-
อาจช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย
อาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะหากร่างกายคาร์โบไฮเดรตอาจส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง อ่อนเพลียง่าย น้ำหนักลดลงกะทันหัน วิงเวียนศีรษะและเป็นลมหมดสติได้
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The American Journal of Clinical Nutrition เมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ศึกษาเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต พบว่า คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่ผ่านการย่อยของร่างกายเปลี่ยนเป็นกลูโคสและซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญต่อเซลล์ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ แต่หากมีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นไกลโคเจนสะสมในตับและกล้ามเนื้อเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทไฟเบอร์เพื่อช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายและควรออกกำลังกายสม่ำเสมอร่วมด้วยเพื่อเผาผลาญน้ำตาลในเลือดและไขมันที่สะสมไว้ในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด
-
อาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง
อาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุสำคัญและไขมันดีที่อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งบางชนิด
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The bmj ปี พ.ศ. 2561 ที่ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของคาร์โบไฮเดรตในอาหารต่อโรคเรื้อรัง พบว่า คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานหลักแก่ร่างกายและอาจช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ควรเลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการขัดสี อย่างผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ผัก พืชตระกูลถั่ว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและไขมันดี เช่น ส้ม บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ ฝรั่ง สับปะรด มะเขือเทศ อะโวคาโด ผักคะน้า กะหล่ำ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และอัลมอนด์
ข้อควรระวังการรับประทาน อาหารคาร์โบไฮเดรต
การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรต อาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแต่หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปหรือเลือกรับประทานไม่ถูกประเภท โดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลสูง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลในคุกกี้ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เป็นต้น ก็อาจส่งผลเสียที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ร่างกายได้รับแคลอรี่มากเกินไป ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันอุดตันในหลอดเลือด ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลให้น้อยกว่า 10% ของแคลอรี่ที่กำหนดต่อวัน และควรเลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีใยอาหารสูง ไขมันดี และน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นม ชีสและโยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดพฤติกรรมการกินจุบกินจิบ
นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ วันละ 30 นาที เช่น ทำงานบ้าน วิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลเพื่อนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพควรขอคำปรึกษาจากคุณหมอเพื่อรับแผนการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสม
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย