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ การขูดมดลูก สำหรับคุณแม่แท้งบุตร

เพียงแค่ได้ยินถึง การขูดมดลูก ก็อาจจะดูน่ากลัวแล้ว สำหรับใครหลายคน จนทำให้คุณแม่หลาย ๆ ท่านที่ประสบกับภาวะแท้งบุตรอาจไม่กล้าเข้าไปดำเนินการรักษา ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมันอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด วันนี้ Hello คุณหมอ จึงขออาสาพาไปรู้จักกับการ ขูดมดลูก ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปประกอบพิจารณาเบื้องต้น มาฝากกันค่ะ การขูดมดลูก (Dilation and Curettage หรือ D&C) คืออะไร การขูดมดลูก (Dilation and Curettage; D&C) เป็นการผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดช่องปากมดลูก เพื่อขูดเอาเยื่อบุมดลูกออก โดยใช้อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า Curettes แต่ถึงอย่างไรการผ่าตัดนี้ไม่ได้เหมาะสมสำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่งผู้ป่วยที่มีความประสงค์รับการขูดมดลูก อาจจำเป็นที่ต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์เสียก่อน และถูกพิจารณาอยู่ในเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ จึงจะสามารถเข้ารักษาได้ ผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงของโรคมะเร็งปากมดลูก ติ่งเนื้อมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ภาวะเลือดออกผิดปกติในมดลูก ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติการทำแท้ง และต้องการขจัดเนื้อเยื่อที่ยังค้างอยู่ในมดลูกออก ภาวะเลือดออกมากหลังคลอดบุตร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางประเภท หากคุณต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าตนเองถูกจัดอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ คุณสามารถเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดได้ที่โรงพยาบาลใกล้แหล่งที่อยู่ของคุณ พร้อมบอกรายละเอียดถึงอาการต่าง ๆ ที่คุณประสบให้แน่ชัด เพื่อให้แพทย์ได้พิจารณาถึงวิธีรักษาอย่างเหมาะสม เนื่องจากการขูดมดลูกนั้น อาจมิใช่ทางออกเดียวในการรักษาเสมอไป ขั้นตอนการขูดมดลูก ด้วยเทคนิคแพทย์ แรกเริ่มแพทย์อาจทำการให้คุณกรอกประวัติทางสุขภาพ พร้อมตรวจเช็กร่างกายเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการผ่าตัด จากนั้นแพทย์จึงจะให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงเฉพาะ ซึ่งมีขาหยั่งให้คุณอ้าขาพาดเอาไว้ทั้ง 2 ข้าง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องรู้จักมี ความเมตตาต่อตนเอง บ้าง

หลายคนอาจจะทราบดีว่า ความมั่นใจในตัวเอง หรือความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรมี เพราะสามารถส่งผลให้เราประสบความสำเร็จได้ แต่ Hello คุณหมอ และผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากคุณอยากพัฒนาตัวเอง และอยากประสบความสำเร็จในชีวิต แค่มั่นใจในตัวเองยังไม่พอ แต่คุณต้องมี ความเมตตาต่อตนเอง ด้วย ความเมตตาต่อตนเอง (Self-Compassion) คืออะไร ดร. คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เผยว่า ความเมตตาต่อตนเอง (Self-Compassion) หมายถึง การยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนย่อมทำผิดพลาดกันได้ และเมื่อทำผิดไปแล้ว เราก็ไม่ควรมานั่งโทษตัวเอง หรือทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม แต่ควรปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเมตตาและความเข้าใจ รู้จักอ่อนโยนกับตัวเอง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า รู้จักรักตัวเอง นั่นเอง ประโยชน์ของการมีความเมตตาต่อตนเอง งานศึกษาวิจัยหลายชิ้นเผยว่า ความเมตตาต่อตนเองส่งผลดีต่อสุขภาวะทางจิตใจ กล่าวคือ ผู้ที่มีความเมตตาต่อตนเองจะมีความสุข มีความฉลาดทางอารมณ์ มีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่มีความเมตตาต่อตนเอง อีกทั้งคนที่มีเมตตาต่อตนเองยังรู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า อับอาย หรือกลัวความล้มเหลวน้อยกว่า และไม่ใช่แค่นั้น เพราะการมีเมตตาต่อตนเองยังช่วยให้เรามองเห็นข้อผิดพลาด หรือข้อด้อยของตัวเอง และสามารถปรับปรุงข้อผิดพลาดเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ด้วย วิธีเพิ่มความเมตตาต่อตนเอง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คุณสามารถเพิ่มความเมตตาต่อตนเองได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ ดูแลตัวเองให้ดี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ […]


การทดสอบทางการแพทย์

วิธีจับชีพจร แบบง่าย ๆ สำหรับเช็กสัญญาณสุขภาพหัวใจเบื้องต้น

ชีพจร (Pulse) คือ อัตราการเต้นของหัวใจที่ส่งผ่านจากหลอดเหลือดแดงเส้นใหญ่ไปยังหลอดเลือดแดงส่วนปลาย โดยอาศัยจังหวะแรงดันของหลอดเลือดแดงเส้นใหญ่ที่อยู่ใกล้กับหัวใจ เมื่อหัวใจมีการบีบตัว แรงดันก็จะส่งต่อไปยังหลอดเลือดต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยที่เราสามารถจับชีพจรตามจุดหลอดเลือดแดงต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยตนเอง เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจคร่าว ๆ ว่า ขณะนี้มีอัตราการเต้นของหัวใจเป็นอย่างไร ช้าไปไหม หรือว่าเร็วเกินกว่าปกติ วันนี้ Hello คุณหมอ มี วิธีจับชีพจร แบบง่าย ๆ มาฝากค่ะ [embed-health-tool-bmr] วิธีจับชีพจร ทำอย่างไร วิธีที่ 1 ชีพจรที่ข้อมือ (Radial Pulse) ที่มาของคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=vmVjnpTv_Nk ชีพจร บริเวณนี้ จะเป็นชีพจรหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery) โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ วางนิ้วชี้และนิ้วกลางไว้ที่ข้อมือด้านใน ในตำแหน่งล่างนิ้วหัวแม่มือ เมื่อสัมผัสกับ ชีพจร ได้แล้ว ให้วัดอัตราการเต้นของชีพจรว่าเต้นกี่ครั้งภายในระยะเวลา 15 วินาที นำตัวเลขที่ได้จากการวัดชีพจรในระยะเวลา 15 วินาทีมาคูณด้วย 4 เช่น ชีพจรเต้น 20 ครั้ง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ท้องผูกหลังผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่คุณรับมือได้

หลายคนอาจทราบดีอยู่แล้วว่าการผ่าตัดรักษาโรคอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการได้ เช่น บริเวณโดยรอบแผลผ่าตัดบวม มีรอยช้ำบริเวณแผลผ่าตัด มีอาการชา เลือดออกมาก ติดเชื้อ มีภาวะบวมน้ำเหลือง อวัยวะล้มเหลวหรือทำงานผิดปกติ แต่ยังมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัดอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาจคาดไม่ถึง นั่นก็คือ อาการท้องผูกหลังผ่าตัด ว่าแต่การผ่าตัดทำให้ท้องผูกได้อย่างไร และเราจะรับมือกับอาการ ท้องผูกหลังผ่าตัด ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ลองไปหาคำตอบจากบทความที่ Hello คุณหมอ นำมาฝากกันวันนี้ได้เลย [embed-health-tool-heart-rate] สาเหตุที่ทำให้เกิด อาการท้องผูกหลังผ่าตัด แม้อาการท้องผูกหลังผ่าตัดจะเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ปัญหานี้พบได้บ่อยมากกับผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาโรค แม้แต่ผู้ที่ขับถ่ายอุจจาระเป็นปกติในช่วงก่อนผ่าตัด ก็สามารถเกิดอาการท้องผูกหลังผ่าตัดได้เช่นกัน อาการท้องผูกหลังผ่าตัด เกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องผูกหลังผ่าตัด เพราะผลข้างเคียงจากยา ยาระงับความรู้สึกที่ได้รับก่อนผ่าตัด และยาที่แพทย์สั่งให้คุณใช้หลังผ่าตัด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคลายกล้ามเนื้อ สามารถทำให้คุณท้องผูกหลังผ่าตัดได้ การกินอาหารเปลี่ยนไป ส่งผลให้ท้องผูก แพทย์มักจะสั่งให้ผู้ป่วยงดน้ำงดอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด หรือควบคุมอาหารหลังผ่าตัด ข้อปฏิบัติเหล่านี้อาจส่งผลให้คุณได้รับน้ำและอาหารน้อยเกินควร จนส่งผลต่อระบบขับถ่าย และทำให้ท้องผูกได้ในที่สุด ท้องผูกเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย ในช่วงที่ต้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ไม่ว่าจะที่โรงพยาบาลหรือที่บ้าน ผู้ป่วยมักจะเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง และไม่สามารถออกกำลังกายได้ ซึ่งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้มักส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ช้าลง และทำให้คุณถ่ายอุจจาระยากขึ้น ผลข้างเคียงจากอาการ ท้องผูกหลังผ่าตัด หากคุณมี อาการท้องผูกหลังผ่าตัด แล้วปล่อยไว้ไม่รักษา นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดท้อง ไม่สบายตัว และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ด้วย แผลผ่าตัดปริ […]


อาการของโรค

เอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด (Anterior Cruciate Ligament Tear)

หากคุณพบว่าตนเองมีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ส่งผลให้เคลื่อนไหวได้ยากลำบากกว่าเดิม ก็สามารถเป็นไปได้ว่าคุณอาจกำลังประสบกับสัญญาณแรกเริ่มของอาการ เอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด (Anterior Cruciate Ligament Tear ; ACL) และอาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย รวมถึงเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คำจำกัดความเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด (Anterior Cruciate Ligament Tear) คืออะไร เอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด (Anterior Cruciate Ligament Tear ; ACL) คือ ความเสียหายของเส้นเอ็นบริเวณหน้าหัวเข่าที่ทำการไขว้กับเอ็นไขว้หลังเป็นรูปตัว X เกิดการฉีกขาด ซึ่งเส้นเอ็นไขว้หน้านี้มักมีหน้าที่หลักในการช่วยให้คุณควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเดิน การวิ่ง การกระโดด และการหมุนขา เป็นต้น ดังนั้น เมื่อคุณมีการเคลื่อนไหวแบบผิดรูปแบบเมื่อใด ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะประสบกับภาวะเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาดได้ในทันที เอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด สามารถพบบ่อยได้เพียงใด เส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด อาจพบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัย ที่มีการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วและเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน โดยเฉพาะกับนักกีฬาที่ใช้มีการใช้ความคล่องตัวสูง เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส เป็นต้น อาการอาการเส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด อาการแรกเริ่มผู้ป่วยอาจมีการได้ยิ่งเสียงดังออกมาจากภายในบริเวณเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า เนื่องจากเป็นเสียงที่เกิดจากความเสียหายเมื่อคุณมีการเคลื่อนไหวผิดจังหวะ จากนั้นอาจมีอาการบวม และเจ็บปวดอย่างรุนแรงในเวลาถัดมา ซึ่งสามารถทำให้คุณมีการเคลื่อนไหวได้อย่างลำบากมากขึ้น จนถึงขั้นเคลื่อนไหวตามปกติไม่ได้เช่นเดิม โดยเฉพาะการขึ้น-ลงบันได หรือตามพื้นผิวขรุขระ สาเหตุสาเหตุ เส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด การบาดเจ็บของเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาดมักเกิดขึ้นระหว่างที่คุณกำลังดำเนินกิจกรรมทางด้านกีฬา และการออกกำลังกายที่อาจทำให้เกิดความเครียดที่หัวเข่าเสียมากกว่า […]


อาการของโรค

เจ็บหน้าอกข้างซ้าย สัญญาณอันตรายต่อสุขภาพที่ไม่ควรวางใจ

อาการเจ็บหน้าอก เป็นสัญญาณทางสุขภาพที่ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ได้ครอบคลุมแค่เพียงภาวะใดภาวะหนึ่ง หรือโรคใดโรคหนึ่ง แต่ อาการเจ็บหน้าอกข้างซ้าย ของคุณอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ หรืออาจหมายถึงปัญหาสุขภาพปอดที่คุณกำลังเผชิญอยู่ก็ได้เช่นกัน บทความนี้ของ Hello คุณหมอ ได้รวบรวมเอาสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาการ เจ็บหน้าอกข้างซ้าย มาฝากกันค่ะ เจ็บหน้าอกข้างซ้าย เป็นสัญญาณอันตรายอะไรบ้าง อาการเจ็บหน้าอกข้างซ้าย อาจเป็นสัญญาณสุขภาพได้หลายประการ ดังนี้ กรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อน เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่มักจะก่อให้เกิด อาการเจ็บหน้าอกข้างซ้าย เพราะเมื่อกรดในกระเพาะอาหารถูกตีกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารจะก่อให้เกิดอาการเสียดหรือเจ็บที่บริเวณหน้าอกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง หรือข้างซ้ายอย่างเดียว และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ มีอาการแสบร้อนกลางอก กลืนอาหารลำบาก มีรสเปรี้ยวในปากและลำคอ อาการปวดเค้นหัวใจ อาการปวดเค้นหัวใจ หรืออาการเจ็บหน้าอก ที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนจากเลือดไม่เพียงพอ จึงก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บ ปวด แน่นที่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บหน้าอกชนิด Angina ไม่ถือว่าเป็นโรค แต่เป็นอาการโดยทั่วไปของปัญหาสุขภาพหัวใจ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด หากมีอาการเจ็บหน้าอกหรือรู้สึกปวดเค้นที่หัวใจข้างซ้าย ควรหาโอกาสไปพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย หัวใจวาย อาการหัวใจวายเกิดจากการที่หัวใจได้รับออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิด อาการเจ็บหน้าอกข้างซ้าย ซึ่งสามารถมีอาการเจ็บหน้าอกได้หลายกรณี ได้แก่ เจ็บหน้าอกข้างซ้ายอย่างช้า ๆ หรือเจ็บหน้าอกข้างซ้ายขึ้นมาอย่างทันทีทันใด และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ รู้สึกปวดแน่นที่หน้าอก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ของขวัญเพื่อสุขภาพ ไอเดียเก๋ ๆ รับเทศกาลคริสต์มาสและวันปีใหม่

เสียงเพลงคริสต์มาสและเพลงปีใหม่เริ่มบรรเลงกันตั้งแต่ต้นเดือนแบบนี้ ก็เป็นสัญญาณแล้วว่าช่วงเวลาแห่งการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้แวะเวียนเข้ามาทักทายเราอีกครั้งแล้ว ถือเป็นเทศกาลที่หลาย ๆ คนรอคอยที่จะได้ตอบรับและส่งต่อความสุขไปยังผู้อื่น ผ่านของขวัญ ของกำนัลต่าง ๆ แต่ว่าการให้ของขวัญแบบเดิม ๆ อาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แถมของบางอย่างที่ได้รับมาปีที่แล้ว ปีนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลย จะดีกว่าไหมถ้าเราจะให้ของขวัญที่มีความหมายดี ๆ ใช้งานได้จริง และดีต่อสุขภาพของผู้รับด้วย Hello คุณหมอ ขอเสนอ 8 ไอเดีย ของขวัญเพื่อสุขภาพ ต้อนรับ วันคริสต์มาสและวันปีใหม่ เป็นแนวทางให้คุณผู้อ่านได้นำไปปรับใช้ แต่จะมีไอเดียอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย 8 ไอเดีย ของขวัญเพื่อสุขภาพ รับเทศกาลคริสต์มาสและวันปีใหม่ 1.ถั่ว หนึ่งในของขวัญ วันคริสต์มาสและวันปีใหม่ ที่ง่ายและได้ประโยชน์ต่อสุขภาพแบบไม่ต้องคิดมากเลยก็คือการให้ธัญพืชเป็นของขวัญ โดยเฉพาะธัญพืชจำพวกถั่ว ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ เพราะอัดแน่นไปด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์ วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด จากผลการวิจัยพบว่า การรับประทานถั่วมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น คริสต์มาสและปีใหม่นี้ ลองเลือกถั่วดี ๆ ให้คนที่คุณรักกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย หรือพิสตาชิโอ จะแบบอบแห้ง หรือแบบเคลือบช็อกโกแลตก็ได้เหมือนกัน แต่ให้ดีควรเลือกแบบที่ไม่ปรุงรสจะดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยงกรณีถั่วปรุงรสด้วยน้ำตาลหรือเกลือ ซึ่งเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือด […]


อาการของโรค

กลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์ก (Waardenburg Syndrome)

หากคุณลองสังเกตตนเอง หรือบุคคลรอบข้างแล้วพบว่า ดวงตา และผิวหนังมีการเปลี่ยนสี พร้อมทั้งมีการทำงานของระบบประสาทไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ก็สามารถเป็นไปได้ว่าสัญญาณแรกเริ่มของอาการ กลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์ก (Waardenburg Syndrome) และอาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย รวมถึงเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คำจำกัดความกลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์ก (Waardenburg Syndrome) คืออะไร กลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์ก หรือวาร์เดนเบิร์กซินโดรม คือ ภาวะทางพันธุกรรมที่เรียกได้ว่าค่อนข้างค้นพบได้ยากในบุคคลทั่วไป ซึ่งมักมีผลต่อผิวหนัง และดวงตา ทำให้เกิดการเปลี่ยนสีที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งโรคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ด้วยกัน โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ ประเภทที่ 1 เป็นประเภทที่ผู้ป่วยอาจประสบได้บ่อยมากที่สุด ซึ่งผู้ที่ประสบกับประเภทนี้มักจะมีดวงตาโตเบิกกว้าง พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนสีจาก ดำ น้ำตาล เป็นสีฟ้าซีด อีกทั้งยังอาจทำให้พวกเขานั้นเกิดการสูญเสียการได้ยินร่วม ประเภทที่ 2  ลักษณะอาการทั่วไปค่อนข้างคล้ายคลึงกับประเภทที่ 1 แต่ผู้ป่วยอาจไม่มีดวงตาที่เบิกกว้างมากนัก และยังอาจประสบกับภาวะการสูญเสียการได้ยินได้มากกว่า ประเภทที่ 3 ผู้ป่วยประเภทนี้มักมีอาการในประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ร่วม แต่อาจสามารถประสบกับภาวะอื่นแทรกซ้อนเข้ามาด้วย เช่น ความผิดปกติของนิ้วมือ เพดานในช่องปากโหว่ เป็นต้น ประเภทที่ 4 นอกจากจะมีปัญหาทางการได้ยินแล้ว เซลล์ของระบบประสาทของผู้ป่วยอาจมีการทำงานได้ไม่เต็มที่ จนส่งผลกระทบต่อระบบของลำไส้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องผูกอยู่บ่อยครั้งได้ กลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์ก สามารถพบบ่อย ได้เพียงใด กลุ่มอาการวาร์เดนเบิร์กซินโดรมนี้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

5 คุณประโยชน์จาก กาแฟดำ หอม ละมุน แถมดีต่อสุขภาพ

กาแฟดำ (Black Coffee) ถึงแม้จะมีรสชาติที่ขมและฝาด แต่มันก็มีเสน่ห์จนทำให้หลายคนติดอกติดใจ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย บทความนี้ Hello คุณหมอ จึงเอาใจคอกาแฟ ด้วยการนำประโยชน์ของกาแฟดำ มาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น  เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมละคะว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง  เอาล่ะ! เรามาดูไปพร้อมกันเลย ทำความรู้จัก กาแฟดำ  (Black Coffee)               กาแฟดำ มีรสชาติและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ป้องกันตับ ส่งสริมการลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากาแฟดำจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพเพียงใด แต่เราควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน เราไม่ควรรับประทานกาแฟมากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณเป็นคนติดกาแฟ ควรจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟไม่ให้เกิน 4 ถ้วย ต่อวัน เพราะหากดื่มมากจนเกินไป ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน โภชนาการ กาแฟดำปริมาณ 8 ออนซ์ มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการ ดังต่อไปนี้ พลังงาน 2 แคลอรี่ โปรตีน 0 กรัม ไขมัน 0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม ไฟเบอร์ 0 กรัม น้ำตาล 0 กรัม โซเดียม (Sodium) 5 มิลลิกรัม   5 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โพลีฟีนอล สารประกอบจากธรรมชาติ ที่ดีต่อสุขภาพ

โพลีฟีนอล (Polyphenol) เป็นสารประกอบเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่พบในพืช ผักและผลไม้  มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ  เรามาดูกันค่ะว่า สารประกอบโพลีฟีนอลนั้นมีอยู่ในพืชผักชนิดไหนบ้าง และจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้คุณค่ะ ทำความรู้จัก สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) โพลีฟีนอล (Polyphenol) เป็นสารประกอบเคมีประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่พบใน พืช ผัก ผลไม้ โดยรวมสารเคมีเหล่านี้เรียกว่า สารพฤกษเคมี (Phytochemical) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เป็นสารประอบของโพลีฟีนอลประมาณ 60% พบได้ในผลไม้แอปเปิ้ล หัวหอม กะหล่ำปลีแดง เป็นต้น กรดฟีนอลิก (Phenolic acid) เป็นสารประอบของโพลีฟีนอลประมาณ 30% พบได้ในผัก ผลไม้ ธัญพืช โพลีฟีนอลเอไมด์ (Polyphenolic amides) ส่วนมากพบได้บ่อยใน พริก ข้าวโอ๊ต โพลีฟีนอล อื่น ๆ (Other polyphenols) ส่วนมากพบในเมล็ดธัญพืช เมล็ดงา อาหารและผักผลไม้ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน