สุขภาพระบบทางเดินอาหาร

ระบบย่อยอาหาร คือหนึ่งในระบบที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เนื่องจากร่างกายของเราจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอาหาร เพื่อการทำงานที่เป็นปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ สุขภาพระบบทางเดินอาหาร ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพระบบทางเดินอาหาร

อาการไส้ติ่ง เริ่มต้นจะเป็นอย่างไร อาการไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากอะไร

อาการไส้ติ่ง ที่บ่งบอกว่า ร่างกายอาจกำลังเกิดอาการไส้ติ่งอักเสบ หรืออาจร้ายแรงได้ถึงอาการไส้ติ่งแตก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ถ้าไม่สังเกตร่างกายให้ดีและพบคุณหมอเสียแต่เนิ่น ๆ [embed-health-tool-bmi] สาเหตุของโรคไส้ติ่งอักเสบ  ไส้ติ่งสามารถเกิดภาวะการอักเสบได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะไส้ติ่งเกิดภาวะการอักเสบจากการอุดตันภายใน เช่น  เศษอุจจาระขนาดเล็กที่ทำให้ไส้ติ่งเกิดการติดเชื้อและบวมขึ้น เมื่ออุจจาระ ของเสีย สิ่งแปลกปลอม หรือก้อนเนื้อมะเร็ง ได้อุดตันในไส้ติ่งจะทำให้เกิดแบคทีเรียสะสม อาจเกิดอาการเลือดคั่ง จนกระจายไปที่ผนังไส้ติด ทำให้เกิดภาวะการอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย รวมถึงต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง จนขยายตัวขึ้นไปปิดกั้นไส้ติ่ง ทำให้เกิดอาการไส้ติ่งอักเสบได้ บางกรณีเกิดได้จากการรับประทานเนื้อสัตว์ไม่สุก เช่น เนื้อวัวหรือเนื้อควายดิบ ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคพยาธิตัวตืดวัวควาย จากการกินตัวอ่อนพยาธิหรือเม็ดสาคู เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยในลำไส้ ลำตัวจะเป็นปล้อง ๆ แล้วปล้องสุกจะหลุดออกมากับอุจจาระ ปล้องสุกที่หลุดออกมาอาจเข้าไปในไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งอักเสบได้ อาการไส้ติ่ง เริ่มต้นเป็นอย่างไร อาการไส้ติ่ง พบได้กับทุกเพศทุกวัย ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความผิดปกติก็ต่อเมื่อเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) แล้ว ทำให้ร่างกายค่อย ๆ แสดงอาการเมื่อไส้ติ่งเริ่มอุดตัน เช่น  เกิดอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลันที่บริเวณรอบสะดือ  ระยะต่อมา เมื่อไส้ติ่งเริ่มบวมจะลุกลามไปปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หรือปวดที่ท้องด้านล่างขวา เนื่องจากการอักเสบที่ลุกลามมากขึ้น จะรู้สึกเจ็บบริเวณที่ไส้ติ่งมากขึ้น ขณะลุกเดิน เคลื่อนไหวร่างกาย หรือแม้กระทั่งไอและจาม มีไข้ จุกแน่นท้อง  คลื่นไส้ […]

สำรวจ สุขภาพระบบทางเดินอาหาร

สุขภาพระบบทางเดินอาหาร

ปวดท้องข้างซ้าย บ่อย ๆ เกิดจากอะไร เป็นสัญญาณโรคร้ายหรือไม่

ปวดท้องข้างซ้าย เป็นอาการที่พบได้บ่อย สามารถแบ่งได้เป็น อาการปวดท้องข้างซ้ายส่วนบน และอาการปวดท้องข้างซ้ายส่วนล่าง อาการนี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน และในบางกรณี ก็อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น ตับอ่อนอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หากมีอาการปวดท้องข้างซ้าย จึงควรรีบไปพบคุณหมอ เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม [embed-health-tool-bmi] อาการ ปวดท้องข้างซ้าย เกิดจากอะไรได้บ้าง การปวดท้องที่บริเวณด้านซ้ายหรือชายโครงทางด้านซ้าย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุปัจจัย และมีความอันตรายที่มากน้อยแตกต่างกันไป ดังนี้  โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)  อาการปวดท้องของคุณ อาจมีสาเหตุมาจากโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis) ซึ่งเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบบริเวณกระเปาะในลำไส้ใหญ่ เมื่อมีอาการของโรคนี้ ก็จะมีอาการปวดท้องบริเวณข้างซ้าย มีไข้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียน และมีอาการกดเจ็บที่ช่องท้อง อาหารไม่ย่อย ในช่วงที่กำลังรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว หลายคนอาจเกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และปวดท้องขึ้นมา โดยอาจมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน เพราะชอบกินอาหารที่ย่อยยาก จึงส่งผลให้มีอาการปวดท้อง กรดไหลย้อน วิงเวียนศีรษะ เรอหรือตด โรคไส้เลื่อน อาการไส้เลื่อน เกิดจากการที่ลำไส้มีการเคลื่อนตัวผ่านหนังช่องท้องไปยังบริเวณต่าง ๆ เช่น บริเวณขาหนีบ กระบังลม เชิงกราน หรือสะดือ ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง มีก้อนบวมนูนออกมาในบางจุดที่ลำไส้เคลื่อนตัวไปถึง และหากมีอาการปวดท้องเนื่องจากอาการไส้เลื่อน ควรไปพบคุณหมอ โรคนิ่วในไต หากคุณเป็นโรคนิ่วในไต ก้อนนิ่วอาจทำให้คุณมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

สีของอุจจาระ สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพได้บ้าง

โดยปกติแล้วคนเรามักไม่ค่อยได้สังเกตสีอุจจาระของตัวเอง แต่ความจริงแล้ว สีของอุจจาระ นั้น สามารถบ่งบอกเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้ ดังนั้นวันนี้ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำบทความเรื่องนี้มานำเสนอให้ทุกคนได้ศึกษากัน อุจจาระปกติ ควรมีลักษณะเป็นอย่างไร โดยปกติแล้วสีอาจจุระของคนทั่วมักจะมีความหลากหลาย และแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่มีกฎบางอย่างที่คุณอาจจะต้องปฏิบัติตาม เพื่อการประเมินผลสุขภาพที่ดี ดังนี้ สี โดยปกติอุจจาระของคนที่มีสุขภาพปกติจะต้องมีสีน้ำตาล นั่นก็เนื่องมาจาก บิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นสารประกอบเม็ดสีที่เกิดจากการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายนั่นเอง รูปร่าง สำหรับรูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขนาด ขนาดของอุจจาระไม่ควรออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ แต่ควรมีความยาวไม่กี่นิ้ว และสามารถขับถ่ายออกมาได้ง่าย ความมั่นคง มันควรออกมาแบบมั่นคงและนุ่มนวล ถ้ามีการแกว่งไปแกว่งมานั่นอาจจะปัญหาของการย่อยอาหาร หรือเส้นใยบางอย่าง ระยะเวลา คนที่มีสุขภาพดีจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเข้าไปขับถ่าย ระยะเวลามาตรฐานควรใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาที ความถี่ โดยเฉลี่ยแล้วคนที่มีการย่อยอาหารที่ดีจะขับถ่ายที่ใดก็ได้ระหว่างวันเว้นวัน หรือ 3 ครั้งต่อวัน ผู้ที่มีอาการท้องผูกน้อย นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณต้องการน้ำเพิ่ม เพื่อการขับถ่ายนั่นเอง สีของอุจจาระ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพราะสาเหตุใด สีของอุจจาระ สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลายสาเหตุ การเปลี่ยนแปลงอาจสะท้อนให้เห็นถึงสารหรืออาหารบางอย่างที่ถูกเพิ่มลงในอุจจาระ หรือการเปลี่ยนแปลงสารบางชนิดที่มีอยู่ในอุจจาระอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงสีของอุจจาระบางอย่างอาจสื่อถึงเรื่องเกี่ยวกับสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น การบริโภคอาหาร  การใช้ยาบางชนิด และอื่นๆ สาเหตุที่อุจจาระเปลี่ยนสีอาจจะมีสาเหตุมาจากสิ่งต่างๆ ดังนี้ โรคริดสีดวงทวาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในส่วนล่างของลำไส้หรือลำไส้ใหญ่ ผักบางชนิดที่มีสีเข้ม สีผสมอาหาร โดยฉพาะ สีแดง สีเขียว สีม่วง ยาที่มีส่วนผสมของบิสมัส เช่น เป็ปโต-บิสมอล® (Pepto-Bismol®) การอุดตันทางเดินน้ำดี เนื้องอก โรคปอดเรื้องรัง ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง การอุดตันของท่อตับอ่อนที่นำเอ็นไซม์ไปยังลำไส้ (ส่วนใหญ่เกิดจากมะเร็งตับอ่อน) โรคช่องท้อง อาหารที่มีไขมันสูง ยาลดน้ำหนักที่จำกัด […]


ท้องร่วง

อาการท้องร่วงของนักเดินทาง (Traveler's Diarrhea) โรคระบบทางเดินอาหารของนักท่องเที่ยว

เรื่องอาหารการกินถือเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากของเหล่านักเดินทาง แต่บางครั้งอาหารต่างสถานที่ก็อาจจะไม่ถูกกับระบบย่อยอาหารของคุณก็เป็นได้ จนส่งผลทำให้เกิด อาการท้องร่วงของนักเดินทาง ขึ้นมา ดังนั้น ก่อนที่จะเดินทางไปไหน ลองมาศึกษาบทความของ Hello คุณหมอ กันก่อนดีกว่า อาการท้องร่วงของนักเดินทาง (Traveler’s Diarrhea) คืออะไร อาการท้องร่วงของนักเดินทาง (Traveler’s Diarrhea) คือการติดเชื้อในลำไส้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการกินอาหาร ดื่มน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาหารไม่ยอมล้างมือให้สะอาดหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็จะทำให้สามารถแพร่เชื้อไปยังอาหารที่นักเดินทางกินได้เช่นกัน สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการท้องร่วงของเหล่านักเดินทาง ก็ได้แก่ ประเทศกำลังพัฒนาในแถบแอฟริกา ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ เม็กซิโก และเอเชียส่วนใหญ่ ยกเว้นญี่ปุ่น ซึ่งความเสี่ยงของการติดเชื้อก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทของการสัมผัส ถ้าคุณกินอาหารที่ร้อนๆ อาหารปรุงสุก และเครื่องดื่มที่ปิดนึกอย่างดีจากโรงงาน ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องร่วงค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าคุณกินผักสด ผลไม้ และน้ำประปา ก็อาจจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการท้องร่วงได้ ซึ่งเชื้อที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงก็คือ เชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli) นั่นเอง อาการของอาการท้องร่วงของนักเดินทาง (Traveler’s Diarrhea) ที่เกิดขึ้น อาการท้องร่วงของนักเดินทางนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะถ่ายเป็นน้ำและมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งอาการนี้จะเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุด แต่ความจริงแล้วยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ซึ่งอาการที่ปรากฏก็จะมีดังนี้ วิงเวียน อาเจียน ไข้ ท้องอืด มีก๊าซในท้องมากเกินไป เบื่ออาหาร มีความจำเป็นที่จะต้องถ่ายอุจจาระด่วน อาการที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามหากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย แนะนำว่าควรรีบเข้ารับการรักษาจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งอาการต่างๆ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ตดเหม็น เกิดจากอะไร และควรแก้ไขอย่างไร

การผายลมหรือตด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งตดเกิดจากแก๊สในลำไส้ถูกส่งออกทางทวารหนักเป็นระยะ ๆ โดยเฉลี่ยคนเราจะตดประมาณ 14 ครั้ง/วัน และส่วนใหญ่จะไม่มีกลิ่นและเสียง แต่บางคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า ตดเหม็น เกิดจากอะไร สำหรับกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ที่ออกมาพร้อมกับตด อาจเกิดจากอาหารที่รับประทาน เช่น อาหารที่มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ กลิ่นตดยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบย่อยอาหารบางอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคลำไส้แปรปรวน [embed-health-tool-bmi] สาเหตุที่ทำให้ผายลมหรือตด การผายลมหรือตด เกิดจากแก๊สในร่างกายมีปริมาณสูง จึงถูกส่งออกทางทวารเป็นระยะ ๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยคนเราจะตดประมาณ 14 ครั้ง/วัน นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ การสูดอากาศ เนื่องจากร่างกายสูดเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายวันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนดื่มน้ำ ตอนกำลังเคี้ยวอาหาร หรือแม้แต่ตอนพูด ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผายลมหรือตดได้ แบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไป ปัญหานี้อาจเกิดจากสุขลักษณะนิสัยในการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคตับ โรคลำไส้อักเสบ โรคแพ้กลูเตน (Coeliac Disease)  คาร์โบไฮเดรตยังไม่ถูกย่อย ในบางครั้งคาร์โบไฮเดรตไม่ได้ถูกย่อยด้วยเอนไซม์ในลำไส้เล็ก เมื่อคาร์โบไฮเดรตถูกลำเลียงผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียที่อยู่ในอาหารประเภทนั้นก็จะกลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแก๊สเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องการการลำเลียงออกไปยังที่ใดที่หนึ่ง […]


ท้องร่วง

อาการท้องร่วง ต้นเหตุจากไวรัสโรต้า (Rotavirus)

เมื่อเกิด อาการท้องร่วง โดยส่วนใหญ่แล้วคนมักจะนึกถึงเรื่องการทานอาหารเป็นสาเหตุหลัก แต่ความจริงแล้วต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงจริงๆ มาจากไวรัสโรต้า แต่เจ้าไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องไปติดตามบทความนี้ของทาง Hello คุณหมอกัน ไวรัสโรต้า (Rotavirus) ตัวการของ อาการท้องร่วง เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบว่าไวรัสโรต้า (Rotavirus) นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม โดยไวรัสชนิดนี้จะแพร่กระจายได้ง่าย จึงทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ ผลที่ตามมาก็คือเกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียน มีไข้ ปวดท้อง และเกิดภาวะขาดน้ำในทารก เด็ก และผู้ใหญ่บางคน ไวรัสโรต้า เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอาการท้องร่วง มักพบมากที่สุดในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ทั้งยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 215,000 รายต่อปี แม้การติดเชื้อไวรัสโรต้าจะยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยา แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน รวมทั้งเมื่อเกิดอาการแล้วก็ยังสามารถรักษาเชื้อชนิดนี้ได้ด้วยของเหลวชนิดพิเศษ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ เนื่องจากบางครั้งการขาดน้ำอย่างรุนแรงจะส่งผลต่อของเหลวในหลอดเลือดดำ จึงจำเป็นต้องเพิ่มของเหลวให้กับหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับไวรัสชนิดนี้ อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ไวรัสโรต้า นั้นสามารถแพร่กระจายได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งอาการที่แสดงออกมีดังนี้ ไวรัสโรต้าในเด็ก อาการของไวรัสโรต้ามักจะโดดเด่นมากที่สุดในเด็ก จากรายงานของ Mayo Clinic อาการสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 2 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งอาการที่พบบ่อยที่สุดก็คือท้องเสียอย่างรุนแรง นอกจากนั้นยังมีอาการเหล่านี้ประกอบอีกด้วย อาเจียน อุจจาระสีดำ อุจจาระมีเลือดหรือหนองในตัว อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ไข้สูง มีความหงุดหงิด ร่างกายขาดน้ำ ปวดท้อง ภาวะขาดน้ำถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุดในเด็ก ซึ่งภาวการณ์ขาดน้ำมักจะเกิดจากการอาเจียนและท้องเสีย สำหรับวิธีสังเกตุอาการภาวะขาดน้ำ ก็คือ ปากแห้ง ผิวเย็น เมื่อร้องไห้จะไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความถี่ในการปัสสาวะน้อยลง เบ้าตาลึก ไวรัสโรต้าในผู้ใหญ่ สำหรับผู้ใหญ่แล้วเมื่อได้รับไวรัสโรต้าก็อาจจะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพที่ดี เมื่อติดเชื้อไวรัสโรต้าก็อาจจะไม่พบอาการใดๆ […]


โรคริดสีดวงทวาร

เคล็ดลับปรับ ไลฟ์สไตล์ ห่างไกล โรคริดสีดวง

เกือบสามในสี่ของผู้ใหญ่อาจจะเคยเป็นโรคริดสีดวงมาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต อาการบวมของหลอดเลือดภายในลำไส้ตรงส่วนล่างนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เราต้องทรมานกับอาการปวดและอาการคันระหว่างการขับถ่ายแล้ว แต่ยังอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัวในบริเวณทวารหนักอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย แต่โชคดีที่โรคนี้สามารถจัดการได้โดยการปรับ ไลฟ์สไตล์ ป้องกัน โรคริดสีดวง เทคนิคการปรับ ไลฟ์สไตล์ ป้องกัน โรคริดสีดวง 1. เข้าห้องน้ำเวลาที่รู้สึกปวด แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะฟังดูเป็นเรื่องพื้นฐาน ที่ทุกคนเข้าใจและรับรู้ แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ไม่สนใจสัญญาณเตือนเมื่อร่างกายของตนเองต้องการขับถ่าย และกลั้นจนกว่าจะทนไม่ไหวในที่สุด พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะการอั้นไม่ยอมเข้าห้องน้ำนานๆ นั้น จะทำให้ลำไส้ของคุณ ดูดซึมน้ำและสารอาหารจากกากของเสียในลำไส้ต่อไปอีกเรื่อยๆ จนอุจจาระของคุณแข็งและแห้ง ทำให้ยากต่อการขับถ่าย และอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่โรคริดสีดวงในที่สุด 2. เลือกรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง และดื่มน้ำให้เพียงพอ คุณควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ดให้มากขึ้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหาร นอกจากนี้คุณก็ควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน คืออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ใยอาหารและน้ำจะช่วยทำให้อุจจาระของคุณนิ่มขึ้น และมีกากใยของเสียมากขึ้น ทำให้ง่ายต่อการขับถ่าย นอกจากนี้ใยอาหารจะช่วยปรับสมดุลของระบบย่อยอาหาร ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการท้องผูก และระบบขับถ่ายให้กลับมาทำงานตามปกติ และช่วยป้องกันโรคริดสีดวงได้ ผักและผลไม้ที่คุณเลือกรับประทาน ควรเลือกเป็นพืชผักที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักคะน้า บร็อคโคลี กระหล่ำปลี แครอท หัวไชเท้า แตงกวา และอื่นๆ นอกจากนี้ก็ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการขับถ่าย หรือมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เช่น มะละกอสุก กล้วยสุก การรับประทานผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูงเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคริดสีดวงได้ นอกจากนี้คุณก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีใยอาหารต่ำ เช่น แป้งขาวที่ผ่านการขัดสีแล้ว […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

เดี๋ยวท้องเสีย เดี๋ยวท้องผูก! ไม่อยาก ท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยว เราป้องกันได้

การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตในแต่ละวัน อาจทำให้เราเครียดจนทนไม่ไหว เราจึงต้องหาเวลาผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง ซึ่งกิจกรรมคลายเครียดที่คนเราชอบที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการไปเที่ยวนั่นเอง การได้ไปเที่ยวพักผ่อน ทำให้เราได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ แต่ ทริปในฝันก็อาจสลาย ไม่ราบรื่นอย่างใจหวัง เพราะดันมีปัญหา ท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยว เดี๋ยวท้องเสีย เดี๋ยวท้องผูก จนหมดสนุก Hello คุณหมอ จึงมีวิธีรับมือปัญหาท้องไส้ปั่นป่วน เวลาไปเที่ยวมาฝาก รับรองทริปต่อไปของคุณต้องสุขสันต์ลั้นลาแน่นอน วิธีรับมืออาการ ท้องไส้ปั่นป่วน ระบบย่อยพัง ตอนไปเที่ยว เทคนิคป้องกันท้องเสียตอนไปเที่ยว การกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย กินอาหารที่กระตุ้นอาการแพ้ เช่น แพ้นมแล้วไปกินผลิตภัณฑ์นม หรือกินอาหารรสจัดมากไป อาจทำให้คุณท้องเสีย ต้องวิ่งหาห้องน้ำตลอดทริป แต่วิธีเหล่านี้ช่วยป้องกันได้ ไม่บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ กินอาหารปรุงสุก และเสิร์ฟร้อนๆ ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารข้างทาง หรือเลือกร้านที่สะอาด เชื่อถือได้ ดื่มน้ำบรรจุขวดที่ผลิตได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็ง หรือควรกินน้ำแข็งที่ทำจากน้ำบรรจุขวดเท่านั้น ไม่กินผักและผลไม้ดิบโดยไม่ปอกเปลือก ทางที่ดีควรปอกเปลือกเอง และล้างให้สะอาดก่อนกิน หากคุณไปเที่ยวแล้วท้องเสีย และไม่อยากให้อาการแย่ลง ควรงดอาหารมัน อาหารไขมันสูง อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ อาหารน้ำตาลสูง รวมถึงควรงดคาเฟอีน และผลิตภัณฑ์จากนมด้วย ไม่อยากท้องผูกเวลาไปเที่ยว ทำอย่างไรดี อาการท้องผูกเวลาเดินทางไปเที่ยว ก็สร้างความลำบากให้เราได้ ไม่แพ้อาการท้องเสียเลยทีเดียว หากคุณไม่อยากท้องผูก วิธีเหล่านี้ช่วยได้ หลีกเลี่ยงการกินยาหรืออาหารเสริมที่กระตุ้นอาการท้องผูก เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดกรด […]


ท้องผูก

ท้องผูก (Constipation)

ท้องผูกคืออะไรอาการท้องผูกเป็นสภาวะที่ซึ่งหมายถึงการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่เคลื่อนไม่บ่อยนักหรือการเดินผ่านอุจจาระที่ลำบากเป็นระยะเวลานาน อาการท้องผูกโดยทั่วไปอธิบายว่ามีการเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อาการท้องผูกปกติแล้วจะหายไป หากคุณเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันของคุณ แต่อาการท้องผูกเรื้อรังจะยากขึ้นการรักษาและมักเป็นอาการสภาวะในด้านทางการแพทย์อื่น ๆ อาการท้องผูกพบบ่อยแค่ไหน บางครั้งอาการท้องผูกก็เป็นเรื่องปกติและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง เพราะอาการนี้มักจะเกิดจากอาหาร ความเครียดหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ท้องผูกเรื้อรังคือสิ่งที่ปกติ แต่มันจะเป็นสัญญาณของปัญหาที่รุนแรงกว่านั้น  อย่างไรก็ตามคนที่มีอาการที่มีความเสี่ยงต่ออาการท้องผูกมากขึ้น ได้แก่ คนที่เป็นผู้สูงอายุ โรคอ้วนตั้งครรภ์และนั่งเป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ รู้อาการอาการที่พบบ่อยและอาการท้องผูกคือ ขับถ่ายอุจจาระยาก อุจจาระแห้งหรือแข็ง การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง มีเลือดในอุจจาระหรือมีเลือดออกหลังการเคลื่อนไหวของลำไส้ รู้สึกว่าคุณไม่สามารถล้างอุจจาระได้อย่างสมบูรณ์หรือมีการอุดตัน อาการท้องผูกเรื้อรังจะพิจารณาหากคุณมีอาการเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอาการเป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน อาจมีอาการบางอย่างที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วย โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณ ควรพบหมอเมื่อไหร่คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหากคุณมีข้อใดต่อไปนี้: อาการเกิดเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ ไม่สามารถบรรเทาอาการได้จากการรักษาภายในบ้านหรือยาที่ไม่ได้สั่งโดยแพทย์ เมื่อมีเลือดอยู่ในอุจจาระ หากคุณลดน้ำหนัก อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพอื่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะไปพบแพทย์ หากคุณสงสัยว่าเป็นอาการนี้จะรุนแรงมากขึ้น รู้สาเหตุอาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากอุจจาระเดินช้ากว่าปกติ โดยจะทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง สาเหตุของอาการท้องผูกอาจรวมถึง: ไม่ได้รับประทานอาหารที่เพียงพอหรือดื่มน้ำเพียงพอ ไม่ได้ใช้งานร่างกายและนั่งอยู่ตลอดทั้งวัน กำลังตั้งครรภ์ มีความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม โรคบางอย่างอาจทำให้ท้องผูกได้เช่น โรคเบาหวาน ไฮโปไทรอยด์(ภาวะขาดไทรอยด์), โรคพาร์คินสัน, โรคหลอดเลือดสมอง, เส้นเลือดตีบหรือภาวะแคลเซียมสูงในเลือด (ภาวะที่ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานผลิตฮอร์โมน ที่ชื่อว่า ฮอร์โมนพาราทรอโมน ออกมากเกินไป) การอุดตันของลำไส้ซึ่งอาจเกิดจากมะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งในช่องท้อง หรือร่องทวารหนัก ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกเช่น ยาแก้ปวดยาลดความอ้วนและยาซึมเศร้าบางอย่าง อาการท้องผูกไม่ใช่อาการร้ายแรง เว้นเสียแต่ว่ามันมีสาเหตุมาจากสุขภาพที่ร้ายแรง คุณสามารถจัดการกับอาการท้องผูกของคุณกับการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของคุณ รู้ถึงปัจจัยเสี่ยงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตมักเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกที่ไม่รุนแรงมาก หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ คุณจะเสี่ยงต่ออาการท้องผูก: เป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุมาก เป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ อาหารที่มีเส้นใยต่ำหรือที่ถูกคายน้ำ ไม่ออกกำลังกายหรือน้อยมากที่จะออกกำลังกาย (โดยปกติคือพนักงานออฟฟิศ) มีภาวะอ้วนหรือเป็นโรคอ้วน ใช้ยาที่ก่อให้เกิดอาการท้องผูกเช่นยาแก้ปวด ยานอนหลับหรือยาความดันโลหิตสูง เข้าใจการวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลที่ได้รับไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ปรึกษากับแพทย์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม จะวินิจฉัยอาการท้องผูกได้อย่างไร แพทย์วินิจฉัยอาการท้องผูกตามประวัติทางการแพทย์รวมทั้งล่าสุด การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของคุณและยาที่คุณกำลังใช้อยู่ หมอก็จะทำการตรวจร่างกายเพื่อตรวจดูบริเวณหน้าท้องและทวารหนัก เพื่อหาปัญหาเช่น โรคริดสีดวงทวารหรือการฉีกขาดทางทวารหนัก ถ้าอุจจาระมีเลือด แพทย์ของคุณอาจทำ การส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ […]


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

โรคตับและอาการคัน เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ผิวหนังของคนเราทำหน้าที่เหมือนหน้าต่างสะท้อนสุขภาพโดยรวมที่อาจมีโรคแฝงอยู่ภายในและแสดงออกผ่านการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง อาการคันที่ผิวหนังนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงโรคที่เกิดขึ้นภายในเช่น โรคตับ แท้จริงแล้ว โรคตับและอาการคัน เป็นสัญญาณแรกของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย โรคตับและอาการคัน เกี่ยวข้องกันอย่างไร กายวิภาคตับและทางเดินน้ำดีเกิดจากระบบน้ำดีและตับ อาการคันเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดและสร้างความรำคาญมากที่สุดของโรคที่เกี่ยวกับตับและทางเดินน้ำดี อาการอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและไม่รุนแรงไปจนถึงรุนแรงและเรื้อรัง สาเหตุของอาการคันทั่วไปจากโรคตับยังไม่ทราบแน่ชัด นอกจากความเกี่ยวข้องที่ชัดเจนของอาการกับการอุดตันของทางเดินน้ำดี อาการคันจากโรคตับเกิดจากภาวะการคั่งของน้ำดี ซึ่งระดับน้ำดีเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดเนื่องจากการอุดตันของทางเดินน้ำดี เซลล์ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดี และน้ำดีไหลผ่านท่อส่งน้ำดีผ่านตับอ่อนและเข้าสู่ลำไส้เล็กทั้งหมด น้ำดีช่วยตับกำจัดของเสียและช่วยลำไส้ใหญ่ในการดูดซึมไขมันดี ตับทำให้สารพิษเป็นกลางและกรองเกลือในน้ำดี หากการทำงานนี้เกิดความผิดปกติ จะเกิดการสะสมของเกลือน้ำดี กรดน้ำดี และบิลรูบิน การสะสมของสารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและคันที่ผิวหนัง งานวิจัยยังเผยเพิ่มเติมถึงความเข้าใจของสารเคมีบางชนิดที่เป็นสาเหตุของอาการคันจากโรคตับ ซึ่งนำไปสู่วิธีการรักษาวิธีใหม่ในที่สุด ลักษณะของอาการคันที่ผิวหนังในโรคตับ อาการคันทั่วไปที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายจากโรคตับอาจเกิดขึ้นก่อนสัญญาณหรืออาการของภาวะคั่งของน้ำดีในตับ อาการคันของภาวะที่เกิดขึ้นมีลักษณะหลายประการ ส่วนใหญ่จะเกิดอาการรุนแรงบริเวณลำตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า อาการจะรุนแรงช่วงเย็นและกลางคืน จึงส่งผลต่อการนอนหลับ อีกช่วงเวลาที่อาการจะรุนแรงมากขึ้นคือช่วงที่มีประจำเดือน หรือการรักษาทดแทนฮอร์โมน การตั้งครรภ์ช่วงแรก การสัมผัสขนสัตว์และความร้อน เช่น การอาบน้ำร้อน อาการไม่ทุเลาลงโดยการเกาและมักจะไม่เกิดรอยโรคนอกจากรอยเกา ในบางครั้งรอยโรคเช่น ผื่นแดงหรือตุ่มนูนอาจเกิดขึ้นที่ผิวและมักเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาการทางผิวหนังเบื้องต้น การจัดการกับอาการคันที่ผิวหนังเนื่องจากโรคตับ อาการคันอันเนื่องมาจากโรคตับนั้นจะดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่หลังจากการรักษาการอุดกั้นการไหลเวียนของน้ำดี หากทำการรักษาสาเหตุที่แฝงอยู่ไม่ได้ การใช้ยาต่างๆ เช่น ยา คลอเลสทีรามีน (Cholestyramine) และ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) สามารถบรรเทาอาการคันได้ ยาคลอเลสทีรามีนนั้นออกฤทธิ์โดยการผสานเกลือน้ำดีในลำไส้ใหญ่เพื่อขับออกแทนที่จะดูดซึมกลับเข้าไปสู่กระแสเลือด ส่วนยาไรแฟมพิซิน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ กระตุ้นการเผาผลาญของน้ำดีในตับและสารเคมีอื่นๆ อาการคันที่เกิดขึ้นจากโรคตับมักต่อต้านการรักษา ส่งผลร้ายต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยการรบกวนการนอนหลับ และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล อีกทั้งยังนำไปสู่ความพยายามในการฆ่าตัวตายในกรณีที่เป็นรุนแรงมาก ในบางกรณี อาการคันที่หายยากในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังสามารถบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปลูกถ่ายตับแม้ว่ายังไม่ถึงขั้นตับวายก็ตาม


ปัญหาสุขภาพช่องท้องแบบอื่น

ภาวะอาเจียนเรื้อรัง (Cyclic Vomiting Syndrome)

ภาวะอาเจียนเรื้อรัง คืออะไรภาวะอาเจียนเรื้อรัง ( Cyclic vomiting syndrome หรือ CVS ) เป็นภาวะที่ทำให้มีอาการอาเจียนซ้ำๆ หลายๆ ครั้งในหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวัน เป็นอาการผิดปกติที่มีอาการอาเจียนเกิดขึ้นทันทีซ้ำๆ และมีอาการเหนื่อยอ่อนทางกายภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน สถานการณ์เหล่านี้จะเกิดซ้ำๆ นานตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมงจนถึงหลายวัน สถานการณ์เหล่านี้อาจจะรุนแรงจนบางครั้งคนไข้อาจจะต้องนอนป่วยบนเตียงหลายวัน ไม่สามารถไปโรงเรียนหรือไปทำงานได้ คนไข้อาจจะต้องการการรักษาที่ห้องฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลในสถานการณ์เหล่านี้ หลังจากนั้นอาการก็จะหายไป และสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ใน 2-3 สัปดาห์หรือหลายเดือน อาการผิดปกติจะมีผลกับคนไข้ไปหลายเดือน หลายปี หรือเป็นสิบปี อาการของภาวะที่ทำให้มีอาการอาเจียนเรื้อรังจะมีอาการคล้ายคลึงกับครั้งก่อน หมายความว่าสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะเริ่มในเวลาเดียวกันในแต่ละวัน และสิ้นสุดในช่วงเวลาเดียวกันและเกิดอาการเดียวกันและระดับความรุนแรงเดียวกัน ภาวะอาเจียนเรื้อรัง พบบ่อยแค่ไหน ภาวะอาการอาเจียนเรื้อรัง สามารถเกิดขึ้นในทุกช่วงวัย แต่มักจะเกิดบ่อยในเด็กช่วงอายุ 3-7 ขวบ แต่ก็มีคนไข้จำนวนมากที่เป็นผู้ใหญ่ที่วินิจฉัยว่ามีอาการนี้เพิ่มขึ้น ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม อาการของ ภาวะอาเจียนเรื้อรัง คืออะไรอาการโดยทั่วไปของภาวะอาเจียนเรื้อรังคือ อาเจียนรุนแรงหลายครั้งเป็นชั่วโมง และอาเจียนต่อเนื่องหลายชั่วโมงหลายวัน แต่สิ้นสุดภายใน 1 สัปดาห์ มีช่วงของการอาเจียน 3 ช่วงหรือมากกว่าโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หรือมีช่วงของการอาเจียน 5 ช่วงหรือมากกว่าเวลาไหนก็ตาม คลื่นไส้อย่างรุนแรง เหงื่อออกมาก   รู้อาการสัญญาณ และอาการระหว่างช่วงที่อาเจียนนั้นรวมถึง ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นไข้ วิงเวียนศีรษะ ไวต่อแสง ปวดศีรษะ ขย้อนหรือกลืนไม่ลง หากคุณมีอาการนอกเหนือจากที่กล่าวมาจากด้านบน หรือมีความกังวลเกี่ยวกับอาการ ควรปรึกษาแพทย์ ควรจะพบหมอเมื่อใดหากคุณมีสัญญาณหรืออาการตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีคำถาม ให้ปรึกษาแพทย์ […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม