ไข้หวัด (Common cold) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดมีหลายชนิด โดยไข้หวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน เนื่องจากอากาศที่แห้งและเย็นช่วยสร้างสภาพที่เหมาะสมต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งอาการของไข้หวัดมักเริ่มขึ้นด้วยอาการคอแห้ง น้ำมูกไหล และไอ รวมทั้งอาการเจ็บคอ ปวดศีรษะ ความอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หรืออาจมีไข้เล็กน้อย ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้
[embed-health-tool-heart-rate]
คำจำกัดความ
ไข้หวัด คืออะไร
ไข้หวัด คือ อาการติดเชื้อไวรัสที่บริเวณจมูกและลำคอ (ช่องทางเดินหายใจส่วนบน) สามารถเกิดได้จากไวรัสหลายชนิด โรคนี้ไม่ค่อยเป็นอันตราย แม้อาการอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายมากก็ตาม
ไข้หวัดพบได้บ่อยได้แค่ไหน
ไข้หวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี จะมีความเสี่ยงในการเป็นไข้หวัดได้มากกว่า แต่ผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีก็สามารถเป็นไข้หวัดได้ 2-3 ครั้ง/ปี อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถจัดการได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง โปรดปรึกษาคุณหมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของไข้หวัด
อาการทั่วไปของไข้หวัด อาจมีดังนี้
- น้ำมูกไหลและจมูกอุดตัน
- เจ็บคอ
- ไอ
- จาม
- เลือดคั่ง
- ปวดตัว หรือปวดศีรษะในระดับเบา
- เป็นไข้ต่ำ
- รู้สึกไม่สบาย
น้ำมูกในจมูกอาจจะข้นขึ้น และเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวในขณะที่เป็นไข้หวัด แต่ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
ควรเข้าพบคุณหมอทันที หากมีอาการดังต่อไปนี้
สำหรับผู้ใหญ่
- มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
- มีไข้นานเกินกว่า 5 วัน
- อาการไข้ที่หายไปแล้ว กำเริบอีกครั้ง
- หายใจไม่ทั่วท้อง
- หายใจมีเสียงหวีด
- เจ็บคอ ปวดศีรษะ หรือปวดไซนัสอย่างรุนแรง
สำหรับเด็ก
- มีไข้ 38 องศาเซียลเซียส สำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึง 12 สัปดาห์
- มีไข้เพิ่มสูงขึ้น และเป็นไข้นานกว่า 2 วัน สำหรับเด็กในทุกๆ ช่วงอายุ
- มีอาการแย่ลง หรืออาการไม่ดีขึ้น
- มีอาการรุนแรง เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ไอรุนแรง
- หายใจมีเสียงหวีด
- ปวดหู
- กระสับกระส่ายอย่างหนัก
- มีอาการง่วงซึมอย่างผิดปกติ
- เบื่ออาหาร
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล
สาเหตุ
สาเหตุของไข้หวัด
มีไวรัสหลายชนิดที่สามารถทำให้เกิดไข้หวัด แต่ไข้หวัดที่พบส่วนมากจะเกิดจากการติดเชื้อไรโนไวรัส (Rhinoviruses)
ไข้หวัดเป็นโรคติดต่อ โดยไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางปาก ดวงตา หรือจมูก เชื้อโรคนั้นจะอยู่ในอากาศและแพร่กระจายเมื่อมีคนไอ จาม หรือพูด
นอกจากนี้ ไวรัสยังสามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางการสัมผัสผู้ที่เป็นไข้หวัด หรือมีการแบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เมื่อสัมผัสที่บริเวณดวงตา จมูก หรือปาก หลังจากสัมผัสกับเชื้อแล้วก็อาจทำให้เป็นไข้หวัดได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของไข้หวัด
ปัจจัยเสี่ยงของไข้หวัดอาจมีสาเหตุ ดังนี้
- อายุ เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี จะมีความเสี่ยงในการเกิดไข้หวัดสูงมาก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในศูนย์ดูแลเด็ก
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอ การมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากโรคเรื้อรังหรืออาการอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
- ช่วงเวลาของปี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะมีโอกาสเป็นไข้หวัดได้มากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดสามารถเป็นได้ทุกเวลา
- สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดขั้นรุนแรงสูงขึ้น
- การสัมผัสกับเชื้อโรค หากต้องอยู่กับคนจำนวนมากก็อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะสัมผัสกับเชื้อไวรัสไข้หวัดมากขึ้น
การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาคุณหมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไข้หวัด
ไข้หวัดส่วนใหญ่อาจวินิจฉัยได้ด้วยสัญญาณและอาการ อย่างไรก็ตาม หากคุณหมอสงสัยว่าอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือมีอาการอื่น ๆ คุณหมออาจแนะนำให้เข้ารับการตรวจสอบวิธีอื่น ๆ เพื่อยืนยันอาการ
การรักษาไข้หวัด
ยังไม่มีวิธีรักษาสำหรับไข้หวัดโดยเฉพาะ การรักษาจะทำเพื่อบรรเทาสัญญาณและอาการของโรค ดังนี้
การบรรเทาอาการปวด
สำหรับไข้ เจ็บคอ และปวดศีรษะ คนส่วนใหญ่จะใช้ยาอะเซตามีโนเฟน เช่น ไทลินอล หรือใช้ยาบรรเทาปวดแบบเบาอื่น ๆ การใช้ยาอะเซตามีโนเฟน ควรใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้ด้วยความระมัดระวังในเด็กและวัยรุ่น
เด็กและวัยรุ่นที่กำลังฟื้นฟูจากโรคอีสุกอีใส หรืออาการที่เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เนื่องจากแอสไพรินมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s syndrome) ในเด็ก ซึ่งเป็นโรคหายากแต่อันตรายถึงชีวิต ควรพิจารณาให้เด็กใช้ยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา ซึ่งเป็นยาสำหรับทารกหรือเด็กโดยเฉพาะ เช่น อะเซตามีโนเฟน ไอบูโพรเฟน
ยาพ่นแก้คัดจมูก
ผู้ใหญ่สามารถใช้ยาหยอด หรือยาพ่นแก้คัดจมูก ได้เป็นเวลาสูงสุด 5 วัน การใช้ยานี้ในระยะยาวสามารถทำให้เกิดการกลับมาเป็นซ้ำที่หนักกว่าเดิมได้ เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่ควรใช้หยอดหรือยาพ่นแก้คัดจมูก
ยาไซรัปแก้ไอ
องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้คัดค้านการใช้ยาแก้ไอแก้หวัดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี และยังไม่มีหลักฐานที่ดีว่า การเยียวยาด้วยตัวเองแบบนี้จะมีประโยชน์และปลอดภัยสำหรับเด็ก
หากใช้ยาแก้ไอหรือยาแก้หวัดกับเด็กโต ควรทำตามคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด อย่าใช้ยา 2 ชนิดที่มีส่วนประกอบสำคัญเหมือนกันในเวลาเดียวกัน เช่น ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) ยาแก้คัดจมูก และยาบรรเทาอาการปวด ส่วนประกอบชนิดเดียวที่มากเกินไป อาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาใด ๆ
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองที่ช่วยจัดการกับไข้หวัด
การปรับไลฟ์สไตล์บางประการอาจช่วยให้รับมือกับไข้หวัดได้ ดังนี้
- ล้างมือเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อของไวรัส
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีสารอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม สีแดงหรือสีเหลือง และอย่าลืมรับประทานโปรตีนลีน ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันอยู่ในสภาพที่ดี
- งดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะลดความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับไข้หวัด
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกิดไปอาจทำให้มีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคหวัดได้
หากมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอเพื่อให้เข้าใจวิธีการรักษาเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล