ระบบประสาทและสมอง

ระบบประสาท มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทที่มีอยู่มากมายในร่างกาย เมื่อระบบประสาทเกิดความผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายได้อย่างมาก เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของ สมองและระบบประสาท รวมถึงการป้องกันและการรักษา ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

ระบบประสาทและสมอง

‘ซุปไก่สกัด’ เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ตัวช่วยกระตุ้นสมองให้จำดีขึ้น!

‘ซุปไก่สกัด’ หนึ่งในสุดยอดเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบทวีปเอเชีย เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าซุปไก่สกัดนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ จึงมีสรรพคุณที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและช่วยฟื้นบำรุงร่างกายจากอาการเหนื่อยล้า โดยปัจจุบันพบว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันถึงประโยชน์ของซุปไก่สกัดต่อสุขภาพไว้มากมาย โดยเฉพาะในด้านประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง เนื่องจากในซุปไก่สกัดนั้นมี Dipeptine Anserine และ Carnosine ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพสมอง ซุปไก่สกัดกับประโยชน์ดีๆ ต่อสมอง  1. มีส่วนช่วยเพิ่มออกซิเจนในสมอง ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองและความจำ   สมองของคนเรานั้นจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนในการทำงาน หากสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หรือหากขาดออกซิเจนเพียง 5 นาที จะส่งผลทำให้เซลล์สมองค่อยๆ ตายลงได้ โดยสมองส่วนที่ไวต่อการขาดออกซิเจนเร็วที่สุดคือสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งสมองส่วนนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยทำให้ความจำระยะสั้นกลายเป็นความจำระยะยาว หากสมองส่วนนี้ฝ่อหรือเสียหายจากการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีปัญหาด้านความจำ การคิด การสั่งการ และการบริหารจัดการ จากผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่ดื่มซุปไก่สกัดมีระดับของออกซีฮีโมโกลบิน (Oxy-Hemoglobin) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงอาจกล่าวได้ว่าซุปไก่สกัดมีส่วนช่วยให้เลือดสามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ การคิด การตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ทดลองที่อยู่ในวัยสูงอายุและมีสุขภาพดีจำนวน 12 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้ดื่มซุปไก่สกัด ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้ดื่มซุปไก่สกัดหลอก ในปริมาณขนาด 70 มล. เท่ากัน จำนวน 2 ขวด เป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน 7 วัน แล้วให้ผู้ทดลองทำแบบทดสอบด้านความจำและการทำงานต่าง ๆ […]

หมวดหมู่ ระบบประสาทและสมอง เพิ่มเติม

สำรวจ ระบบประสาทและสมอง

โรคลมชักและอาการชัก

ลมชักชนิดเหม่อ (Absence Seizure)

ลมชักชนิดเหม่อ (Absence Seizure)  จัดเป็นโรคทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการชัก เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในการทำงานของระบบสมอง (มีอาการสั้นกว่า 15 วินาที) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  ไม่มีอาการตอบสนองชั่วคราว คำจำกัดความลมชักชนิดเหม่อ (Absence Seizure)  คืออะไร ลมชักชนิดเหม่อ (Absence Seizure)  จัดเป็นโรคทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการชัก เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในการทำงานของระบบสมอง (มีอาการสั้นกว่า 15 วินาที และจะกลับมาหายเอง) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ไม่มีอาการตอบสนองชั่วคราว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอาการลมชักชนิดเหม่อจะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ  แต่การสูญเสียสติแม้ในระยะเวลาสั้น ๆ สามารถทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้  ดังนั้นหากพบอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม พบได้บ่อยเพียงใด ลมชักชนิดเหม่อสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย  โดยส่วนใหญ่มักพบบ่อยในวัยเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ถึง 9 ปี อาการอาการของลมชักชนิดเหม่อ โดยส่วนใหญ่อาการของลมชักชนิดเหม่อจะเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5-9 ปี ซึ่งจะมีอาการที่แสดงออกแตกต่างกันออกไป ดังนี้ มีอาการสับสน หน้ามืด หยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ไม่ตอบสนองต่อคำแนะนำและคำถาม มีอาการเหม่อลอย กระพริบตาถี่ขึ้น เม้มปากแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีท่าท่าเหมือนกำลังเคี้ยวอาหาร มือทั้งสองข้างขยับขึ้นเอง ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของลมชักชนิดเหม่อลอย ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการลมชักชนิดเหม่อ  โดยทั่วไปอาการชักเกิดจากการกระตุ้นของประจุไฟฟ้าที่ผิดปกติจากเซลล์ประสาทในสมอง  รวมถึงสาเหตุอื่นๆ ดังนี้ การบาดเจ็บทางศีรษะ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ โรคหลอดเลือดสมองและเนื้องอก การได้รับบาดเจ็บก่อนคลอด หรือความผิดปกติทางสมองก่อนคลอด ปัจจัยเสี่ยงของลมชักชนิดเหม่อลอย อายุ  พบได้บ่อยในวัยเด็ก เพศ พบได้บ่อยในเพศหญิง ประวัติครอบครัว หากสมาชิกในครัวเคยมีประวัติที่เกี่ยวกับอาการชัก […]


ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย

อาการชา สัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ ที่ร่างกายรับรู้ได้เมื่อ ขาดวิตามินบี

หลาย ๆ คนอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมรู้สึกมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาที่แขนและขา ปลายมือ ปลายเท้า เสียการทรงตัวหรือเดินเซ หากใครมีอาการเหล่านั้น ควรระวังกันไว้นะคะ เพราะคุณอาจกำลังเสี่ยงเป็นโรค ปลายประสาทอักเสบอยู่ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาคุณมารู้จักกับอาการของ โรคปลายประสาทอักเสบ พร้อมอาหารเสริมที่ควรกินเพื่อป้องกันโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะถ้าเรารู้เท่าทัน สัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ ก็จะป้องกันพร้อมสร้างสุขภาพที่ดีห่างไกลโรคได้.. โรคปลายประสาทอักเสบ คืออะไร “โรคปลายประสาทอักเสบ” ( Peripheral Neuropathy ) เป็นภาวะหนึ่งของระบบปลายประสาท ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณจากสมองส่งไปยังไขสันหลังและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อปลายประสาทอักเสบ จะทำให้การทำงานของเส้นประสาทผิดปกติจนไม่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าได้ตามปกติ และเกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เช่น รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ เจ็บคล้ายโดยไฟลน ตะคริว ชาตามมือเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุกไม่สามารถควบคุมได้ เป็นโรคที่พบได้ในคนที่มีอายุเฉลี่ย 30 ปีขึ้นไป และกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากขึ้น ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ทำงานหนักพักผ่อนน้อย ดื่มสุราหรือแอลกอฮอลล์เป็นประจำ สูบบุหรี่ รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือรับประทานยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อเส้นประสาท และที่สำคัญไปกว่านั้น […]


ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย

ยิ้มไม่สวย ถ่ายรูปไม่ปัง! ระวังคุณอาจกำลังเสี่ยงป่วยเป็น โรคปากเบี้ยวครึ่งซีก

หากคุณถ่ายเซลฟีแล้วสังเกตพบว่า ทำไมทุกครั้งถ่ายรูปตนเองออกมา องศาของใบหน้ากลับดูแปลกไป อาจจะยิ้มไม่สวยเหมือนดั่งที่คาดเอาไว้ นอกจากปัจจัยที่เกี่ยวกับมุมกล้องแล้ว อาจเป็นที่มาของอาการแรกเริ่มของ โรคปากเบี้ยวครึ่งซีก ก็เป็นได้ ดังนั้นบทความของ Hello วันนี้ จึงขอนำความรู้เบื้องต้นของโรคดังกล่าว มาฝากกันค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้เริ่มเช็กตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนเกิดอาการรุนแรงขึ้นในอนาคต โรคปากเบี้ยวครึ่งซีก คืออะไร โรคปากเบี้ยวครึ่งซีก หรือโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s Palsy) เป็นหนึ่งในอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทใต้ใบหน้าที่เกิดการอักเสบ ซึ่งมักจะเป็นเพียงแค่ด้านใดด้านหนึ่ง จึงทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ บางครั้งอาจทำให้คุณประสบกับปัญหาในการพูดคุย การยิ้ม และต่อมรับรสเกิดความบกพร่อง อีกทั้งยังอาจมาจากปัจจัยอื่น ๆ ที่กระทบต่อทางสุขภาพ จนนำไปสู่การอัมพาตของใบหน้า เช่น ไวรัสงูสวัด เชื้อเอชไอวี ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) โรคไลม์ (Lyme Disease) ไวรัสจาก โรคมือเท้าปากเปื่อย (Coxsackievirus) เป็นต้น โดยส่วนใหญ่โรคปากเบี้ยวครึ่งซีกสามารถหายไปเองได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หรืออาจมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับการรักดูแลรักษา อีกทั้งโรคนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่อายุ 16-60 ปี ขึ้นไป ถึงอย่างไรโรคดังกล่าวยังถูกจัดเป็นโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ไม่ควรที่จะประมาทได้ มาเช็กอาการของ […]


โรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก

ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยวิธีที่คุณเองก็ทำได้

ในปี 2019 กรมควบคุมโรคได้ระบุว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก นอกจากนี้ข้อมูลของประชาชนในปี 2562 ยังพบว่าประชากรทุกๆ 4 คนจะพบเป็นโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน ส่วนข้อมูลของประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงและยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยอีกด้วย วันนี้ Hello คุณหมอ จึงมีวิธี ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้มาให้อ่านกันค่ะ โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)  เป็นโรคที่เกิดเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่มคือ ภาวะที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง และภาวะที่มีเลือดออกในสมอง ซึ่งโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกวัย และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย นอกจากนี้การใช้ยาบางชนิดยังทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดได้ด้วย เช่น ทำให้เกิดการอุดตัน หลอดเลือดอักเสบ สิ่งที่คุณควรทำเพื่อ ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดสมองหรือการควบคุมสภาวะสุขภาพที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งวิธีการเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้ โดยเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ต่ำ และอาหารที่คอเลสเตอรอลต่ำ นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ยังช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลสูงได้ด้วย ที่สำคัญหารลดปริมาณโซเดียมในอาหารลงยังช่วยลดความดันโลหิต เพราะทั้งคอเลสเตอรอลและโซเดียมต่างเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อร่างกายมีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรืออ้วนขึ้นนั้นช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งการคำนวณค่า […]


อาการปวดศีรษะและไมเกรน

ควรทำอย่างไรเมื่อ ไมเกรนกำเริบเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง

อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่มักจะปวดแบบตุบ ๆ เพียงข้างเดียวของศีรษะ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะมีอาการปวดได้ทั้งสองข้างของศีรษะ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนกำเริบนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ทำ อาหารที่รับประทาน หรือแม้แต่กระทั่งอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ วันนี้ Hello คุณหมอ มีเคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับ วิธีรับมือสำหรับผู้ที่ ไมเกรนกำเริบเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง สาเหตุที่ไมเกรนกำเริบเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง การกำเริบของไมเกรนนั้นมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน สำหรับบางคนที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพ หากอากาศเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้อาการปวดหัวไมเกรนนั้นกำเริบได้ ซึ่งอากาศต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้ไมเกรนกำเริบได้ทั้งสิ้น เช่น แสงแดดจ้า อากาศร้อนจัด อาการเย็นจัด ความชื้นสูง อากาศแห้ง การเปลี่ยนแปลงความดันบรรยากาศ เมื่อสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้สารเคมีในสมองเกิดความไม่สมดุล จนทำให้อาการปวดหัวไมเกรนกำเริบได้ หากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้นส่งผลทำให้อาการไมเกรนแย่ลง จนทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิด รับมืออย่างไรเมื่อ ไมเกรนกำเริบเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง ไป อาการปวดหัวไมเกรนนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีสัญญาณเตือนก่อนว่า อาการปวดไมเกรนนั้นกำลังจะกำเริบแล้ว บางคนอาจมีสัญญาณก่อน 48 ชั่วโมง ก่อนที่อาการปวดหัวจะโจมตี ซึ่งอาการก่อนเกิดไมเกรนนั้นมักเรียกว่า อาการนำ (Prodromal) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการ ดังนี้ หงุดหงิด ซึมเศร้า หาวบ่อย รู้สึกตื่นเต้นบ่อย ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าอาการไมเกรนนั้นจะโจมตีคุณในไม่ช้า ในช่วงนี้คุณจะต้องจดบันทึกทุกวัน เพื่อดูว่าวันใดบ้างที่มีอาการปวดหัว แล้ววันต่าง ๆ เหล่านั้นมีสภาพอากาศเป็นเช่นไร เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการไมเกรนแย่ลงหรือไม่ ที่สำคัญจะต้องจดบันทึกอย่างน้อยนาน 3 เดือนเพื่อรู้การเปลี่ยนแปลง โดยการจดบันทึกในแต่ละครั้งนั้นคุณจะต้องบันทึกว่า มีอาการเช่นไร ปวดบริเวณไหน และลักษณะการปวดเป็นเช่นไร […]


โรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก

โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม (Cerebral arteriovenous malformation)

โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม (Cerebral arteriovenous malformation)  เกิดจากความผิดปกติที่เชื่อมกันระหว่างหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงในสมอง โดยหลอดเลือดแดง ทำหน้าที่ ในการถ่ายเลือดออกจากหัวใจ ที่มีปริมาณออกซิเจน ไปเลี้ยงสมอง และหลอดเลือดดำนำเลือดที่เสียของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ เพื่อนำกลับมาฟอกที่ปอด โดยโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็มจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการทำงานนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชัก สูญเสียการมองเห็น เป็นต้น คำจำกัดความโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม(Cerebral arteriovenous malformation) คืออะไร   โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม (Cerebral arteriovenous malformation)  เกิดจากความผิดปกติที่เชื่อมกันระหว่างหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงในสมอง อย่างไรก็ตามหลอดเลือดแดง ทำหน้าที่ ในการถ่ายเลือดออกจากหัวใจ ที่มีปริมาณออกซิเจน ไปเลี้ยงสมอง และ หลอดเลือดดำนำเลือดที่เสียของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ เพื่อนำกลับมาฟอกที่ปอด โดยโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็มจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการทำงานนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชัก สูญเสียการมองเห็น เป็นต้น พบได้บ่อยเพียงใด โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็มเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเพศชายที่มีอายุระหว่าง 10-40 ปี อาการอาการโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม ผู้ป่วยสตรีมีครรภ์โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็มอาจมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ เนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดและความดันโลหิต รวมถึงเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี มักกมีอาการชัก มีเลือดคั่งที่หัวใจ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติเอวีเอ็ม จะมีอาการแสดงออก ดังนี้ ชัก ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการมองเห็น อัมพาต สับสน ไม่สามารถเข้าใจการสื่อสารของผู้อื่น ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ […]


ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์

ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่

การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมที่ดีต่อทั้งผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วและผู้ที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะกับ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ที่การออกกำลังกายนั้นให้ประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ รวมถึงมีส่วนช่วยกระตุ้นและพัฒนากระบวนการทำงานของสมองด้วย แต่การออกกำลังกายจะดีต่อผู้ป่วยอัลไซเมอร์อย่างไร และการออกกำลังกายแบบใดบ้างที่ดีต่อผู้ป่วยที่เป็น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) มาติดตามได้ที่บทความนี้เลยค่ะ จาก Hello คุณหมอ การออกกำลังกายดีต่อ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อย่างไร การออกกำลังกายไม่อาจพูดได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าสามารถช่วยให้หายขาดจากโรคอัลไซเมอร์ได้ แต่…การให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะการออกกำลังกายจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตซึ่งการไหลเวียนของโลหิตนี้ก็จะไปช่วยในการสูบฉีดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง เป็นการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมองได้อีกทางหนึ่ง และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของผู้ป่วย ทำให้ร่างกายแข็งแรง สิ่งสำคัญนอกจากนั้นคือ การออกกำลังกายมีส่วนช่วยในการปรับสภาพอารมณ์ของผู้ป่วยด้วย โรคอัลไซเมอร์ ให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยอีกด้วย ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ควรออกกำลังกายแบบใด ผู้ป่วยด้วย โรคอัลไซเมอร์ สามารถที่จะออกกำลังกายได้อย่างแน่นอน และเป็นผลดีต่อผู้ป่วยเองด้วย แต่สิ่งที่ควรจะต้องมีการใส่ใจเป็นพิเศษ คือ จะต้องดูว่าผู้ป่วยมีระยะของอาการเป็นแบบใด ความรุนแรงของอาการนั้นน้อยหรือมาก ควรจะต้องปรึกษากับคุณหมอและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะได้เลือกกิจกรรมและการออกกำลังกายได้ตรงกับระยะของโรคที่เป็นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้ป่วยจะต้องรู้สึกสนุกสนานที่ได้ทำกิจกรรมนั้น ไม่รู้สึกเครียดหรือหักโหมจนเกินไป โดยก่อนเริ่มการออกกำลังกายควรให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้มีการวอร์มอัพก่อนเสมอ เพื่อเสริมความยืดหยุ่นให้ร่างกายและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย กิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายกิจกรรมให้เลือกทำ ดังนี้ รำไทเก็ก การออกกำลังกายด้วยการรำไทเก๊ก เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นของร่างกาย ดีต่อข้อต่อ และยังช่วยปรับสมดุลจากภายในสู่ภายนอกอีกด้วย ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะรู้สึกผ่อนคลายและช่วยในการปรับบุคลิกภาพได้ การว่ายน้ำ การว่ายน้ำหรือกิจกรรมที่ทำในน้ำเป็นรูปแบบการออกกำลังที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยด้วย โรคอัลไซเมอร์ อย่างยิ่ง เพราะดีสำหรับข้อต่อของร่างกาย ดีต่อระบบหัวใจ และช่วยผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นกิจกรรมทางน้ำที่ได้ทำร่วมกับผู้อื่นก็จะเป็นการเพิ่มการปฏิสัมพันธ์ให้แก่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้มีการเข้าสังคมและเกิดการสนทนากับผู้อื่นมากขึ้น เล่นโยคะ กิจกรรมโยคะเป็นกิจกรรมที่เด่นในเรื่องการยืดหยุ่นร่างกาย […]


ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย

กลุ่มอาการทีโอเอส (Thoracic Outlet Syndrome)

กลุ่มอาการทีโอเอส (Thoracic Outlet Syndrome) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดและเส้นประสาทในช่องว่างระหว่างกระดูกและซี่โครงแรกของคุณ (เส้นประสาทบริเวณระหว่างฐานคอกับรักแร้ไปจนถึงด้านหน้าอก) เกิดการกดทับกัน ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไหล่ และคอ มีอาการชาที่นิ้วมือ คำจำกัดความกลุ่มอาการทีโอเอส (Thoracic Outlet Syndrome) คืออะไร กลุ่มอาการทีโอเอส (Thoracic Outlet Syndrome) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดและเส้นประสาทในช่องว่างระหว่างกระดูกและซี่โครงแรกของคุณ (เส้นประสาทบริเวณระหว่างฐานคอกับรักแร้ไปจนถึงด้านหน้าอก)  เกิดการกดทับกัน ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไหล่ และคอ มีอาการชาที่นิ้วมือ พบได้บ่อยเพียงใด กลุ่มอาการทีโอเอสมักพบได้ในเพศหญิงอายุ 20-40 ปี อาการกลุ่มอาการทีโอเอส อาการทีโอเอสเกิดจากการกดทับหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ดังต่อไปนี้ ปวดบริเวณคอและไหล่ อาการชาบริเวณปลายแขนและนิ้วมือ มือและแขนมีอาการอ่อนล้า อาการบวมบริเวณแขน มือ และแขนเย็นผิดปกติ  ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของกลุ่มอาการทีโอเอส โดยทั่วไปสาเหตุของกลุ่มอาการทีโอเอสนั้นคือการบีบรัดของเส้นประสาทหรือหลอดเลือด ซึ่งสาเหตุของการถูกบีบรัดจะแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด  เช่น การมีซี่โครงในกระดูกงอกออกมาแต่กำเนิด การได้รับบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่อาจทำให้เกิดการกระทบเทือนจิตใจจนทำให้เส้นประสาทเกิดการบีบรัด การทำกิจกรรมเดิม ๆซ้ำ ๆ  เช่น การนั่งใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ รวมถึงนักกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ เช่น นักว่ายน้ำ นักเบสบอล การตั้งครรภ์ กลุ่มอาการทีโอเอสอาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ครั้งแรก เนื่องจากข้อต่อคลายระหว่างตั้งครรภ์ ปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มอาการทีโอเอส เพศ เพศหญิงมีปัจจัยเสี่ยงต่อกลุ่มอาการทีโอเอสมากกว่าเพศชาย อายุ โดยส่วนใหญ่เพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี […]


อาการปวดศีรษะและไมเกรน

ปวดหัวไมเกรนมากจนทนไม่ไหว ลองวิธี นวดแก้ปวดหัวไมเกรน ด้วยตัวเอง กันดีกว่า

ไมเกรน (Migraine) อาการปวดหัวที่รุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จัดเป็นปัญหาสำคัญที่สามารถพบได้บ่อยโดยเฉพาะกับคนวัยทำงาน ซึ่งไมเกรนอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งหลายคนมักจะต้องรับประทานยา หรือวางงานทุกอย่างลงแล้วพักผ่อน เพื่อให้อาการปวดหัวทุเลาลง แต่วิธีการเหล่านี้ต่างก็กินเวลาไม่น้อย วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาแนะนำวิธีการ นวดแก้ปวดหัวไมเกรน ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองกันค่ะ [embed-health-tool-bmi] การนวด ส่งผลอย่างไรต่ออาการปวดหัวไมเกรน ดร. ดอว์น บุส (Dawn Buse) รองศาสตราจารย์จากคณะแพทยศาตร์ วิชาประสาทวิทยา แห่งวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein College of Medicine) ได้กล่าวไว้ว่า ในปัจจุบันนี้ งานวิจัยและข้อมูลเกี่ยวกับการนวดและอาการปวดหัวไมเกรนนั้นยังคงมีอยู่อย่างจำกัด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้น่าพึงพอใจ ในปี 2006 งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ได้ทำการทดลองโดยการให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวไมเกรนสุ่มเข้ารับการบำบัดด้วยการนวด พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการนวดบำบัดเพื่อลดอาการปวดหัวไมเกรน จะมีอาการไมเกรนกำเริบน้อยกว่า และสามารถนอนหลับได้ดีกว่าปกติ โดยงานวิจัยนั้นได้พบว่า การนวดสามารถช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้อย่างมีนัยสำคัญ วิธีการ นวดแก้ปวดหัวไมเกรน ด้วยตัวเอง นวดแก้ไมเกรน ในบริเวณใบหน้า เริ่มจากใช้นิ้วโป้ง กดลงไปที่โหนกแก้ม ใกล้กับบริเวณหูทั้งสองข้าง ใช้นิ้วชี้ […]


อาการปวดศีรษะและไมเกรน

แนวทาง การบำบัดไมเกรน ด้วยแสงสีเขียว แนวทางใหม่ที่อาจช่วยบำบัดไมเกรนได้

อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจะมีอาการปวดแบบตุบๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการปวดแค่ข้างเดียว แค่ก็สามารถปวด 2 ข้างได้เช่นกัน ในตอนแรกอาการปวดจะยังปวดเพียงเล็กน้อย และจะค่อย ๆ มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จากการวิจัยพบว่าแสงสามารถรักษาอาการปวดหัวไมเกรนได้ โดยเฉพาะแสงสีเขียว วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ การบำบัดไมเกรน ด้วยแสงสีเขียว มาให้อ่านกันค่ะ แสงสีเขียวคืออะไร แสงทั้งหมดจะมีการสร้างสัญญาณไฟฟ้าในเรตินา ด้านหลังดวงตาและเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งแสงสีแดงและแสงสีฟ้าเป็นแสงที่สร้างสัญญาณที่ใหญ่ที่สุด ส่วนแสงสีเขียวนั้นจะสร้างสัญญาณที่เล็กที่สุด นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่แสงสีเขียวไม่รบกวนผู้ที่มีอาการกลัวแสง  และช่วยให้บางคนอาการไมเกรนดีขึ้น การบำบัดไม่เกรน ด้วยแสงสีเขียวนั้นเป็นมากกว่าการใช้หลอดไฟสีเขียวหรือแสงสีเขียว แต่จะเป็นการใช้แสงสีเขียว แถบสีเขียวที่มีความเจาะจงและแคบจากหลอดไฟแบบพิเศษ ซึ่งขณะที่ใช้แสงสีเขียวจะต้องมีการกรองแสงอื่นๆ ทั้งหมด การบำบัดไมเกรน ด้วยแสงสีเขียว ทำได้อย่างไร จากการศึกษา ผู้ที่เข้ารับการทดสอบการบำบัดด้วยไมเกรนนั้น จะต้องนั่งอยู่ในห้องมืด ๆ ที่มีแสงสีเขียวเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงต่อวันในทุก ๆ วัน ผู้ที่เข้าร่วมการศึกษานั้นสามารถทำกิจกรรมใด ๆ ก็ได้ในนั้น แต่ห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์ใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดแสงสีอื่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต ที่สำคัญผู้ที่เข้าร่วมการทดลองนั้นไม่ควรมองเข้าไปที่แหล่งกำเนิดแสงโดยตรง และควรพยายามลืมตาอยู่ตลอดเวลา ไม่นอนหลับ แต่สามารถเลือกทำกิจกรรมอื่นๆ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน