โพแทสเซียมคืออะไร ? โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย พบได้ในอาหารหลาย ๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็น บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง ส้ม นม โยเกิร์ต หรือเนื้อสัตว์ โพแทสเซียมมีประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไป ช่วยรักษาการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ ช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
[embed-health-tool-bmi]
โพแทสเซียมคืออะไร
โพแทสเซียม (Potassium) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจและไต เนื่องจากโพแทสเซียมมีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมความดันโลหิต
ทั้งนี้ โพแทสเซียมสามารถพบได้ในอาหารหลาย ๆ ชนิด ได้แก่
- ผัก เช่น บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มันเทศ เห็ด แตงกวา ฝักทอง มะเขือเทศ
- ผลไม้สด เช่น อะโวคาโด กล้วย ส้ม แคนตาลูป และผลไม้แห้ง เช่น ลูกพรุน ลูกเกด
- ถั่ว เช่น ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วปินโต (Pinto Beans) ถั่วเลนทิล (Lentils) เม็ดมะม่วงหิมพานต์
- นม โยเกิร์ต
- เนื้อสัตว์ เนื้อปลา
โพแทสเซียมสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
โพแทสเซียม มีคุณสมบัติควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไป จึงอาจมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทำหน้าที่ดังต่อไปนี้
- ขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย หากร่างกายมีระดับโซเดียมย่อมส่งผลให้มีความดันโลหิตสูงเช่นเดียวกัน
- ช่วยผ่อนคลายความตึงของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคโพแทสเซียมและผลกระทบต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ตีพิมพ์ในวารสาร The BMJ ปี พ.ศ. 2556 นักวิจัยได้ศึกษาผลการทดลองและผลการศึกษาจำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคโพแพสเซียม และผลกระทบต่อความดันโลหิต ไขมันในเลือด การทำงานของไต รวมถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
นักวิจัยได้ข้อสรุปว่า การบริโภคโพแทสเซียมในปริมาณมากขึ้น อาจช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงได้ โดยไม่ส่งผลเสียต่อความเข้มข้นของไขมันในเลือด ความเข้มข้นของฮอร์โมนแคทีโคลามีน (Catecholamine) และการทำงานของไต
นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่า การได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม นอกจากโพแทสเซียมจะมีประโยชน์ต่อการควบคุมความดันโลหิตแล้ว โพแทสเซียมยังมีความสำคัญต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- สัมพันธ์กับการทำงานของกระแสประสาท กระแสประสาทเป็นคลื่นในระบบประสาทที่ส่งผ่านคำสั่งจากสมองให้ไปควบคุมการทำงานของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจหรือการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ กระแสประสาทเกิดจากการเคลื่อนที่ของไอออนของธาตุโพแทสเซียม ดังนั้น การที่ร่างกายมีระดับโพแทสเซียมในเลือดลดลง จึงมักส่งผลให้สมองไม่สามารถส่งกระแสประสาทได้ตามปกติ
- ลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนมักเกิดกับผู้ที่ร่างกายมีระดับแคลเซียมต่ำ การบริโภคโพแทสเซียมซึ่งมีคุณสมบัติลดการขับแคลเซียมทางปัสสาวะจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้
- ป้องกันโรคนิ่วในไต นิ่วในไตเกิดจากการสะสมของสารอาหารต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ในปัสสาวะ ทั้งนี้ โพสแทสเซียมมีคุณสมบัติลดการขับแคลเซียมทางปัสสาวะจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในไตได้
ใน 1 วันควรบริโภคโพแทสเซียมเท่าไร
ใน 1 วัน ร่างกายคนเราควรบริโภคโพแทสเซียมให้เพียงพอตามเกณฑ์ในแต่ละช่วงอายุดังต่อไปนี้
- อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับโพแทสเซียม 400 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 7-12 เดือน ควรได้รับโพแทสเซียม 700 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 1-3 ปี ควรได้รับโพแทสเซียม 3,000 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 4-8 ปี ควรได้รับโพแทสเซียม 3,800 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 9-13 ปี ควรได้รับโพแทสเซียม 4,500 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 14 ปีขึ้นไป รวมถึงหญิงมีครรภ์ควรได้รับโพแทสเซียม 4,700 มิลลิกรัม/วัน
สำหรับหญิงให้นมบุตรควรได้รับโพแทสเซียม 5,100 มิลลิกรัม/วัน
หากร่างกายขาด โพแทสเซียม จะส่งผลอย่างไร
โดยปกติแล้ว ร่างกายมักได้รับโพแทสเซียมเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เพราะโพแทสเซียมสามารถพบได้ในอาหารหลาย ๆ ชนิด
อย่างไรก็ตาม การมีเหงื่ออกมาก การอาเจียนหรือท้องเสียอย่างรุนแรง หรือการกินยาขับปัสสาวะหรือยาระบาย อาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ และเป็นสาเหตุให้ร่างกายมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้
- อ่อนเพลีย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- เป็นตะคริว
- ท้องผูก
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
โพแทสเซียม ในเลือดสูงกว่าปกติ มีอาการอย่างไร
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง มักพบในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพไต ทำให้ไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ตามปกติ
เมื่อมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง มักมีอาการต่อไปนี้
- อ่อนเพลีย หมดแรง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจไม่ออก
- เจ็บหน้าอก
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ