พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

วัยรุ่น

ความรับผิดชอบ สำคัญอย่างไร ควรเริ่มสอนลูกเมื่อไรดี

ความรับผิดชอบ เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้และฝึกฝนโดยอาจจะเริ่มจากการรู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง เช่น การเก็บที่นอน การอาบน้ำแต่งตัว การรับประทานอาหารด้วยตนเอง และค่อย ๆ ฝึกขยายเพิ่มขอบเขตความรับผิดชอบให้มากขึ้น เช่น การทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ การช่วยคุณพ่อคุณแม่ดูแลน้อง ทั้งนี้ การรู้จักมอบหมายหน้าที่ให้รับผิดชอบจะเป็นการช่วยฝึกฝนให้เขารู้จักรับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่นด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] ความรับผิดชอบ คืออะไร หากมีคนมาถามว่า คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกโตขึ้นเป็นคนแบบไหน นอกจากคำตอบที่ว่า อยากให้ลูกประสบความเร็จในชีวิตแล้ว อีกหนึ่งคำตอบที่พ่อแม่หลายคนอยากให้เกิดขึ้นจริงคือ อยากให้ลูกเป็นคนมีความรับผิดชอบ เพราะความรับผิดชอบก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เด็กสามารถประสบความสำเร็จได้ ความรับผิดชอบนั้นมีหลายแง่มุม เช่น ดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี เช่น การรักษาความสะอาดของร่างกาย รักษาคำพูดและข้อตกลงได้เป็นอย่างดี ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยไม่ต้องได้รับการเตือนซ้ำ ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายให้ทำอะไร ก็จะปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด ยอมรับผลของการกระทำและคำพูด ทั้งต่อของตัวเองและเพื่อนร่วมงาน ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น การมีความรับผิดชอบนับเป็นอีกหนึ่งกุญแจสู่ความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองจึงควรฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ ทั้งกับการเรียนในโรงเรียน และการทำกิจกรรมอื่น ๆ เมื่ออยู่ข้างนอก เพื่อที่ลูกน้อยจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ควรเริ่มสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบเมื่อไหร่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เริ่มรู้จักความรับผิดชอบที่อายุประมาณ 13-16 ปี เพราะเด็กวัยเรียนที่อยู่ในช่วงวัยนี้ สามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจเรื่องของความเหมาะสม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้ แต่จริง ๆ แล้ว […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทำได้อย่างไร และประโยชน์ของนมแม่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นเรื่องที่คุณแม่ยุคใหม่หันมาให้ความสนใจมากขึ้น ในขณะเดียวกันความต้องการที่จะให้นมลูกก็กลายเป็นอุปสรรคสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่ถึงแม้ว่าจะพึ่งคลอดลูกแต่ก็ยังมีภาระที่จะต้องไปทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยที่บอกว่า กว่า 70% ของพนักงานที่เป็นคุณแม่นั้นยังจะต้องให้นมลูกอยู่ ทั้งที่จริงแล้วหากเตรียมตัวและวางแผนเป็นอย่างดีก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้เพราะปัจจุบันนี้มีเครื่องมือและเทคนิคใหม่ๆ ที่เป็นตัวช่วยคุณแม่ได้ [embed-health-tool-heart-rate] การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทำได้อย่างไร เตรียมการล่วงหน้า หลังคลอดลูกไม่นาน หากคุณแม่คนไหนต้องรีบกลับไปทำงาน แต่ต้องการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรปรึกษากับหัวหน้าหรือนายจ้างหากต้องการจะนำทารกมาไว้ที่ทำงาน การจัดตารางงาน เวลาเดินทางไปและกลับให้สอดคล้องกับเวลาที่ต้องการ เพื่อจะได้แบ่งเวลาการทำงานและการเลี้ยงลูกได้ลงตัว จัดตารางเวลาให้เหมาะสม เรื่องนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นอาจจะต้องมีการปั๊มนมทุกๆ 20 นาที หรืออาจจะเป็นชั่วโมง ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของคุณแม่แต่ละคน จึงควรที่จะต้องมีตารางเวลาเพื่อจดบันทึก เนื่องจากงานของคุณแม่บางคนอาจจะต้องออกไปนอกสถานที่ หรืออาจจะมีประชุมซึ่งอาจจะกลายเป็นปัญหาได้ จัดการเรื่องสถานที่ให้ลงตัว สถานที่ในการปั๊มนมสำหรับคุณแม่ ควรที่จะต้องเป็นห้องที่สะอาด หรืออาจจะต้องเป็นห้องที่มีความเป็นส่วนตัว เพราะฉะนั้นหากจำเป็นต้องมีการปั๊มน้ำนมในที่ทำงาน ควรเลือกใช้ห้องของเจ้านายที่สนิทและควรที่จะต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่จะดีที่สุดหากคุณมีห้องทำงานส่วนตัว หรือควรมีการปั๊มน้ำนมสำรองไว้ตั้งแต่ที่บ้านก่อนจะออกไปทำงาน อุปกรณ์สำหรับปั๊มน้ำนม สำหรับคุณแม่ที่ต้องการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรที่จะต้องมีที่ปั๊มนม เพราะจะช่วยลดระยะเวลาลงไปได้มาก และยังช่วยให้ปั๊มนมได้เพียงพอที่จะแช่เย็นไว้สำหรับให้ลูกดื่มได้ในครั้งต่อไปด้วย ประโยชน์ของน้ำนมแม่ แม้จะต้องแบ่งเวลาไปทำงาน หรือใช้เวลากับการทำงานมากกว่าการเลี้ยงลูกก็ตาม ควรที่จะให้ลูกได้ดื่มน้ำนมแม่ เพื่อสุขภาพที่ดีและประโยชน์ในการเจริญเติบโตของเด็ก น้ำนมแม่อาจมีประโยชน์ ดังนี้ เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ สำหรับทารกที่มีอายุอยู่ในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอด น้ำนมแม่มีทุกอย่างที่ลูกน้อยต้องการ ยกเว้นวิตามินดี นมแม่มีโปรตีนสูงช่วยในการเจริญเติบโตของทารก และอุดมไปด้วยสารประกอบอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ นมแม่ย่อยง่ายทำให้ทารกดูดซึมสารอาหารได้เป็นอย่างดี มีสารภูมิต้านทานที่จำเป็น น้ำนมแม่เต็มไปด้วยแอนติบอดี หรือสารภูมิต้านทาน โดยเฉพาะ […]


เด็กทารก

ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวทารก ควรเลือกอย่างไรเพื่อความปลอดภัย

ผิวของทารก เป็นผิวที่บอบบางและแพ้ง่าย บางครั้งการที่คุณพ่อคุณแม่หอมแก้มทารกบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เกิดผื่น หรืออาการแพ้กับผิวของทารกได้ นอกจากการสัมผัสกับผิวของทารกแล้ว ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทารกก็อาจส่งผลทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน ดังนั้น การเลือก ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวทารก จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความใส่ใจ เพื่อสุขภาพผิวที่ดีของทารก [embed-health-tool-vaccination-tool] ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวทารก จำเป็นหรือไม่ โดยปกติแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวทารก จะมีป้ายกำกับเอาไว้ชัดเจนว่า สำหรับผิวทารก และมีความระคายเคืองต่อผิวมากน้อยเพียงใด แต่สภาพผิวของเด็กแต่ละคนนั้นต่างกัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจใช้ได้ดีในเด็กทารกคนหนึ่ง แต่กับทารกอีกหนึ่งคนอาจเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวก็เป็นได้ นอกจากนั้น สารเติมแต่งเหลอย่างพาราเบน (Parabens) พาทาเลต (Phthalates) และไดบิวทิล พทาเลต (Dibutyl Phthalates) ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวของทารกได้เช่นกัน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวทารก สำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวของทารกอาจทำได้ ดังนี้ ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาด โดยปกติคุณพ่อคุณแม่มักจะชอบอาบน้ำให้ทารกทุกวัน จึงควรเลือกสบู่เด็กและแชมพูที่ไม่ก่ออาการแพ้ให้กับ ผิวของทารก รวมถึงควรล้างผิวของทารกด้วยน้ำอุ่น และสบู่อ่อน ๆ จะเป็นการดีที่สุด และหากในห้องมีเครื่องปรับอากาศติดอยู่ ควรจะปิดเครื่องปรับอากาศหลังจากอาบน้ำให้กับทารก เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของทารกแห้ง ในความจริงแล้ว ทารกไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยเกินไป ควรอาบน้ำเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของทารกแห้ง นอกจากนี้ ไม่ควรลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ บนผิวของทารก ไม่ควรใช้สบู่ที่ต้านแบคทีเรีย เพราะอาจรุนแรงเกินไปสำหรับผิวบอบบางของทารก ผลิตภัณฑ์สำหรับทาตัว สำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์ทาตัว เช่น […]


เด็กทารก

ผิวทารกแรกเกิด กับโรคผิวหนังที่พ่อแม่มือใหม่ควรใส่ใจ

ผิวทารกแรกเกิด เป็นผิวที่ละเอียดอ่อน และบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ จึงอาจเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องหมั่นสังเกตผิวของลูกน้อยว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น ผื่นแดง ตุ่มสีขาว จุดหรือปื้นน้ำตาลหรือดำ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโรคผิวหนังได้ หากพบจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคที่อาจเกิดขึ้นกับ ผิวทารกแรกเกิด 1. โรคสิวข้าวสาร (Milia หรือ Milk Spots) โรคสิวข้าวสาร อาจเกิดขึ้นกับทารกที่เพิ่งคลอด โดยจะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวขึ้นบริเวณใบหน้า หรือเหงือก หากสังเกตเห็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาว เหล่านี้บนผิวทารกแรกเกิด ไม่ควรใช้ครีมทาเพราะอาจทำให้ผื่นยิ่งลุกลามได้ โรคสิวข้าวสารมักหายไปได้เอง โดยใช้เวลา 2-3 วัน  แต่ในเด็กบางรายอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ 2. โรคสิว เด็กทารกร้อยละ 30 อาจจะมีโอกาสเป็นสิว มักเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 4 เดือนแรก สาเหตุเกิดจากการที่เด็กทารกได้รับฮอร์โมนจากแม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากระยะเวลา 4 เดือนผ่านไป สิวมักหายไปเอง 3. โรคผื่นแดง  โรคผื่นแดง เป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่พบบ่อยในผิวทารกแรกเกิด ส่วนใหญ่พบบริเวณหน้าอก แผ่นหลัง และแขน โดยปกติโรคผื่นแดงมักหายเองในระยะเวลาไม่กี่เดือน 4. โรคผื่นผ้าอ้อม โรคผื่นผ้าอ้อม เกิดจากการติดเชื้อรา ส่งผลให้ทารกระคายเคืองผิวหนัง แล้วเกิดเป็นผื่นแดงขึ้น พบบ่อยบริเวณก้น […]


เด็กทารก

เจ็บเหงือก สัญญาณเตือนฟันลูกน้อยกำลังขึ้น ควรดูแลอย่างไร

เจ็บเหงือก ในเด็กทารกเป็นสัญญาณว่าฟันซี่แรกของลูกเริ่มขึ้นแล้ว อาจทำให้ร้องไห้งอแงเนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจ ทั้งนี้ ควรหมั่นสังเกตร่างกายของลูกน้อย และศึกษาวิธีดูแลเหงือกเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บเหงือกในเบื้องต้น เจ็บเหงือก เกิดจากอะไร ทารกเจ็บเหงือกส่วนใหญ่อาจเกิดจากฟันซี่แรกกำลังขึ้น ซึ่งฟันซี่แรกมักขึ้นเมื่อทารกมีอายุระหว่าง 4-11 เดือน ในบางรายอาจช้ากว่านั้นแต่เด็กทารกส่วนใหญ่มักมีฟันซี่แรกขึ้นเมื่ออายุได้ 6 เดือน โดยฟันซี่แรกที่เริ่มงอกก่อนมักจะเป็นฟันสองซี่ล่างด้านหน้า หลังจากนั้นจะเป็นฟันสองซี่บนด้านหน้า อาการ เจ็บเหงือก สังเกตได้อย่างไร อาการที่บ่งบอกว่าลูกกำลังเจ็บเหงือก มีดังนี้ เหงือกมีอาการบวมและแดง เมื่อลูกน้อยร้องไห้โยเย อาจลองสังเกตช่องปาก อาจพบว่าเหงือกบวม นอกจากนั้น อาจมีอาการน้ำลายไหลย้อยมากกว่าปกติ นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท เนื่องจากลูกเจ็บเหงือก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว อาจหลับยาก หรือเมื่อหลับไปแล้วอาจตื่นร้องไห้โยเยกลางดึก อาจกอดและกล่อมนอนจนกว่าลูกจะหลับสนิท  เริ่มกัดสิ่งของรอบตัว คุณพ่อคุณแม่ สามารถสังเกตจากการที่ทารกอาจเริ่มกัดสิ่งของต่าง ๆ ที่สามารถนำเข้าปาก เช่น ของเล่นยาง ผ้าอ้อม นิ้วมือ เนื่องจากเมื่อฟันซี่แรกเริ่มขึ้นมักมีอาการคันเหงือก  ร้องไห้ง่ายขึ้น ในช่วงเวลาที่ฟันของลูกกำลังจะขึ้น อาจมีอาการหงุดหงิด จนถึงขั้นร้องไห้ออกมา เนื่องจากบางทีเวลาที่ฟันกำลังดันขึ้นมาจากเหงือก อาจจะทำให้ลูกรู้สึกเจ็บหรือปวด ทำพฤติกรรมแปลก ๆ ลูกอาจมีพฤติกรรมเอามือไปถูแก้ม คาง หู เนื่องจากในช่องปากมีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับหู แก้ม คาง หากมีอาการเจ็บเหงือกขึ้นอาจนำไปสู่อาจการเจ็บในส่วนอื่น ๆ จนลูกอาจทำท่าทางแปลก ๆ […]


วัคซีน

วัคซีนสำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร และมีอะไรบ้าง

วัคซีนสำหรับเด็ก เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้เตรียมพร้อมต่อสู้กับเชื้อก่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคโปลิโอ โรคคอตีบ โรคหัด ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ หากลูกน้อยได้รับวัคซีนไม่ครบตามที่กำหนดอาจทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจรายละเอียดวัคซีนเด็กแต่ละชนิดและพาลูกน้อยไปรับวัคซีนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยอย่างครบถ้วน [embed-health-tool-vaccination-tool] วัคซีนสำหรับเด็ก คืออะไร ในช่วงอายุ 6 เดือนแรก เด็กทารกควรดื่มน้ำนมแม่ เพราะน้ำนมแม่นอกจากจะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุมากกว่า 200 ชนิดแล้ว ยังถือเป็นวัคซีนธรรมชาติที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ภูมิคุ้มกันที่ได้จากน้ำนมแม่ก็จะค่อย ๆ หมดไปภายในเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทารกทั้งที่กินนมแม่และไม่ได้กินนมแม่ต้องได้รับวัคซีนตามช่วงอายุ เพราะวัคซีนเด็กไม่เพียงแค่ป้องกันการเกิดโรค แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปสู่เด็กที่โตกว่าหรือผู้ใหญ่ได้อีกด้วย วัคซีนทำงานโดยเลียนแบบการติดเชื้อโรคบางชนิดในเด็ก วัคซีนเด็กที่เข้าสู่ร่างกายจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กพัฒนาอาวุธที่เรียกว่า สารภูมิต้านทาน หรือ แอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดเดียวกับแต่ละวัคซีนที่เด็กได้รับ ทำให้ร่างกายของเด็กต่อสู้กับการติดเชื้อโรคในอนาคตต่อไปได้ วัคซีนสำหรับเด็ก มีอะไรบ้าง เด็กควรได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 12 ปี โดยการให้วัคซีนเด็กจะต้องเป็นไปตามแบบแผนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ โดยวัคซีนสำหรับเด็กสามารถแบ่งได้เป็น วัคซีนพื้นฐาน คือ วัคซีนจำเป็นที่เด็กทุกคนต้องได้รับ ได้แก่ วัคซีนวัณโรค (BCG) วัคซีนตับอักเสบ […]


เด็กทารก

วิธีทำความสะอาดหู สำหรับลูกน้อยให้ปลอดภัยห่างไกลการติดเชื้อ

วิธีทำความสะอาดหู ให้ลูกน้อย เป็นเรื่องสำคัญต่อการมีสุขภาพร่างกายที่ดีในภาพรวม เนื่องจากหูเป็นอวัยวะที่ค่อนข้างบอบบางและไวต่อการติดเชื้อ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องใส่ใจและระมัดระวังในการทำความสะอาดหู ควรเลือกใช้วิธีทำความสะอาดหูที่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเชื้อโรคซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบหรือติดเชื้อได้ การแคะหู วิธีทำความสะอาดหู นิยมใช้วิธีการแคะขี้หูให้ลูกน้อย ซึ่งค่อนข้างอันตรายและอาจเกิดการติดเชื้อได้ พราะการแคะหูเป็นเพียงการนำขี้หูออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่อาจทำให้ขี้หูส่วนใหญ่ถูกดันลึกลงไปในหู จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในหูได้ในที่สุด และหากคุณพ่อคุณแม่มือไม่นิ่งพอ การแคะหูอาจไปกระทบกระเทือนกับแก้วหู และเยื่อบุช่องหู จนทำให้หูลูกน้อยเกิดอันตรายและมีปัญหาสุขภาพ เช่น แก้วหูทะลุ อาการปวดในหู หูอักเสบเรื้อรัง ตามมาได้ในภายหลัง วิธีทำความสะอาดหูที่ถูกต้อง คุณพ่อคุณแม่ควรทำความสะอาดหูเด็กเป็นประจำทุกวัน แทนการแคะหู ให้ใช้สำลีก้อน หรือผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่นแล้วบีบให้หมาด จากนั้นเช็ดใบหูทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้ทั่วอย่างเบามือ โดยต้องระวัง อย่าแหย่ผ้าหรือสำลีเข้าในหูโดยเด็ดขาด และอย่าให้น้ำเข้าไป เพราะอาจทำให้ช่องหูมีปัญหาได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยขี้หูที่อยู่ในหูลูกไว้ ไม่ต้องทำอะไร เพราะส่วนใหญ่จะระบายออกมาได้เอง ควรเช็ดทำความสะอาดแค่ขี้หูที่อยู่ด้านนอก แต่หากกังวลว่าจะเกิดปัญหาขี้หูอุดตัน สามารถทำความสะอาดช่องหูลูกน้อยได้ด้วยการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซึ่งเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดอ่อน แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ และหากแพทย์อนุญาต จึงค่อยทำความสะอาดหูเด็กด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ วิธีทำความสะอาดหูเด็กด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ การใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นการทำความสะอาดหูด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดอ่อน ซึ่งจำเป็นต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยควรปฏิบัติ ดังนี้ เตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ได้แก่ สำลีก้อนหรือผ้านุ่มชุบน้ำอุ่นบิดหมาด แก้ว ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่หยด ไม้ปั่นหูขนาดเล็ก ขั้นตอนทำความสะอาดหู ดังนี้ ค่อย ๆ เช็ดบริเวณใบหูด้านนอกด้วยสำลีก้อนหรือผ้านุ่ม […]


เด็กทารก

เปลี่ยนแพมเพิส ให้รวดเร็วและปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ทำได้

เปลี่ยนแพมเพิส หมายถึง การทำความสะอาดส่วนเปียกชื้นของทารกด้วยการเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปหลังจากปัสสาวะหรืออุจจาระเสร็จเรียบร้อย โดยใช้แพมเพิสผืนใหม่ เพื่อให้ทารกสบายตัว ป้องกันผื่นแดงที่เกิดจากการหมักหมา รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแพมเพิสจำเป็นต้องทำให้ถูกวิธีเพื่อความสะอาดและปลอดภัย สิ่งที่ต้องเตรียมก่อน เปลี่ยนแพมเพิส ในช่วงแรก คุณพ่อคุณแม่อาจยังกังวลว่าต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ้าอ้อมนาน การเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พร้อมก่อนลงมือจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กมีดังนี้ แพมเพิสหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก 1 แผ่น ผ้าขนหนู หรือสำลีก้อนชุบน้ำอุ่นบิดหมาด หรือทิชชู่เปียก ผ้าขนหนูแห้ง 1 ผืน ครีมทาผื่นผ้าอ้อม แผ่นรองเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือทิชชู่แผ่นใหญ่แบบหนา วิธีเปลี่ยนแพมเพิส วิธีเปลี่ยนแพมเพิสนั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอน ดังนี้ 1. ล้างมือให้สะอาด ก่อนที่จะเริ่มลงมือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อย สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องจำให้ขึ้นใจและหมั่นทำเป็นประจำจนเป็นนิสัยเลยก็คือ ต้องล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันเชื้อโรค และทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรไว้เล็บยาว แหลมมากเกินไป เพราะอาจเผลอข่วนลูกน้อยได้ 2. เตรียมแพมเพิสให้พร้อม นำสำลีชุบน้ำหรือผ้าเปียกมาวางไว้ใกล้มือ รวมทั้งผ้าอ้อมสำเร็จรูปแผ่นใหม่มาวางเตรียมไว้บนแผ่นเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เรียบร้อย จากนั้นค่อย ๆ วางทารกลงบนแผ่นเปลี่ยนผ้าอ้อม โดยต้องแน่ใจว่าเป็นพื้นผิวที่เรียบ อ่อนนุ่ม โดใช้มือข้างหนึ่งแตะตัวลูกน้อยไว้เสมอ เพื่อป้องกันการกลิ้งไปมา เสร็จแล้วจึงแกะผ้าอ้อมสำเร็จรูปผืนเก่าออกจากตัวลูกน้อย โดยใช้มือข้างหนึ่งรวบขาทั้งสองข้างของเด็กขึ้น ส่วนอีกมือแกะผ้าอ้อมเด็กออก 3. ลงมือทำความสะอาด เช็ดก้นเด็กรอบแรกก่อน โดยใช้ด้านหน้าของผ้าอ้อมสำเร็จรูปผืนที่เพิ่งแกะออก จากนั้นใช้ทิชชู่เปียก ผ้าขนหนู หรือสำลีที่ชุบน้ำอุ่นไว้ บิดหมาด ๆ แล้วค่อย […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

เด็กเล่นโทรศัพท์ ข้อควรระวังกับผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการ

เด็กเล่นโทรศัพท์ เป็นพฤติกรรมของเด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเพื่อดูรายการโทรทัศน์ เล่นเกม ส่งข้อความ โทรหรือวิดีโอคอลคุยกับเพื่อน ซึ่งหน้าจอโทรศัพท์ รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ล้วนแต่มีคลื่นไมโครเวฟที่่อาจเป็นอันตรายได้ ยิ่งโดยส่วนใหญ่เด็กในปัจุบันนี้มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองทำให้โทรศัพท์อยู่กับตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องศึกษาถึงผลเสียจากการเล่นโทรศัพท์ รวมทั้งข้อควรระวังและวิธีแก้ไข เหตุผลที่เด็กเล่นโทรศัพท์ คลื่นที่ถูกส่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ อาจถึงขั้นทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ แต่ปัจจุบันนี้เด็กนิยมเล่นโทรศัพท์เพราะสาเหตุ ดังนี้ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว และทำกิจกรรมได้หลายอย่าง ทั้งดูโทรทัศน์ ค้นคว้าหาข้อมูล ฟังเพลง ถ่ายรูป แชทหรือโทรคุยกับเพื่อน ดูวิดีโอ เล่นโซเชี่ยลมีเดีย ติดตามดาราหรือบุคคลมีชื่อเสียงที่่ชื่นชอบ จึงทำให้จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกรวมทั้งจำนวนเด็กเล่นโทรศัพท์เพิ่มขึ้นรวดเร็วตามไปด้วย การพัฒนาประสิทธิภาพต่าง ๆ ดีขึ้น รวมถึงสัญญาณในการติดต่อสื่อสาร ผู้ใช้จึงใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น มีสิ่งน่าสนใจ เร้าอารมณ์ความรู้สึก กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งตอบสนองพฤติกรรมของเด็กและเป็นไปตามช่วงวัยและพัฒนาการ ไม่ควรปิดกั้นแต่ควรหาวิธีจำกัดการใช้งาน อันตรายจากคลื่นไมโครเวฟ  หากคุณแม่ใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากจนเกินไปขณะที่กำลังตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงในการได้รับคลื่นไมโครเวฟมากกว่าเด็กที่คลอดออกมาแล้วมากพอสมควร เนื่องจากเนื้อเยื่อสมองของเด็กทารกนั้นสามารถดูดซึมคลื่นไมโครเวฟได้ถึง 2 เท่า ไม่เพียงเท่านั้น คลื่นนี้ยังถูกดูดซึมไปยังกระดูกสันหลังได้มากกว่าผู้ใหญ่ถึง 10 เท่า ทั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีบทความวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นมือถือกับเนื้องอกในสมอง เผยแพร่ในวารสาร Pathophysiology พ.ศ. 2552 ระบุว่า […]


สุขภาพวัยรุ่น

อาหารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

อาหารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น คือ อาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอายุประมาณ 12-20 ปี เพื่อช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ รวมทั้งได้รับพลังงานอย่างเพียงพอเพื่อนำไปใช้ในการทำกิจกรรมแต่ละวัน เนื่องจากในแต่ละช่วงวัยต้องการสารอาหารแต่ละชนิดในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป จำเป็นต้องเลือกรับประทานเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมแก่วัย อาหารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น อาหารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น คืออาหารที่ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและพัฒนาการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของการสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และเลือด วัยรุ่นจำเป็นต้องรับประทานอาหารหลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องเลือกสรรอาหารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมัน โซเดียม หรือน้ำตาลสูง แต่ควรให้รับประทานอาหารที่ให้สารอาหารแก่ร่างกายทั้งไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็น โดยเฉพาะสารอาหารดังนี้ 1. ธาตุเหล็ก ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพื่อใช้ในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ ธาตุเหล็กยังช่วยในการเผาผลาญโปรตีน เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อของวัยรุ่นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเจริญเติบโตได้เป็นปกติ ทั้งยังช่วยให้มีสมาธิ และนอนหลับได้ดีขึ้น หากร่างกายวัยรุ่นได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอจะทำให้เหนื่อยง่าย หายใจหอบ ติดเชื้อและเป็นหวัดบ่อย ปวดศีรษะเป็นประจำ และไม่มีสมาธิในเวลาเรียน ธาตุเหล็ก พบได้มากในเนื้อสัตว์ไร้มัน เนื้อไก่ ปลา อาหารทะเล ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ธัญพืช ผลไม้แห้ง เป็นต้น วัยรุ่นชายควรได้รับธาตุเหล็กในปริมาณ 11 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนวัยรุ่นหญิงควรได้รับธาตุเหล็กในปริมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน สาเหตุที่วัยรุ่นหญิงต้องการธาตุเหล็กมากกว่าวัยรุ่นชาย ก็เพราะอยู่ในช่วงเริ่มมีประจำเดือน […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน