ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ใครว่า วิดีโอเกม ส่งผลเสียต่อสมอง อย่างเดียว

วิดีโอเกม เป็นรูปแบบความบันเทิงยอดนิยม ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เชื่อว่าหลายๆ คนมีความชอบในการเล่นวิดีโอเกมกันอย่างแน่นอน แต่ส่วนใหญ่แล้ววิดีโอเกมมักจะถูกมองว่าเป็นตัวการที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากวัย วันนี้ Hello คุณหมอ มีอีกมุมหนึ่งของวิดีโอเกมมานำเสนอให้ทุกคนอ่านกัน มาดูกันว่า วิดีโอเกม ส่งผลต่อสมองอย่างไรบ้าง วิดีโอเกม กับการเปลี่ยนแปลงของสมอง จากการศึกษาวิจัย พบว่าสมองและวิดีโอเกมมีความเชื่อมโยงบางอย่างและการเล่นวิดีโอเกมยังมีส่วนช่วยปรับปรุงความสามารถในการตัดสินใจและความรู้ความข้าใจ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากโครงสร้างสมองของผู้ที่เล่นเกมเป็นประจำกับผู้ที่ไม่ค่อยได้เล่นเกม ซึ่งการเล่นวิดีโอเกมช่วยเพิ่มพื้นที่สมองที่ต้องใช้ทักษะในการควบคุมเรื่องต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความทรงจำ และมีความสามารถในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และนั้นอาจหมายความว่า  วิดีโอเกมอาจมีบทบาทในการบำบัดรักษาความผิดปกติของสมองและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกิดจากการบาดเจ็บของสมอง ประโยชน์ของ วิดีโอเกม ต่อสมอง วิดีโอเกมเพิ่มปริมาณสมอง จากการศึกษาของสถาบัน Max Planck เพื่อการพัฒนามนุษย์และการแพทย์มหาวิทยาลัย Charité St. Hedwig-Krankenhaus ได้เปิดเผยว่า การเล่นเกมกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ เช่น Super Mario 64 สามารถเพิ่มสมองเนื้อสีเทา (Gray matter) ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสมองที่รู้จักกันในชื่อ เปลือกสมอง (cerebral cortex) ซึ่งการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนสมองนี้ การเพิ่มขึ้นของสมองเนื้อสีเทา ที่เกิดขึ้นที่สมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ด้านขวาของผู้ที่เล่นวิดีโอเกมจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการจัดระเบียบและสร้างความทรงจำระยะยาว นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับอารมณ์และความรู้สึก กลิ่นและเสียงเข้ากับความทรงจำอีกด้วย เปลือกสมองส่วนหน้ามีส่วนร่วมในการทำงาน รวมถึงการตัดสินใจการแก้ปัญหา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เมื่อหัวหอมทำให้เราเสียน้ำตา ทำไม หั่นหอม แล้วร้องไห้

หากใครที่เข้าครัวอยู่เป็นประจำ ต้องเคยมีประสบการณ์ในการ หั่นหอม แล้วร้องไห้ อย่างแน่นอน เห็นเจ้าหัวหอม หัวจิ๋ว ๆ แบบนี้ แต่ก็ทำใครต่อใครเสียน้ำตามานักต่อนักแล้ว วันนี้ Hello คุณหมอ จะชวนทุกคนไปหาคำตอบกันว่า ทำไมเวลาเราหั่นหัวหอมจึงน้ำตาไหล พร้อมมีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้น้ำตาไม่ไหลเวลาหั่นหัวหอมมาฝากด้วย ไปดูกันเลย ทำไม หั่นหอม แล้วร้องไห้ พืชและสัตว์ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่างก็ต้องการที่จะหาทางในการอยู่รอดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ทีมีพิษเพื่อต่อสู้ป้องกันตัวเอง การอำพรางตัวเองของพืช หัวหอมก็เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันสัตว์นักล่าที่จะเข้ามากินหัวหอม หัวหอมจึงปล่อยสารระเหยที่ทำให้ดวงตาระคายเคือง ดังนั้นเมื่อเราเราหั่นหัวหอม หัวหอมจึงปล่อยสารระเหยที่ระคายเคืองต่อดวงตาออกมา ทำให้เราน้ำตาไหล เมื่อสารระเหยนั้นสัมผัสเข้ากับดวงตาหรือกระจกตา เส้นประสาทที่อยู่บริเวณปลายประสาทจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่ามีอาการระคายเคืองเกิดขึ้น จากนั้นสมองก็จะส่งสัญญาณไปยังต่อมน้ำตา เราจึงน้ำตาไหลในที่สุด  ประโยชน์ของหัวหอม ต่อสุขภาพ แม้ว่าการหั่นหัวหอมจะทำให้เราร้องไห้ น้ำตาไหล แต่หัวหอมก็ยังคงเป็นพืชที่ใครหลาย ๆ คนชอบรับประทาน เพราะหัวหอมนั้นนอกจากจะหวานอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย หัวหอมเป็นพืชตระกูล Allium ซึ่งเป็นตระกูลของพืชดอก เช่น กระเทียม หอมแดง ซึ่งผักเหล่านี้มีวิตามิน แร่ธาตุและสารประกอบทางเคมีในพืชหลายชนิดที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ จริง ๆ แล้ว หัวหอมนั้นมีสรรพคุณทางยาที่ในสมัยโบราณมักถูกนำมาใช้ในการรักษาโรค เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การบริจาคพลาสมา กับข้อดี ข้อเสีย ที่คุณควรรู้

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับการบริจาคเลือด และรู้จักเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือดกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำว่า “พลาสมา” และ “การบริจาคพลาสมา” กันเท่าไหร่นัก พลาสมา (Plasma) คือ ส่วนประกอบหลักของเลือด ลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส ประกอบไปด้วยน้ำ เกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฮอร์โมน ก๊าซ แอนติบอดีที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรค รวมถึงโปรตีนอัลบูมิน และไฟบริโนเจนซึ่งจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก พลาสมามีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น รักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ช่วยลำเลียงแร่ธาตุ สารอาหาร (เช่น โปรตีน) และฮอร์โมนไปสู่เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งรวมถึงฮอร์โมนที่ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อเจริญเติบโตแข็งแรง และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่จะช่วยให้เลือดหยุดไหลเวลาเลือดออกด้วย [embed-health-tool-heart-rate] ความจำเป็นในการบริจาคพลาสมา ในปัจจุบัน แพทย์จำเป็นต้องใช้พลาสมาในการรักษาพยาบาลสภาวะโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคมะเร็งบางชนิด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว) การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคฮีโมฟีเลียหรือโรคเลือดไหลไม่หยุด โรคระบบทางเดินหายใจ การให้เลือด การสมานแผล เป็นต้น การบริจาคพลามา จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นไม่แพ้การบริจาคโลหิต เพราะสามารถช่วยให้แพทย์เก็บสะสมพลาสมาไว้ใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ การบริจาคพลาสมา ปลอดภัยไหม การบริจาคพลาสมา ถือเป็นกระบวนการที่ปลอดภัย อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ส่วนผลข้างเคียงรุนแรงถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากมาก พลาสมาเป็นส่วนประกอบในเลือด เมื่อเรายินยอมบริจาคพลาสมา เจ้าหน้าที่จะเจาะเก็บเลือดจากเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อพับแขน เช่นเดียวกับการบริจาคโลหิต […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมคนเราถึง ขี้ลืม จำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคอัลไซเมอร์

เวลาคนรอบข้างมีอาการขี้หลงขี้ลืม จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือความจำไม่ค่อยจะดี เราก็มักจะพูดเล่นกันว่า “ขี้ลืมแบบนี้ เป็นอัลไซเมอร์แหงๆ” หรือ “แก่แล้วอะดิ ถึงได้ขี้ลืมแบบนี้” เพราะคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า อาการขี้ลืมต้องเกิดจากโรคอัลไซเมอร์ ไม่ก็เป็นเพราะอายุมาก แต่ความจริงแล้ว อาการขี้ลืมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และไม่จำเป็นต้องมาจากอัลไซเมอร์เสมอไป แล้วอาการ ขี้ลืม จะเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง เราจะเพิ่มความจำของเราได้ไหม Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้ว หลงลืมง่าย ไม่จำเป็นต้องเกิดจากอัลไซเมอร์ คนเรามักคิดว่าอาการหลงลืมง่าย จำอะไรไม่ค่อยได้ จะต้องเกิดจากภาวะสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ แต่ความจริง อาการขี้ลืม สูญเสียความทรงจำ สามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกมากมาย เช่น การสูงวัย เมื่อเราอายุมากขึ้น จนเข้าสู่วัยชรา กระบวนการรู้คิดของเราก็จะค่อยๆ ช้าลง และความสามารถในการจดจำเริ่มบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงดี สามารถจำข้อมูลต่างๆ ได้อยู่ ก็อาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือช่วงวัยรุ่นไม่ค่อยได้ ความเครียด ความเครียดนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังทำลายสมองด้วย ความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ หรือความเครียดฉับพลันสามารถกระตุ้นให้เกิดปัญหาสูญเสียความทรงจำชั่วขณะ แต่หากคุณเครียดสะสม ก็อาจนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่า อย่างภาวะสมองเสื่อมได้ โรคซึมเศร้า ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า มักมีอาการวิตกกังวล ไม่สนใจสิ่งรอบตัว และไม่มีสมาธิจะจดจำสิ่งต่างๆ ทำให้สมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ สมาธิ และการรับรู้บกพร่องขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนขี้ลืม จำอะไรไม่ได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

รู้ไหม? ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ยิ่งเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรค อาหารเป็นพิษ

เรารู้กันมาว่า ก่อนนำวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ มาประกอบอาหาร ก็ต้องล้างทำความสะอาดให้ดีก่อน เพื่อทำลายเชื้อโรคและสารเคมี ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อสัตว์ ก็ยิ่งต้องล้างเมือกและเลือดให้เกลี้ยง แต่ความจริงแล้ว การล้างทำความสะอาดวัตถุดิบบางอย่างก่อนนำมาทำอาหาร เช่น เนื้อไก่สด ก็อาจไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรคอย่างที่เราคิด แต่กลับยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย และทำให้คุณเสี่ยงโรคมากกว่าเดิม ลองอ่านบทความนี้ของ Hello คุณหมอ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม คุณถึงไม่ควร ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ทำไมเราถึงไม่ควร ล้างไก่สดก่อนทำอาหาร ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า การล้างไก่สดก่อนทำอาหาร เพิ่มความเสี่ยงอาหารเป็นพิษ เป็นไข้ ท้องเสีย เนื่องจากเนื้อไก่มักปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียอันตราย เช่น ซาลโมเนลลา (Salmonella) แคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ (Clostridium perfringens) และการล้างเนื้อไก่ก่อนนำไปทำอาหาร ก็ไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้ แต่กลับยิ่งเพิ่มความเสียงให้เชื้อโรคแพร่กระจายและปนเปื้อนไปทั่วห้องครัว จากผลงานศึกษาวิจัยของหน่วยบริการด้านความปลอดภัยและตรวจสอบคุณภาพอาหาร (Food Safety Inspection Service) สังกัดกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

นกพิราบ ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด! แต่เป็นพาหะนำโรค ที่คุณควรหนีให้ไกล

นกพิราบมีให้เห็นแทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบนเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน ตามฟุตบาทริมถนนหนทาง ยิ่งบริเวณลานกว้างในสวนสาธารณะ ยิ่งเป็นแหล่งชุมนุมของนกพิราบฝูงใหญ่ และภาพคนเอาอาหารไปโปรยให้นกพิราบ เด็กๆ วิ่งไล่นกพิราบจนแตกฮือ บินว่อนไปทั่วฟ้า หรือคนโพสท่าถ่ายรูปโดยมีฝูงนกพิราบเป็นฉากหลัง ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นกันจนชินตา แต่คุณรู้ไหมว่า ภาพสวย ๆ ที่ได้มานั้น อาจแลกด้วยการติดเชื้อโรคจากนกพิราบ โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว เพราะความจริงแล้ว นกพิราบ คือพาหะนำโรคตัวร้าย ที่ Hello คุณหมอ แนะนำให้คุณควรหนีให้ห่าง เห็นที่ไหน อย่าเฉียดไปใกล้เป็นดีที่สุด นกพิราบ… ตัวแพร่เชื้อโรค สัตว์ปีกอย่างนกพิราบ ถือเป็นพาหะนำโรคชั้นดี พวกมันบินไปทั่วพร้อมหอบเอาปริสิตและเชื้อโรคติดต่อมากมายไปแพร่กระจายยังที่ต่างๆ นกพิราบสามารถแพร่เชื้อโรคได้ผ่านทางแหล่งน้ำและอาหาร และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ มูลของนกพิราบ หรือเรียกง่ายๆ ว่าขี้นกพิราบ ที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยสนใจทำความสะอาด ปล่อยให้แห้งคาที่อยู่อย่างนั้น คิดว่าแค่เดินเลี่ยงก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ความจริง เมื่อขี้นกพิราบแห้งกลายเป็นผงลอยฟุ้งไปในอากาศ แล้วเราหายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนขี้นกพิราบเข้าไป ก็อาจทำให้เราติดเชื้อและป่วยได้เช่นกัน เชื้อโรคที่สามารถแพร่จากนกพิราบมาสู่คนได้ เช่น เชื้ออีโคไล (E. coli) เมื่อเราบริโภคน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนขี้นกพิราบ ก็อาจได้รับเชื้อแบคทีเรียอีโคไล และเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน มีไข้ ปวดท้องรุนแรงได้ เชื้อราฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis) เชื้อราที่เจริญเติบโตในขี้นก หากสูดดมเข้าไปจะทำให้เป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส ซึ่งเป็นโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แบคทีเรียซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ หนอง เป็นหนองแล้วจะอันตรายจริงไหม

เมื่อเกิดบาดแผล เราอาจจะสังเกตเห็นน้ำหนองสีเหลืองๆ ดูน่ากลัว ไหลออกมาจากแผลนั้น หลายคนที่เห็นว่าบาดแผลของตัวเองมี หนอง ก็อาจจะรู้สึกตกใจกลัว และกังวลใจว่าจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า บทความนี้จะมานำเสนอข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ หนอง ว่าคืออะไร และเป็นอันตรายจริงเหรอ [embed-health-tool-bmi] หนอง คืออะไร หนอง (Pus หรือชื่อทางการแพทย์คือ purulent exudate) หมายถึงของเหลวที่มีสีขาวอมเหลือง หรือเหลืองอมน้ำตาล ที่มักจะสะสมอยู่ในบริเวณแผลที่ติดเชื้อ และอาจมีกลิ่นเหม็น หนองนั้นคือของเหลวที่เกิดขึ้นจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ ตายลงและสะสมจนเกิดกลายเป็นน้ำหนอง นอกจากนี้ในน้ำหนองยังประกอบไปด้วย เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราอื่นๆ หากน้ำหนองนี้สะสมอยู่ใกล้กับบริเวณพื้นผิวหนัง จะเรียกว่าตุ่มหนอง หรือสิว หากน้ำหนองนั้นสะสมอยู่ในพื้นที่เนื้อเยื่อปิด ภายในผิวหนัง จะเรียกว่า ฝี สาเหตุของการเกิดหนอง หนองนั้นเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตอบสนองต่อการติดเชื้อ ที่มักจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อรา ซึ่งเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางบาดแผล หรือจากการสูดหายใจรับเชื้อเข้าไป เมื่อร่างกายรับรู้ว่าเราติดเชื้อ ร่างกายก็จะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท neutrophils เพื่อมากำจัดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย กระบวนการนี้จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวบางส่วน และเนื้อเยื่อรอบบริเวณที่ติดเชื้อตายลง การสะสมของเนื้อเยื่อและเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วเหล่านี้จะทำให้เกิดหนองขึ้น การติดเชื้อส่วนใหญ่นั้นมักจะทำให้เกิดหนอง โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียประเภท Staphylococcus aureus หรือ Streptococcus pyogenes มักจะมีโอกาสในการเกิดหนองมากเป็นพิเศษ แบคทีเรียทั้งสองประเภทนี้จะปล่อยพิษออกมา และทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบ ทำให้เกิดหนองมากขึ้น หนองเป็นอันตรายรึเปล่า หลังจากที่บาดแผลของคุณตกสะเก็ดแล้ว คุณอาจสังเกตเห็นน้ำหนองและของเหลวสีขาวๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ฟู้ดโคม่า อาการง่วงนอนหลังกินข้าว ที่ชาวออฟฟิศเป็นกันเยอะ!

การตื่นมาทำงานในตอนเช้าว่ายากแล้ว แต่การทำให้ตัวเราเองไม่ง่วงหลังจากการกินข้าวนั้นยากยิ่งกว่า เป็นที่มาของคำว่า “หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” จะแอบงีบในออฟฟิศก็คงทำไม่ได้ เพราะงานที่กองเป็นภูเขายังรออยู่เพียบ แถมอาจจะโดนเจ้านายต่อว่า ซ้ำ! ไปกว่านั้น ถ้าไม่ถูกตัดเงินเดือน ก็คงโดนไล่ออกแน่ๆ อาการที่เกิดกวนใจคุณนี้เรียกว่า ฟู้ดโคม่า วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมารู้จักกับอาการนี้กัน อาการง่วงนอนหลังจากการรับประทานอาหาร (Food Coma) คือ อาการง่วงนอนหลังกินอิ่ม ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า ฟู้ดโคม่า (Food Coma) ในขณะที่เรารับประทานอาหารในแต่ละมื้อที่มักประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อผ่านระบบการย่อยอาหารแล้วร่างกายจะกลั่นกรองน้ำตาลหรือกลูโคส ที่สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดนำไปใช้เป็นพลังงานในการใช้ชีวิตประจำ แต่ก็ยังมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งมาจากอาหารที่เราทานเข้าไปเช่นเดียวกัน เรียกว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งสารนี้จะเข้าสู่สมองและระบบประสาททำให้ลดความตึงเครียด และทำให้คุณเกิดอาการง่วงนอนได้ อิ่มจนรู้สึก ง่วงนอน เกิดจากสาเหตุอะไร? อาการง่วงนอนที่เกิดขึ้นบ่อยกับชาวออฟฟิศ ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดวิตกกังวล ไม่ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ นอกจากสาเหตุเหล่านี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้คุณเกิดอาการง่วงนอนระหว่างวัน การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ ทริปโตเฟน (Tryptophan) พบมากในเนื้อสัตว์ และนมบางชนิดที่รับประทานกันในชีวิตประจำวันและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วย ทริปโตเฟน (Tryptophan) จะเข้าสู่สมองและเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ลดความภาวะทางอารมณ์ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ การเปลี่ยนแปลงในกระแสเลือดไปยังสมอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบางคนกล่าวว่าอาการง่วงซึมเกิดจากการไหลเวียนของเลือดถูกส่งไปในการเลี้ยงสมองค่อนข้างน้อยทำให้คุณรู้สึกง่วง หรือเกิดอาการซึม และเหนื่อยล้าได้ง่าย การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรือแคลอรี่สูง นักวิจัยชี้ให้เห็นว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงทำให้เกิดอาการง่วงนอนหลังอาหาร ในการศึกษาจากนักวิจัยนำผู้ทดสอบที่รับประทานอาหารไขมันสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แอปเปิ้ลไซเดอร์ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล น้ำหมักคุณประโยชน์แน่น

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือที่เรียกกันว่า “แอปเปิลไซเดอร์วินีการ์” และ “แอปเปิ้ลไซเดอร์” หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างและสงสัยว่าแตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปอย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ เรามีคำอธิบายที่มาพร้อมกับทั้งวิธีเลือกซื้อ รวมไปถึงประโยชน์ในเชิงสุขภาพ และความงามอีกด้วยค่ะ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar ; ACV) คืออะไร แอปเปิ้ล ไซเดอร์ วินีการ์ (Apple Cider Vinergar ; ACV) คือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หมักจากแอปเปิ้ลสดโดยผ่านกรรมวิธีนำมาบดแล้วปล่อยให้เกิดการหมักตัวในถังไม้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองและกระบวนการความร้อน ด้วยเหตุนี้ทั้งเอนไซม์และแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติจึงยังคงอยู่ไว้อย่างครบถ้วน น้ำส้มสายชูที่ได้นี้จะมีคุณสมบัติความเป็นกรดสูง ทำให้มีสีเหลืองคล้ายน้ำชาและรสเปรี้ยวจัด ซึ่งมีความเป็นกรดประมาณ 5% มีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง และบริเวณก้นขวดจะมีตะกอนกากใยที่เกิดจากกระบวนการหมักหรือที่เรียกกันว่า “Mother” วิธีการเลือกซื้อน้ำส้มสายชูหมัก น้ำส้มสายชูหมักที่ดีควรบรรจุอยู่ในขวดแก้ว โดยมีฉลากที่ระบุแหล่งผลิตอย่างชัดเจน มีเครื่องหมาย อย. หรือเครื่องหมายรับรองคุณภาพ มอก. และวันหมดอายุร่วมด้วย ซึ่งหากเป็นสินค้าที่ผลิตใหม่ๆ ก็จะยิ่งคงคุณค่าไว้ได้มากขึ้น แต่หลังจากที่เปิดใช้แล้วก็ควรปิดฝาให้สนิทพร้อมกับเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่แห้งและมืด เพื่อช่วยป้องกันการระเหยและเป็นการยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนาน 5 ประโยชน์ด้านความงามกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล บำรุงผิว เพียงแค่นำสำลีแผ่นชุบกับน้ำส้มสายชูหรือแอปเปิลไซเดอร์แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า เพราะคุณสมบัติความเป็นกรดอ่อน ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้ผิวหน้ากระจ่างใส กระชับรูขุมขน นำผลสตรอเบอร์รี่สด 3 ลูก แช่ในน้ำส้มสายชูปริมาณ ¾ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำแข็ง คุณประโยชน์ที่มากกว่าความเย็น

ถ้าพูดถึง น้ำแข็ง เราคงคิดถึงน้ำแข็งที่ใส่ในเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความเย็น แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วน้ำแข็งนั้นมีคุณสมบัติและประโยชน์หลายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งในด้านการบำบัดรักษาโรค ด้านความงามและมีประโยชน์ต่อการใช้ในครัวเรือน วันนี้ Hello คุณหมอจะพาไปทำความรู้จักน้ำแข็งให้มากขึ้นกันค่ะ มาทำความรู้จัก น้ำแข็ง ให้มากขึ้นกันเถอะ น้ำแข็ง เป็นชื่อเรียกของสภาวะของแข็งของน้ำซึ่งมักอยู่ในรูปของผลึกของน้ำ โดยสภาวะปกติน้ำแข็งจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำในรูปของเหลวมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ก็จะแข็งตัวเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีความเย็น น้ำแข็งนั้นถูกนำใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำอาหาร และนำมาใส่เครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่น นอกจากนี้ น้ำแข็งยังอาจใช้ช่วยถนอมอาหาร ยืดอายุอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วอีกด้วย ประโยชน์ของน้ำแข็ง ด้านการบำบัดรักษาโรค เชื่อหรือไม่คะว่า เพียงเรานำน้ำแข็งมาวางไว้ที่ท้ายทอยจะช่วยทำให้ร่างกายของเรานั้นรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า การกระตุ้น จุดเฟิงฟู่ (Feng Fu) หากทำเป็นประจำจะช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ได้ดังนี้ ทำให้นอนหลับสนิทมากขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย บรรเทาอาการวิงเวียนศรีษะและอาการปวดฟัน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคทางเดินหายใจ ประโยชน์ของน้ำแข็ง ด้านความสวยความงาม คืนความสดชื่นแก่ดวงตา สาว ๆ ที่นั่งจอหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน จะต้องเคยรู้สึกว่า ปวดตา ล้าตาจังเลย แถมยังมีรอยคล้ำเล็ก ๆ เกิดรอบดวงตาพ่วงมาด้วยอีก ถ้าอยากให้ดวงตากลับมาสดใสเหมือนเดิม แล้วยังคลายความอ่อนล้าให้ดวงตาด้วย เอาน้ำแข็งก้อนเล็ก วางไว้บริเวณดวงตา ที่สาว ๆ รู้สึกล้า แค่นี้สาว ๆ ก็จะรู้สึกผ่อนคลายแล้ว น้ำแข็ง ช่วยให้เมคอัพติดทน ช่วยให้เมคอัพติดทนได้จริง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน