การเล่นเกมเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมนันทนาการที่ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย หายเครียดได้ หากบางวันคุณรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน เพียงหยิบเกมขึ้นมาเล่น ก็ทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณเล่นเกมมากจนเกินไปจนติดเกมแบบงอมแงมแล้วล่ะก็ คุณอาจกลายเป็น โรคติดเกม โดยไม่รู้ตัว วันนี้ Hello คุณหมอ จะพามาทำความรู้จักกับโรคนี้กันมากขึ้นพร้อมวิธีการป้องกันก่อนที่คุณจะกลายเป็นโรคนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น
ทำความรู้จักกับ โรคติดเกม (Gaming disorder)
โรคติดเกม (Gaming disorder) เป็นโรคทางจิตเวชที่ผู้ป่วยมีอาการเสพติดการเล่นเกมจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ต้องการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องและเล่นเกมในแต่ละครั้งเป็นระยะเวลายาวนานขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจกิจกรรมอื่น ๆ โรคนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมองในส่วนการยับยั้งชั่งใจ เช่น เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น ไม่สามารถควบคุมการเล่นเกมได้เนื่องจากพวกเขาขาดความยับยั้งชั่งใจ
5 สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคติดเกม
- ตัดขาดจากโรคภายนอก หมกมุ่นอยู่แต่กับการเล่นเกม โดยไม่สนใจในการทำกิจกรรมอื่น ๆ
- มีพฤติกรรมก้าวร้าว ฉุนเฉียว โมโหง่าย
- ควบคุมอารมณตัวเองไม่ได้หรือหยุดการเล่นเกมไม่ได้ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ
- ไม่ยอมรับตัวเองว่ามีพฤติกรรมเสพติดการเล่นเกม
- นอนหลับยาก นอนไม่ค่อยหลับรู้สึกอยากเล่นเกมตลอดเวลา
เสพติดการเล่นเกม ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร
- ปวดคอ ปวดไหล่ การเล่นเกมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้คุณมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และส่งผลเสียต่อระบบภายในร่างกาย
- สายตาพร่ามัว อ่อนล้า การใช้สายตาเพ่งหน้าจอนาน ๆ เวลาเล่นเกม ทำให้ดวงตาเกิดอาการพร่ามัว อ่อนล้า หรือรุนแรงถึงขั้นตาอักเสบได้
- โรคอ้วน เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวน้อยลง ขาดการออกกำลังกายเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ ทำให้เป็นโรคอ้วนโดยไม่รู้ตัว
- โรคซึมเศร้า เมื่อเสพติดการเล่นเกมมากจนเกินไป มักทำให้แยกตัวจากสังคม ชอบอยู่โดดเดี่ยว จนนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า
วิธีป้องกันปัญหา การเสพติดเกม
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าการแพทย์ในปัจจุบันจะยังไม่พบวิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ได้ แต่ก็สามารถปรับที่พฤติกรรม ความคิด เพื่อให้เห็นโทษของการเล่นเกมได้ แต่หากพบว่าผู้ป่วยมีโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็จำเป็นต้องรักษาควบคู่กัน อาจรักษาด้วยยา หรือวิธีบำบัดร่วมกัน