การออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง กระฉับกระเฉง และห่างไกลโรค เรียนรู้เทคนิคดี ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

การออกกำลังกาย

เบิร์นไขมัน ลดความอ้วน ทำได้อย่างไร

ไขมันที่สะสมในร่างกายที่ทำให้น้ำหนักและรอบเอวเกินเกณฑ์ จนนำไปสู่ความอ้วน อาจเกิดจากการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง รวมถึงขาดการออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงพอช่วยในการเผาผลาญไขมัน ดังนั้น ควรศึกษาวิธี เบิร์นไขมัน ในร่างกาย เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและลดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อน  [embed-health-tool-bmi] เบิร์นไขมัน คืออะไร การเบิร์นไขมัน คือ กระบวนการเผาผลาญไขมันเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ช่วยลดไขมันที่สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายเฉพาะส่วนที่ต้องการลดไขมัน  ทำไมจึงควรเบิร์นไขมัน  การเบิร์นไขมัน อาจช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายที่เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันมากเกินไป เพราะหลังจากร่างกายย่อยอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลัก หากมีกลูโคสส่วนเกินร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไกลโคเจน (Glycogen) เก็บอยู่ในกล้ามเนื้อและตับ ส่งผลให้น้ำหนักเกินเกณฑ์ ดังนั้น การเบิร์นไขมันจึงช่วยเผาผลาญไขมัน ควบคุมน้ำหนัก และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ โรคข้อเข่าเสื่อม การสะสมของไขมันในร่างกายอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ข้อต่อบริเวณเข่าต้องรองรับน้ำหนักตัวมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะข้อต่ออักเสบ ข้อเข่าเสื่อมเร็วและรู้สึกปวดเมื่อเคลื่อนไหว โรคหัวใจและหลอดเลือด เกิดจากไขมันสะสมในหลอดเลือดมากเกินไป จนอาจทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ไม่เต็มที่ จึงนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไขมันที่สะสมในร่างกายอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินในการจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2  โรคมะเร็ง ไขมันที่สะสมในร่างกายอาจส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินและเพิ่มระดับอินซูลินสูง ที่กระตุ้นให้เซลล์ร่างกายเจริญเติบโตผิดปกติ เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ […]

หมวดหมู่ การออกกำลังกาย เพิ่มเติม

คาร์ดิโอและความทนทาน

สำรวจ การออกกำลังกาย

กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

ผิวหนังย้วย หย่อนยานหลังน้ำหนักลด ปัญหานี้จัดการยังไงดีนะ

การลดน้ำหนักตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ใครหลายคนวาดหวัง แต่หลายครั้งความสำเร็จในการลดน้ำหนักนี้ก็มาพร้อมกับปัญหาผิวหนังที่เชื่อว่าคงไม่มีใครปรารถนา นั่นก็คือ ปัญหา ผิวหนังย้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีน้ำหนักตัวมากมาเป็นเวลานาน เมื่อน้ำหนักตัวลดลง ผิวหนังกลับย้วย เหี่ยวย้อย หย่อนยาน ไม่เฟิร์มกระชับอย่างที่ควรเป็น ทำเอาใครหลายคนหมดความมั่นใจไปเลยก็มี ใครที่กำลังคิดจะลดน้ำหนักแล้วไม่อยากให้ผิวหนังย้วย หรือใครที่กำลังประสบกับปัญหานี้ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัญหาผิวหนังย้วยจากน้ำหนักลดนี้ป้องกันและแก้ไขได้ [embed-health-tool-bmr] ทำไมน้ำหนักลดแล้วผิวหนังถึงย้วย ผิวหนังของคนเรามีคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นส่วนประกอบหลัก ช่วยให้ผิวหนังมีคุณสมบัติคล้ายกับหนังยาง คือยืดหยุ่นได้ดี สามารถกลับคืนสู่รูปทรงเดิมได้ โดยผิวหนังของแต่ละคนจะยืดหยุ่นได้มากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ กรรมพันธุ์ สารอาหาร ปริมาณน้ำที่บริโภค ปริมาณแสงแดดที่ได้รับ การสูบบุหรี่ และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ น้ำหนักตัว ยิ่งปล่อยให้น้ำหนักตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออ้วนมากมานาน ผิวหนังก็จะยิ่งยืดขยายออก และสูญเสียความยืดหยุ่นไปเรื่อยๆ พอน้ำหนักลดลง ผิวหนังจึงยืดย้วย หย่อนยาน และกลับไปกระชับเข้ารูปได้ยาก โดยปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยกับคนที่เคยอ้วนมาก และน้ำหนักลดลงเยอะภายในระยะเวลาอันสั้น ผิวหนังย้วยหลังลดน้ำหนัก สามารถเกิดขึ้นได้กับผิวหนังทั่วร่างกาย แต่พบบ่อยกับผิวหนังบริเวณหน้าท้อง และแผ่นหลัง ไม่เพียงแต่จะทำให้ขาดความมั่นใจ แต่ยังทำให้เกิดปัญหาผิวหนังอื่นๆ เช่น ผื่นผิวหนัง การติดเชื้อราบริเวณรอบพับผิวหนัง รวมไปถึงอาการปวดหลังได้อีกด้วย อยากน้ำหนักลดแบบไม่ย้วย ป้องกันได้ยังไงบ้าง ยิ่งคุณลดน้ำหนักได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสเกิดผิวหนังย้วยก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้น้ำหนักลดลงสัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม จึงถือเป็นอัตราที่เหมาะสมที่สุดในการลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

ความเสี่ยงสุขภาพจากการ ลดน้ำหนักเร่งด่วน

ลดน้ำหนักเร่งด่วน มักจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ ทั้งในการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้วิธีลดน้ำหนักที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ และเป็นวิธีการที่ไม่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด ควรลดน้ำหนักเร็วที่สุดกี่กิโลกรัมต่อสัปดาห์ โดยปกติแล้ว ควรลดน้ำหนัก 1-2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าลดน้ำหนักได้น้อย แต่ก็เป็นวิธีที่ทำได้ในระยะยาว ซึ่งการลดน้ำหนักไขมัน 1 ปอนด์ (0.45 กิโลกรัม) จะเท่ากับ 3,500 แคลอรี่ ดังนั้นการลดน้ำหนัก 0.45 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ จะต้องเผาผลาญพลังงาน 500 แคลอรี่ให้มากกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน (500 แคลอรี่ X 7 วัน = 3,500 แคลอรี่) นอกจากนี้สำหรับการลดน้ำหนักเร่งด่วน น้ำหนักที่หายไปอาจไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำหนักของน้ำและกล้ามเนื้อ เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะสามารถเผาผลาญไขมันปริมาณมากในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ การลดน้ำหนักเร่งด่วนอาจปลอดภัย ถ้าลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ตัวอย่างเช่น ผู้ที่คุณหมอสั่งให้กินอาหารแคลอรี่ต่ำเพื่อลดน้ำหนัก เนื่องจากความอ้วนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง ดังนั้น การลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนอาจปลอดภัยถ้าอยู่ในการดูแลของแพทย์ ผลกระทบจากการ ลดน้ำหนักเร่งด่วน 1. ขาดสารอาหารที่จำเป็น แผนการลดน้ำหนักเร่งด่วน ส่วนใหญ่จะลดปริมาณการกินอาหาร ซึ่งอาจทำให้ขาดสารอาหาร รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็น ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี เช่น ขาดแคลเซียม วิตามินดี […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

ปวดก้นกบ จนนั่งไม่ได้ ออกกำลังกายแบบโยคะช่วยคุณได้นะ

หากก้นกบได้รับความกระทบกระเทือนไม่ว่าทางใด สามารถนำไปสู่อาการปวดกระดูกก้นกบได้ ซึ่งสามารถเรียกได้อีกอย่างว่าโรค ปวดก้นกบ (Coccydynia) ก้นกบคือแนวกระดูกรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่ประกอบด้วยกระดูก 4 ชิ้น อยู่บริเวณปลายสุดของแนวกระดูกสันหลัง ปกติแล้วอาการปวดกระดูกก้นกบ จะเกิดขึ้นบริเวณกระดูกใต้กระเบนเหน็บ (Sacrum) และฝีเย็บ อาการ ปวดก้นกบ เกิดขึ้นได้อย่างไร อาการ ปวดก้นกบ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง การหกล้มและกระแทกกระดูกก้นกบ คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดกระดูกก้นกบตามมา ส่วนสาเหตุอื่นนั้นก็เป็นไปได้จากก้นกบผิดรูป กล้ามเนื้อเคล็ด ก้นกบเคลื่อน หินปูนเกาะกระดูกบริเวณก้นกบ ซึ่งเป็นผลให้เกิดโรคปวดก้นกบชนิดเรื้อรัง อาการปวดกระดูกก้นกบสามารถรักษาได้ แต่การออกกำลังกายอุ้งเชิงกรานทุกวัน ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อ สามารถแก้ปัญหาได้จากต้นเหตุได้ดีกว่า วิธีออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการปวดก้นกบ ออกกำลังกายด้วยการทำมูลพันธะ (Mula Bandha Exercise) มูลพันธะ เป็นส่วนหนึ่งของโยคะ หมายถึง การล็อค หรือการปิดพื้นที่บางจุดเพื่อล็อคพลังงานที่ไหลอยู่ในร่างกาย ในที่นี้คือการปิดกั้นพลังงานให้อยู่ภายในบริเวณอุ้งเชิงกรานส่วนล่างระหว่างทวารหนักและอวัยวะเพศ การเกร็งกล้ามเนื้อในจุดนี้จะหยุดการไหลเวียนของระบบปัสสาวะ หรือการเคลื่อนไหวของลำไส้ วิธีการทำคือเก็บหน้าท้องพร้อมขมิบก้นค้างไว้ 10 วินาที และทำซ้ำๆ 3 ถึง 4 ครั้ง การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นเส้นประสาทในกระดูกใต้กระเบนเหน็บและก้นกบ ทำให้พื้นที่บริเวณอุ้งเชิงกรานมีความแข็งแรงมากขึ้น และสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วย โยคะท่าแมวและท่าวัว (Cat/Cow Stretch) ประโยชน์ของการออกกำลังกายท่านี้คือการได้ยืดกล้ามเนื้อหลังและต้นคอ ช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนเลือด กระตุ้นเส้นประสาทในไขสันหลัง และลดอาการปวดหลังและต้นคอ วิธีการทําคือคุกเข่าลงกับพื้น วางหัวเข่าให้ห่างกันเท่ากับช่วงไหล่ และหัวเข่าต้องอยู่ในตำแหน่งตรงใต้สะโพก ตั้งท่าให้แผ่นหลังขนานกับเพดาน ท่านี้จะเรียกว่าท่าแมว […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

โยคะรักษาเบาหวาน ศาสตร์โบราณสู่การปฏิบัติที่เห็นผลจริง

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตหรือนำอินซูลิน (Insulin) ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดภาวะปริมาณกลูโคส (Glucose) ในเลือดสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถจัดการกับภาวะนี้ได้ด้วยการใช้ยา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ คุณอาจยังไม่เคยรู้ว่าการฝึกโยคะเป็นประจำก็ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ดีขึ้นได้ แต่ โยคะรักษาเบาหวาน ได้อย่างไร Hello คุณหมอ มีคำตอบมาฝากที่บทความนี้ โยคะรักษาเบาหวาน ได้อย่างไร การฝึกโยคะเป็นประจำช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และลดความดันโลหิตด้วย อีกทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ที่สำคัญ การฝึกโยคะสามารถบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกิดจาก โรคเบาหวาน ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ สมอง และหลอดเลือดแดง นอกจากนี้ โยคะยังสามารถช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่ ต้อกระจกก่อนวัย จอประสาทตาเสื่อม อาการชาปลายมือปลายเท้า ภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง ภูมิต้านทานต่ำ ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ความดันโลหิตสูง อัมพาต หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ และความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ได้อีกด้วย โยคะกับความเครียด โรคเบาหวาน รุนแรงขึ้นได้จากความเครียด เช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ความวิตกกังวลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) […]


คาร์ดิโอและความทนทาน

การออกกำลังกายแบบฮิต (HIIT) กับประโยชน์ดีๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การออกกำลังกายนั้นดีต่อสุขภาพ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายได้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น สถานที่ สภาพร่างกาย หรือที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นเรื่อง “เวลา” ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการออกกำลังกายของใครหลายคน การออกกำลังกายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ได้ผลดีอย่าง การออกกำลังกายแบบฮิต (HIIT) จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับกับผู้ที่มีเวลาจำกัด เพราะใช้เวลาน้อยกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ดีไม่แพ้การออกกำลังกายแบบดั้งเดิมเลยทีเดียว การออกกำลังกายแบบฮิต (HIIT) คืออะไร การออกกำลังกายแบบฮิต หรือ HIIT ย่อมาจาก High-Intensity Interval Training เป็นการออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้น ๆ สลับกับออกกำลังกายแบบความเข้มข้นต่ำ เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นการแบบหนักสลับเบา หรือช้าสลับเร็ว ส่วนใหญ่จะใช้เวลาครั้งละ 10-30 นาที แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็มีประโยชน์สุขภาพเทียบเท่า หรือมากกว่าการออกกำลังกายแบบความเข้มข้นปานกลางถึงสองเท่าเลยทีเดียว การออกกำลังกายแบบฮิตจะผสมผสานกิจกรรมหลายอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งการสปรินต์ (วิ่งด้วยความเร็วในระยะสั้นๆ) การปั่นจักรยาน การกระโดดเชือก การทำบอดี้เวท เป็นต้น ตัวอย่างโปรแกรมการออกกำลังกายแบบฮิต เช่น ปั่นจักรยานยิมด้วยแรงต้านสูงสุด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 30 วินาที แล้วสลับไปปั่นช้าๆ ด้วยแรงต้านน้อยที่สุดอีก […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

รู้ลึกเกี่ยวกับ ประเภทของโยคะ ที่อาจตรงใจคุณ

หากคุณเพิ่งลองฝึกโยคะเป็นครั้งแรกหรืออย่างน้อยก็ครั้งที่สอง คุณอาจยังไม่ทราบว่า ประเภทของโยคะ มีอะไรบ้าง และประเภทใดเหมาะสมกับคุณมากที่สุด บทความนี้จะช่วยแนะนำคุณในการตัดสินใจว่าโยคะประเภทใดเหมาะสมกับคุณและตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด ประเภทของโยคะ มีอะไรบ้าง โดยทั่วไป โยคะที่สามารถพบได้ทั่วไปในโยคะสตูโอต่างๆ มีทั้งสิ้น 8 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ หัตถาโยคะ โยคะที่พบได้ทั่วไปในทุกวันนี้ก็คือ หัตถาโยคะ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การฝึกจัดระเบียบร่างกายและเทคนิคการหายใจ หากคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ อัษฏางค์โยคะ วินยาสะโยคะ ไอเยนคาร์โยคะ และพาวเวอร์โยคะ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มักจะถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับ หัตถาโยคะ เพียงแต่จังหวะการเคลื่อนไหวของหัตถาโยคะจะช้ากว่า หัตถาโยคะนั้นเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกโยคะ การฝึกหัตถาโยคะจะทำให้คุณได้รู้จักกับท่าโยคะพื้นฐาน และช่วยให้คุณจำแนกชื่อของท่าต่างๆ ได้ เนื่องจากจังหวะของการฝึกหัตถาโยคะดำเนินไปอย่างช้าๆ จะทำให้คุณสามารถมีสมาธิกับท่าโยคะแต่ละท่าได้ดีกว่า วินยาสะโยคะ โยคะชนิดนี้ การเคลื่อนไหวจะลื่นไหลอย่างรวดเร็วและสอดประสานกันระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกาย ท่าโยคะ และการหายใจ วินยาสะโยคะโดยทั่วไปจะมีจังหวะที่เร็ว และไม่มีรูปแบบที่เป็นทางการ เรียกอีกอย่างว่า ฟรีสไตล์ โดยทั่วไป ในแต่ละครั้งของการฝึก ครูผู้สอนโยคะนั้นจะฝึกสอนโยคะประเภทนี้เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การฝึกวันนี้จะมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแขน ส่วนในการฝึกครั้งหน้าจะมุ่งเน้นไปที่การโค้งหลัง หรือในการฝึกหนึ่งครั้งอาจจะสอนท่าโยคะหลายท่าที่มีประโยชน์ต่อทุกส่วนของร่างกายก็ได้เช่นกัน วินยาสะโยคะนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับคนที่คล่องแคล่วว่องไวและไม่ชอบอะไรที่จำเจ ในทุกครั้งของการฝึกวินยาสะโยคะนั้นคุณจะรู้สึกประหลาดใจในความหลากหลายของท่าโยคะที่ใช้เพื่อการฝึกฝน ด้วยลักษณะเฉพาะของการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและความสอดคล้องกันระหว่างท่าโยคะและการหายใจ อัษฎางค์โยคะ ชีวมุกติโยคะ แบบทีส และพาวเวอร์โยคะ ที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายกันจึงจัดรวมในหมวดหมู่เดียวกันกับ วินยาสะโยคะ อัษฎางค์โยคะ เมื่อเปรียบเทียบกับหัตถาโยคะ อัษฎางค์โยคะนั้นเป็นโยคะประเภทที่มีพลัง เข้มข้น จนทำให้คุณมีรู้สึกราวกับเป็นนักกีฬา โดยในการฝึกแบบอัษฎางค์โยคะนั้นมีท่าบังคับที่รวมเรียกกว่า ชุดท่าโยคะอัษฎางค์ มี […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

งานวิจัยชี้ชัด! อยาก อายุยืน ต้องออกกำลังกาย เพราะอะไรมาดูกัน!

การออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพดี เป็นสิ่งที่หลายคนรู้กันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้การออกกำลังกายยังอาจทำให้คุณมี อายุยืน ด้วย บทความนี้ Hello คุณหมอ ขอนำข้อมูลที่น่าสนใจในเรื่องของ สาเหตุที่ทำให้อายุยืน พร้อมวิธีเริ่มต้นออกกำลังกาย ที่คุณเองก็สามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้เลยมาฝากกัน อยาก อายุยืน ต้องออกกำลังกาย เพราะอะไร ออกกำลังกายเบาๆ ก็อาจทำให้อายุยืนได้ งานวิจัยที่เผยแพร่ใน the British Journal of Sports Medicine ให้ข้อมูลว่า แม้แต่การออกกำลังกายเป็นประจำ ในระดับที่ทำได้ง่าย เช่น การเดินเร็ว การเต้น หรือการทำสวน ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันผู้ที่ออกกำลังกาย ในระดับปานกลางทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 10-59 นาที ผลการวิจัยพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตน้อยลง 18% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ ผู้ที่ออกกำลังกายที่ระดับความเข้มข้นปานกลาง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตทั้งหมดได้ 31% นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า การออกกำลังกายยังช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเสียชีวิตจากโรคบางโรค เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ รายงานจากสถาบันหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า การทำงานบ้านและทำสวน อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจของผู้หญิง วัยสูงอายุ เนื่องจากแม้ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเบาๆ […]


กิจกรรมออกกำลังกายแบบอื่น

วิ่งทุกวัน เพิ่มความเสี่ยงสุขภาพหรือเปล่า

สำหรับมือใหม่หัดวิ่ง หรือคนที่ชอบการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ อาจสงสัยว่าคุณสามารถ วิ่งทุกวัน ได้หรือไม่ ซึ่งการวิ่งทุกวันมีประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงมีข้อควรระวังดังนี้ ประโยชน์ของการวิ่งทุกวัน งานวิจัยแสดงให้เห็นประโยชน์ของการวิ่งทุกวัน เป็นเวลา 5-10 นาที ในระดับปานกลาง (ประมาณ 6.0 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในแต่ละวันอาจทำให้ได้รับประโยชน์สุขภาพดังนี้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วย โรคหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของการพัฒนาโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของการพัฒนาโรคทางระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของทีมวิจัยชาวดัตช์ ที่แนะนำว่า การวิ่ง 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ถือว่าดีต่อสุขภาพเช่นกัน มากไปกว่านั้นการวิ่งยังมีส่วนช่วยในการนอนหลับ และทำให้อารมณ์ดีขึ้น เนื่องจากทีมวิจัยได้ศึกษากลุ่มวัยรุ่นที่มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นผู้ที่วิ่งเป็นเวลา 30 นาทีทุกๆ เช้า ในความเข้มข้นระดับปานกลาง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการนอนหลับ อารมณ์ และความสามารถด้านสมาธิดีขึ้น ในช่วงที่ทำการทดสอบ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้วิ่ง ดังนั้นการวิ่งทุกวันแม้จะใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีต่อวัน ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อควรระวังดังนี้ วิ่งทุกวันจะเป็นอะไรหรือเปล่า วิ่งทุกวันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ซึ่งอาจเกิดจากการออกกำลังกายมากเกินไป เร็วเกินไป และไม่ให้เวลาร่างกายได้ปรับตัว […]


การฝึกความแข็งแรง

วิธีออกกำลังกายเพื่อสร้าง กล้ามเนื้อขา ให้แข็งแรง

หากคุณมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง จะทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น และเนื่องจากกล้ามเนื้อขาเป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ และมีมวลกล้ามเนื้อมาก การออกกำลังกายเพื่อสร้าง กล้ามเนื้อขา ให้แข็งแรงจึงสามารถช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แม้ในเวลาที่คุณกำลังนั่งทำงานอยู่ก็ตาม ออกกำลังกายอย่างไร เพื่อให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง ท่าสควอท (Squats) สควอทเป็นการออกกำลังกายที่พบมากที่สุด สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อกลุ่มควอดริเซ็บ (Quadriceps) ที่อยู่บริเวณต้นขา รวมถึงกล้ามเนื้อขามัดใหญ่อื่นๆ แต่การสควอทจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเข่า โดยการสควอทแบบมีอุปกรณ์ ทำได้โดยการถือบาร์เบลไว้บนไหล่ บริเวณด้านหลังคอ และย่อตัวลงเล็กน้อยด้วยการงอขา นอกจากนี้ยังสามารถสควอทได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ด้วยการยืนห่างจากกำแพงเล็กน้อย และย่อตัวลงโดยให้หลังติดกำแพง ระวังไม่ให้เข่าเลยปลายเท้า มากไปกว่านั้นยังสามารถใช้เครื่องสควอทในยิม ซึ่งเป็นเครื่องที่ทำให้คุณอยู่ในท่านั่ง และดันขาไปข้างหน้า โดยอาจออกกำลังกายด้วยเครื่องสควอท 8-12 ครั้ง จนกระทั่งรู้สึกล้าบริเวณกล้ามเนื้อขา อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถทำได้มากกว่า 12 ครั้งโดยไม่เหนื่อย ให้คุณเพิ่มน้ำหนักที่เครื่องสควอท ท่าวอล์กกิง ลันจ์ (Walking Lunges) ท่าลันจ์ เป็นวิธีปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สำหรับการออกกำลังกายเพื่อทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง โดยวิธีทำท่าลันจ์คือ ให้ถือดัมเบลไว้ทั้ง 2 ข้าง มองตรงไปข้างหน้า และก้าวขาไปข้างหน้า 1 ข้าง จากนั้นงอเข่าเพื่อรับน้ำหนักของร่างกาย กลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น และเปลี่ยนเป็นขาอีกข้างหนึ่ง ให้ทำท่าลันจ์ 8-12 ครั้งสำหรับขา 1 […]


การฝึกความแข็งแรง

เวทเทรนนิ่ง กับประโยชน์ที่คุณควรรู้ไว้

การมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สามารถทำให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น และมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก รวมถึงช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง คือการออกกำลังกายแบบ เวทเทรนนิ่ง (Weight training) หรือสเตรง เทรนนิ่ง (Strength training) โดยเรามักจะได้ยินกันมาว่า แค่คาร์ดิโออาจไม่พอ ต้องต่อด้วยเวทเทรนนิ่ง ความจริงแล้วเวทเทรนนิ่งคืออะไรกันแน่ เวทเทรนนิ่ง คืออะไร เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) หรือสเตรง เทรนนิ่ง (Strength Training) คือการออกกำลังกายที่ใช้แรงต้านกับน้ำหนัก ซึ่งจะสร้างความตึงเครียดให้กล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้นในภายหลัง คล้ายกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่จะทำให้หัวใจแข็งแรง เวทเทรนนิ่งสามารถทำได้ด้วยการใช้เครื่องออกกำลังกาย บาร์เบล หรือดัมเบล และเหตุผลที่ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง มีดังต่อไปนี้ ประโยชน์ของการ ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง งานวิจัยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) พบว่า การออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ สามารถปรับปรุงความสมดุลของร่างกาย ลดโอกาสที่จะหกล้ม และทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดดีขึ้น รวมถึงปรับปรุงการนอนหลับและสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ไม่เพียงทำให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่จะช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งการมีมวลกล้ามเนื้อมากจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้นแม้ในเวลาที่คุณไม่ได้ออกกำลังกาย โดย 3-4 […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
expert badge medical

ฟิล เคลลี

วิทยาศาสตร์การกีฬา • KiwiFitness: Body Expert Systems

สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน