น้ำมันตับปลา อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามินเอ วิตามินดี อย่างไรก็ตาม ก่อนรับประทานควรศึกษาให้ละเอียดว่า น้ำมันตับปลา ช่วยอะไร และมีข้อควรระวังอย่างไร รวมถึงปรึกษาคุณหมอก่อนรับประทานเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ
[embed-health-tool-bmi]
น้ำมันตับปลา คืออะไร
น้ำมันตับปลา คือ น้ำมันที่สกัดจากตับปลา โดยส่วนใหญ่มักสกัดมาจากปลาค็อด ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินเอและวิตามินดี ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันปลาที่สกัดมาจากส่วนหนัง ส่วนหัวและส่วนหางของปลาทะเลน้ำลึก ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันหรือดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid: DHA) ดังนั้น ก่อนเลือกรับประทาน “น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา” จึงควรศึกษาให้ละเอียดว่า น้ำมันตับปลา ช่วยอะไรหรือขอคำแนะนำจากคุณหมอก่อนรับประทาน
น้ำมันตับปลา ช่วยอะไร
น้ำมันตับปลา อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณของน้ำมันตับปลาในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้
-
อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
น้ำมันตับปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดีที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอาจช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
จากการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cureus ปี พ.ศ. 2564 ที่ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของน้ำมันตับปลาในการป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งทำการศึกษาในผู้ป่วย 870 ราย ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 จนถึง พ.ศ. 2564 โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่รับประทานน้ำมันตับปลา 415 มิลลิกรัม/วัน และกลุ่มที่รับยาหลอก แล้วติดตามผลเป็นเวลา 12 เดือนหรือจนกว่าจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด พบว่า ผู้ป่วยที่รับประทานน้ำมันตับปลามีความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างยังไม่แสดงให้เห็นชัด และยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจบทบาทของน้ำมันตับปลาในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
-
อาจช่วยป้องกันโรคต้อหิน
น้ำมันตับปลา อาจช่วยป้องกันโรคต้อหินที่ส่งผลให้การมองเห็นบกพร่องและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตาบอดได้ จากการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Ophthalmology เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำมันตับปลาในการป้องกันโรคต้อหิน พบว่า น้ำมันตับปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อาจมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในดวงตาและลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการลุกลามของโรคต้อหิน อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของน้ำมันตับปลาและโรคต้อหิน เพื่อนำไปใช้ในการรักษาโรคต้อหินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
อาจช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
การรับประทานน้ำมันตับปลาที่อุดมไปด้วยวิตามินดีอาจช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน จากการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition เมื่อปี พ.ศ. 2553 ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีต่อสุขภาพกระดูก พบว่า วิตามินดีมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซึมแคลเซียมจากอาหาร ที่อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็ก ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูงอย่างน้ำมันตับปลาจึงอาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงได้
-
อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
น้ำมันตับปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อาจช่วยบำรุงสมอง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ให้มีสมาธิจดจ่อมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2563 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสำคัญของโอเมก้า 3 ต่อการพัฒนาสมอง รวมถึงการรักษาและป้องกันความผิดปกติทางพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางสมองอื่น ๆ พบว่า กรดโอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อการพัฒนาการของสมอง ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมาธิสั้น โรคสมองเสื่อม อีกทั้งยังปล่อยสารสื่อประสาทในสมองที่อาจช่วยปรับอารมณ์ในผู้ป่วยออทิสติก ช่วยลดอารมณ์แปรปรวน และอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคอารมณ์สองขั้ว โรคซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้
ข้อควรระวังการรับประทานน้ำมันตับปลา
การรับประทานน้ำมันตับปลาในรูปแบบอาหารเสริม ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำที่ระบุข้างฉลากผลิตภัณฑ์ เนื่องจากตับปลามีคอเลสเตอรอลสูง หากรับประทานมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง เสียดท้อง คลื่นไส้ เพิ่มโอกาสการตกเลือด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รับประทานยาวาร์ฟาริน (Warfarin) และผู้ที่กำลังเข้ารับการผ่าตัดหรืออยู่ในช่วงพักฟื้นหลังจากการผ่าตัด
สำหรับสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร น้ำมันตับปลาอุดมไปด้วยวิตามินดีที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามที่คุณหมอกำหนด ไม่ควรรับประทานน้ำมันตับปลาที่ให้วิตามินเอเกิน 3000 ไมโครกรัม และวิตามินดีเกิน 100 ไมโครกรัม เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์
นอกจากนี้ ไม่แนะนำให้รับประทานน้ำมันตับปลาเพียงอย่างเดียว ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ ร่วมด้วยให้ครบ 5 หมู่ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน