backup og meta

อาการโรคเอดส์ สาเหตุ การรักษาและวิธีป้องกัน

อาการโรคเอดส์ สาเหตุ การรักษาและวิธีป้องกัน

อาการโรคเอดส์ คือ อาการของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะสุดท้าย ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนมากมายจนอาจนำไปสู่การเสียชีวิต โดยปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดแต่มีวิธีที่ช่วยบรรเทา อาการโรคเอดส์ อีกทั้งยังควรศึกษาการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและการแพร่กระจายไวรัสเอชไอวีไปยังบุคคลอื่น

[embed-health-tool-ovulation]

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการโรคเอดส์

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการโรคเอดส์ อาจเกิดจากร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวีจากคู่นอนที่ติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน รวมถึงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ การรับเลือดจากผู้ติดเชื้อการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะคลอดบุตรในมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีและการให้นมบุตรจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี

ไวรัสเอชไอวีจะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งหากร่างกายมีเซลล์ซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร ก็อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณเตือนของอาการโรคเอดส์

สัญญาณเตือนของอาการโรคเอดส์มักจะเกิดขึ้นในระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยในระยะที่ 1 ของการติดเชื้ออาการจะปรากฏภายใน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอาการคล้ายไข้หวัด และอาจหายได้เอง เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เชื้อไวรัสจะยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและเข้าสู่ช่วงระยะสุดท้าย คือระยะเอดส์ หรือที่เรียกว่าโรคเอดส์ ที่อาจทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการดังนี้

  • มีไข้นานกว่า 10 วัน
  • ท้องเสียนานกว่า 1 สัปดาห์
  • ผื่นที่ผิวหนัง รวมถึงภายในปาก จมูก เปลือกตาที่ปรากฏเป็นจุดสีขาว ชมพู น้ำตาล แดง หรือม่วง
  • มีแผลในปาก ทวารหนัก และรอบ ๆ อวัยวะเพศ
  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • หายใจถี่
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบบวมเป็นเวลานาน
  • รอยช้ำบนผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีอาการทางระบบประสาท เช่น ซึมเศร้า ความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ มีปัญหาการทรงตัว
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง

การรักษาอาการโรคเอดส์

โรคเอดส์ไม่สามารถให้หายขาด แต่มีวิธีที่ช่วยลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ด้วยยาต้านไวรัส โดยยาต้านไวรัสที่คุณหมอกำหนดให้ผู้ป่วยใช้อาจพิจารณาตามอาการของแต่ละบุคคล ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • กลุ่มยาเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ (NNRTIs) เช่น เอฟฟาไวเร็นซ์ (Efavirenz) ริวพิไวรีน (Rilpivirine) โดราไวรีน (Doravirine) เพื่อช่วยลดปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวี และลดโอกาสที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • กลุ่มยาเอ็นเอาร์ทีแอลเอส (NRTIs) เช่น เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) ลามิวูดีน (Lamivudine) ไซโดวูดีน (Zidovudine) อบาคาเวียร์ (Abacavir) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เพื่อช่วยลดปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวี ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเอดส์และลดความเสี่ยงแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
  • สารอินทีเกรส (Integrase) เช่น เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เพื่อช่วยลดปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวี ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  • สารยับยั้งป้องกันเชื้อไวรัสเข้ามาในเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น มาราวิร๊อค (Maraviroc) เอ็นฟูเวอร์ไทด์ (Enfuvirtide) เพื่อช่วยบรรเทาอาการจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและลดปริมาณไวรัส ที่นำไปสู่การลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนและระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • สารยับยั้งโปรตีเอสเอชไอวี เช่น อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) ดารูนาเวียร์ (Darunavir) เพื่อช่วยควบคุมการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น

วิธีป้องกันอาการโรคเอดส์

วิธีป้องกันอาการโรคเอดส์ อาจทำได้ดังนี้

  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ไม่ควรมีคู่นอนหลายคน เพราะอาจเสี่ยงได้รับเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น หูด เริม ซิฟิลิส หนองในแท้และหนองในเทียม
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือดได้
  • สังเกตอาการของการติดเชื้อเอชไอวี และเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเป็นโรคติดต่อสัมพันธ์มาก่อนและสตรีตั้งครรภ์
  • ใช้ยาเพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องใช้ยาเพ็พภายใน 72 ชั่วโมง และใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลา 28 วัน หรือตามที่คุณหมอกำหนด
  • ใช้ยาเพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ โดยควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจหาเชื้อก่อนใช้
  • ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หยุดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์อาจจำเป็นต้องรับประทานยาตามที่คุณหมอกำหนดร่วมด้วยและไม่ควรหยุดยาเอง เพราะโรคเอดส์จำเป็นต้องได้รับยาตลอดชีวิต เพื่อลดจำนวนไวรัส นำไปสู่การบรรเทาอาการโรคเอดส์

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

HIV/AIDS. https://medlineplus.gov/hivaids.html.Accessed February 01, 2023

HIV . https://www.cdc.gov/hiv/basics/whatishiv.html.Accessed February 01, 2023

HIV/AIDS. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hiv-aids/symptoms-causes/syc-20373524.Accessed February 01, 2023

HIV Symptoms. https://www.webmd.com/hiv-aids/understanding-aids-hiv-symptoms.Accessed February 01, 2023

Symptoms-HIV and AIDS. https://www.nhs.uk/conditions/hiv-and-aids/symptoms/.Accessed February 01, 2023

How Can You Tell If You Have HIV?. https://www.hiv.gov/hiv-basics/overview/about-hiv-and-aids/symptoms-of-hiv.Accessed February 01, 2023

เวอร์ชันปัจจุบัน

14/07/2023

เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

ตุ่มเอดส์ อาการเมื่อติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์

อาการโรคเอดส์ผู้ชาย สังเกตอย่างไร


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์

สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 14/07/2023

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา