สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

โรคไวรัสตับอักเสบบี คือโรคอะไร ใครควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นหนึ่งในไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นชนิดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง มีเพียงยาที่ช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย โรคไวรัสตับอักเสบบี จึงเป็นโรคที่ควรตรวจคัดกรองเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคตับอักเสบชนิดหนึ่ง หรือเกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ สาเหตุจากการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อาจทำให้เซลล์ตับตาย ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด อาจกลายเป็นตับแข็ง นำสู่โรคมะเร็งตับได้  การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  ส่วนใหญ่การติดต่อของโรคเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารก ไม่ติดต่อผ่านทางการสัมผัสภายนอก ไม่ติดต่อหลักทางน้ำลาย แต่ติดต่อได้ ดังนี้ สามารถเกิดได้จากการเจาะหรือสักผิวหนัง ด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน เชื้อเข้าทางบาดแผล หรือการใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน  สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะไม่แสดงอาการในทันที แต่จะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน จึงเริ่มมีอาการ เช่น เกิดการอ่อนเพลียคล้ายกับโรคหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต  สีปัสสาวะเข้มขึ้น […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

อาการเมาค้าง ปัญหาแสนหงุดหงิดของนักดื่ม สามารถป้องกันได้

ดื่มหนักทีไร วันถัดไปอาการ เมาค้าง ตามมาเสียทุกที อีกทั้งบางคนที่มี อาการเมาค้าง อาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะฟื้นตัว และกลับมาเข้าสู่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ปกติอีกครั้ง แต่ไม่ต้องกังวลกันไปค่ะ เพราะบทความของ Hello คุณหมอ วันนี้มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องทุกข์ทรมานกับ อาการเมาค้าง มากฝากทุกคนกัน วิธีแก้ อาการเมาค้าง หลังจากดื่มหนัก วิธีแก้อาการเมาค้าง นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่มีเพียงไม่กี่วิธีที่ได้รับการทดสอบทางวิทยศาสตร์ หรือพิสูจน์แล้วว่าได้ผล อาหารเมาค้างคือสิ่งที่บางคนต้องพบในตอนเช้าหลังจากดื่มหนักในตอนเย็น อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้แก่ ปวดศีรษะ ภาวะขาดน้ำ เหนื่อยง่าย คลื่นไส้และอาเจียน ความรุนแรงของ อาการเมาค้าง ของแต่ละคนอาจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป มีอาหารหรือน้ำที่ดื่มเข้าไปด้วยหรือไม่ หากไม่อยากตื่นมาแล้วมีการเมาค้าง คุณสามารถปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้ เพื่อแก้อาการเมาค้างให้หายไป และพร้อมลุกขึ้นมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างสดชื่น ตรวจสอบฉลากบนผลิตภัณฑ์ ลองมองหาเครื่องหมายเปอร์เซ็นต์บนขวด เพื่อดูปริมาณแอลกอฮอล์เป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเครื่องดื่ม (Alcohol by Volume หรือ ABV) พยายามเลือกเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเครื่องดื่มในปริมาณที่น้อยลง เพื่อให้ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์น้อยลง และลดความเสี่ยงต่อการเกิด อาการเมาค้าง ในวันถัดไป วัดปริมาณเครื่องดื่ม การวัดปริมาณเครื่องดื่มถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการวัดปริมาณเครื่องดื่ม และตระหนักถึงปริมาณที่พวกเขาดื่มเข้าไป เมื่อดื่มที่บ้านบางคนอาจใช้มาตรการที่สำคัญกว่านี้ หรือบางคนอาจจะไม่ตระหนักถึงปริมาณของการดื่ม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้แต่ละคนดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่ไม่สามารถจำกัดได้ กำหนดจังหวะการดื่มของตัวเอง คนที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างช้าๆ จะมีโอกาสน้อยที่จะมีอาการเมาค้างอย่างรุนแรงในวันรุ่งขึ้น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เลิกใส่ส้นสูง แล้วจะเกิดอะไรดีๆ กับสุขภาพของเราบ้าง

หากต้อง เลิกใส่ส้นสูง อาจทำให้ผู้หญิงบางคนทำใจไม่ได้ เนื่องจากส้นสูงเป็นแฟชั่นที่อยู่คู่กับสาว ๆ มานับสิบ ๆ ปีแล้ว แต่ Hello คุณหมอ ก็อยากแนะนำให้คุณเลิกใส่ส้นสูง หรืออย่างน้อยก็ใส่ส้นสูงให้น้อยลง แล้วสุขภาพของคุณจะดีขึ้นอีกเป็นกอง จนคุณต้องเอ่ยว่า “รู้งี้เลิกใส่ส้นสูงนานแล้ว” ข้อดีของการ เลิกใส่ส้นสูง อาการปวดหลังจะหายไป คุณอาจคิดว่าการใส่รองเท้าส้นสูงส่งผลกระทบกับแค่ที่เท้าและขาเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง รองเท้าส้นสูงส่งผลต่อกล้ามเนื้อมากมายหลายส่วน ตั้งแต่เท้า ขา หลังช่วงล่าง หลังช่วงกลาง เรื่อยไปจนถึงกล้ามเนื้อคอ นอกจากนี้ เวลาที่เราใส่ส้นสูง กระดูกเชิงกรานของเราจะแอ่นไปทางด้านหลัง ส่งผลให้เกิดแรงกดบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว และกล้ามเนื้อในบริเวณใกล้เคียง นอกจากจะทำให้กระดูกเชิงกรานวางแนวไม่ได้ระดับแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ด้วย แต่ถ้าคุณหยุดใส่ส้นสูงเมื่อไหร่ กระดูกเชิงกรานก็จะวางแนวอยู่ในระดับปกติ อาการปวดหลังหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีโอกาสติดเชื้อราน้อยลง เมื่อพูดถึงเรื่องแฟชั่น บางครั้งเราก็ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ในการพยายามยัดร่างกายส่วนต่าง ๆ เข้าไปในเครื่องแต่งกายที่รัด หรือเล็กกว่าปกติ เช่น เสื้อชั้นในแบบมีโครงลวด ถุงน่อง กางเกงรัดรูป รองเท้าส้นสูง ที่ถึงแม้จะใส่แล้วอึดอัด ไม่สบายตัวแค่ไหนแต่เราก็ทำได้เพื่อความสวย แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าการใส่รองเท้าส้นสูงนาน ๆ สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะเชื้อรา รองเท้าหัวแหลมและรองเท้าส้นสูงจะทำให้เกิดแรงกดบริเวณปลายเท้าตลอดเวลาที่สวมใส่ โดยเฉพาะในบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า จึงมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อราได้ง่าย หรืออาจเป็นเล็บขบได้ด้วย แต่หากเราเลิกใส่ส้นสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

พักกลางวัน แค่ลุกออกไปกินข้าวนอกออฟฟิศ สุขภาพก็ฟิตขึ้นได้

พักกลางวัน คือช่วงเวลาที่เหล่าพนักงานออฟฟิศทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาคอย เพราะจะได้พักกินข้าวเที่ยงหลังจากที่นั่งทำงานกันมาตลอดช่วงเช้า เมื่อถึงช่วงพักกลางวัน คุณก็ควรลุกออกจากโต๊ะทำงาน ไปเดินเล่น กินอาหารกลางวันนอกออฟฟิศบ้าง อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่ในออฟฟิศ หรือนั่งกินข้าวที่โต๊ะ เพราะข้อดีของการไปกินข้าวนอกออฟฟิศในช่วงพักกลางวัน ไม่ใช่แค่ช่วยให้ท้องอิ่ม แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจอีกมากมายหลายประการ  ประโยชน์ของการออกจากออฟฟิศช่วง พักกลางวัน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ความตึงเครียดอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพกาย เช่น อาการนอนไม่หลับ หงุดหงิด อ่อนเพลีย และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า ได้อีกด้วย ในช่วงเวลาทำงาน ถึงอาจไม่สะดวกผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการออกกำลังกาย เล่นโยคะ แต่การปลีกตัวจากสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด เช่น การทำงาน ในช่วงพักกลางวัน ก็สามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ในระดับหนึ่ง หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้ว คุณอาจเดินเล่นผ่อนคลายสักพัก ค่อยกลับเข้าออฟฟิศ ก็จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น การนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลาหลายชั่วโมง นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนถูกกดทับจนตึงเครียดแล้ว ยังทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกด้วย ฉะนั้น เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน คุณควรลุกจากโต๊ะทำงาน ออกไปกินข้าวนอกออฟฟิศ การออกไปเดินบ้าง แม้จะแค่ระยะเวลาสั้นๆ ในระหว่างหยุดพักกลางวัน ก็ถือเป็นการยืดกล้ามเนื้อที่ดี ช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของเลือด ข้อต่อได้เคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยลดอาการตะคริวและป้องกันอุบัติเหตุได้ ช่วยให้เราไม่กินมากเกินไป การออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกออฟฟิศ จะช่วยให้เรากินอย่างมีสติ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการกินอาหาร ซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เรากินมากเกินไปได้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการเผยว่า การกินไปด้วยทำงานไปด้วย มักทำให้เรากินมากเกินไป เนื่องจากไม่รู้ตัวว่าอิ่มแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กว่าสมองจะรู้ว่ากินอิ่มแล้วนั้น ต้องใช้เวลาถึง 20 นาที […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แมงกะพรุนต่อย (Jellyfish stings)

การถูกแมงกะพรุนต่อย(Jellyfish stings) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยามที่เราเล่นน้ำหรือดำน้ำในทะเล แมงกะพรุนบางชนิดอาจแค่ทำให้ปวดและเกิดผื่นนูนแดง แต่บางชนิดก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ คำจำกัดความแมงกะพรุนต่อย คืออะไร แมงกะพรุน หรือ กะพรุน (Jellyfish) ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกกว่า 500 ล้านร้อยปี และแพร่กระจายอยู่ในทะเลทั่วโลก แมงกะพรุนมีอยู่มากมายหลายชนิด บางชนิดมีลักษณะเหมือนวุ้นใสก้อนกลมๆ เล็กๆ ขณะที่บางชนิดก็มีขนาดใหญ่ หลากสีสัน และมีรยางค์อยู่ใต้ลำตัว อวัยวะส่วนที่ต่อยได้ของแมงกะพรุน ก็คือ รยางค์ หรือหนวดยาว ๆ ของมันนั่นเอง โดยแมงกะพรุนจะต่อยเหยื่อของมันด้วยเข็มพิษที่หนวด และปล่อยพิษเพื่อทำให้เหยื่อเป็นอัมพาต ปกติแล้วแมงกะพรุนจะไม่จู่โจมมนุษย์ แต่บางคนอาจว่ายน้ำจนไม่ทันระมัดระวัง เผลอไปโดนตัวมันเข้าจึงทำให้เกิดโดนต่อยขึ้น หรือแม้แต่แค่เราเหยียบโดนแมงกะพรุนที่ตายแล้ว ก็สามารถโดนต่อยได้เช่นกัน การถูกแมงกะพรุนต่อย (Jellyfish Stings) อาจจะเจ็บปวด แต่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน โดยปกติแล้ว หากถูกแมงกะพรุนต่อย จะทำให้ปวด เกิดรอยนูนแดง คัน หรือเกิดอาการชา แต่หากโดนแมงกะพรุนบางชนิดต่อย เช่น แมงกะพรุนกล่อง หรือที่เรียกว่าแมงกะพรุนสาหร่าย ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน โดยแมงกะพรุนชนิดนี้พบมากในออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ มหาสมุทธอินเดีย และมหาสมุทธแปซิฟิกตอนกลาง พบได้บ่อยแค่ไหน การถูกแมงกะพรุนต่อยเป็นปัญหาที่ผู้ว่ายน้ำ เล่นน้ำ หรือดำน้ำในทะเลสามารถพบได้บ่อย หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ โปรดสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงความร้ายแรง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โบท็อกซ์ ประโยชน์ที่มากกว่าการลดเลือนริ้วรอย

โบท็อกซ์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าผากและรอยตีนตา แต่จะมีใครซักกี่คนที่รู้ว่า โบท็อกซ์ก็ช่วยรักษาโรคอื่นๆ ได้อีกตั้งหลายโรค ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้  หนังตากระตุก (Blepharospasms) สารที่เป็นพิษต่อระบบประสาทในโบท็อกซ์ ทำให้เกิดอาการอัมพาตขึ้นชั่วคราว จึงทำให้เส้นประสาทไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับกล้ามเนื้อได้ จึงมีประโยชน์ในการรักษาอาการที่ไม่ควรเกิดกับกล้ามเนื้อ อย่างเช่น อาการกระตุก จริงๆ แล้วการที่องค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้โบท็อกซ์ในปี 1989 นั้น ก็เนื่องมาจากใช้รักษาโรคหนังตากระตุกได้นั่นแหละ คนที่เป็นโรคหนังตากระตุก จะสูญเสียการควบคุมความสามารถในการสื่อสาร กับส่วนหนึ่งของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา เมื่อมีอาการกระตุกที่ควบคุมไม่ได้ เซลล์ประสาทพวกนั้นก็จะส่งสัญญาณมากผิดปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการกระตุกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้ามีอาการรุนแรงมากๆ คนไข้ก็ไม่สามารถลืมตาเพื่อดูอะไรได้ ในกรณีนี้ โบท็อกซ์จะเข้าไปหยุดยั้งการสื่อสารในจุดเชื่อมต่อประสาทกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกลายเป็นอัมพาตขึ้นชั่วคราว และอาการหนังตากระตุกก็จะหายไป ตาเหล่ (Strabismus) อาการตาเหล่ เป็นอีกโรคหนึ่งที่ใช้โบท็อกซ์รักษาแล้วได้ผลเป็นอย่างดี อาการตาเหล่อาจเป็นโรคที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บในบริเวณดวงตา ซึ่งถึงแม้จะแก้ไขอาการตาเหล่ด้วยวิธีการผ่าตัดได้ แต่บางครั้งแพทย์ก็ลองใช้โบท็อกซ์รักษาอาการดูก่อน ฉะนั้น วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่ไม่อยากได้รับการผ่าตัด ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีรักษาอาการตาเหล่ได้ในระยะยาวด้วย โรคสายเสียงหดเกร็ง (Spasmodic dysphonia) โรคสายเสียงหดเกร็ง จะทำให้เกิดเสียงสั่น ฝืนธรรมชาติ หรือแหบห้าว ซึ่งไม่ถือเป็นความบกพร่องทางการพูด และเป็นโรคทางระบบประสาทมากกว่า คนที่เป็นโรคนี้จะได้รับสัญญาณที่ผิดปกติจากสมอง และเกิดอาการกระตุกที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อเสียง ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่สายเสียง เพื่อทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นอ่อนเปลี้ยนิดนึง ซึ่งจะช่วยให้คนไข้สามารถเปล่งเสียงได้อย่างราบรื่น และคงที่มากขึ้น โรคน้ำลายไหล (hypersalivation) เมื่อเราฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่ต่อมน้ำลาย ก็จะทำให้เส้นประสาทในบริเวณนั้นเป็นอัมพาต และหยุดผลิตน้ำลายออกมามากเกินไป […]


อาการของโรค

โลหิตจางจากการขาดวิตามิน (Vitamin Deficiency Anemia)

โลหิตจางจากการขาดวิตามิน (Vitamin deficiency anemia) คือการขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สุขภาพดี สามารถเกิดขึ้นได้หากคุณรับประทานโฟเลต วิตามินบี12 และวิตามินซีไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ หากร่างกายของคุณมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึม หรือร่างกายมีปัญหาในการจัดการกับสารอาหารเหล่านี้ได้ไม่ดี คำจำกัดความโลหิตจางจากการขาดวิตามิน คืออะไร โลหิตจางจากการขาดวิตามิน (Vitamin deficiency anemia) คือการขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สุขภาพดี เนื่องจากคุณมีปริมาณวิตามินน้อยกว่าปกติ วิตามินที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้ประกอบด้วย โฟเลต วิตามินบี-12 และวิตามินซี ภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินสามารถเกิดขึ้นได้ หากคุณรับประทาน โฟเลต วิตามินบี12 และวิตามินซีไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ หากร่างกายของคุณมีปัญหากับการดูดซึม หรือจัดการกับสารอาหารเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ภาวะโลหิตจางทุกชนิดจะเกิดจากการขาดวิตามิน สาเหตุอื่นๆ ของภาวะโลหิตจาง มีทั้งการขาดธาตุเหล็ก และการเป็นโรคเลือดบางชนิด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะไปพบคุณหมอเพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และรักษาภาวะโลหิตจางของคุณ ซึ่งภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินนั้น มักจะสามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามิน และปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน โลหิตจางจากการขาดวิตามิน พบได้บ่อยแค่ไหน โปรดปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของ โลหิตจางจากการขาดวิตามิน อาการทั่วไปมีดังนี้ เหนื่อยล้า หายใจติดขัด มึนงง ผิวเหลืองหรือซีด หัวใจเต้นไม่ปกติ น้ำหนักลด มีอาการเหน็บชาที่แขนหรือขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง บุคลิกเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวไม่มั่นคง สับสนหรือหลงลืม ภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินมักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ใข้เวลาหลายเดือนจนถึงหลายปี โดยในตอนแรกอาการขาดวิตามินนั้นอาจจะไม่รุนแรง แต่มันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อร่างกายมีการขาดวิตามินมากยิ่งขึ้น อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาหมอของคุณ ควรไปพบหมอเมื่อไร ถ้าคุณมีอาการใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษากับคุณหมอ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดจึงควรพูดคุยกับหมอ เพื่อหาแนวทางในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ สาเหตุสาเหตุของโลหิตจางจากการขาดวิตามิน ภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินจะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายของคุณได้รับวิตามินไม่เพียงพอที่จะนำไปผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สุขภาพดีให้มีปริมาณเพียงพอ เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจน จากปอดส่งไปยังจุดต่างๆ […]


การทดสอบทางการแพทย์

บาดเจ็บไขสันหลัง (Spinal Cord Injury)

คำจำกัดความการบาดเจ็บไขสันหลัง คืออะไร การบาดเจ็บไขสันหลัง หรือไขสันหลังบาดเจ็บ (Spinal Cord Injury) คือ อาการที่บริเวณไขสันหลัง รวมถึงรากประสาทในโพรงกระดูกสันหลังเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจเป็นอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลังบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งอาการบาดเจ็บอาจร้ายแรง จนส่งผลให้เป็นอัมพาต หรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันไปยาวนานเลยทีเดียว ไขสันหลังนั้นมีเส้นประสาทเป็นจำนวนมาก และยังมีเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่กระดูกสันหลังทำหน้าที่ปกป้องอยู่ด้วย กระดูกสันหลังคือส่วนกระดูกที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เป็นแนวสันหลัง ประกอบไปด้วยเส้นประสาทที่ต่อตรงมาจากฐานสมอง ลงมาถึงส่วนหลังใกล้บั้นท้าย ไขสันหลังทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณจากสมองไปสู่จุดอื่นๆ ในร่างกาย และส่งสัญญาณจากร่างกายไปสู่สมอง การที่เราสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวด หรือขยับแขนขาได้นั้น ก็เป็นเพราะสัญญาณที่ส่งผ่านไขสันหลัง ถ้าหากไขสันหลังบาดเจ็บ สัญญาณบางส่วนหรือทั้งหมด อาจไม่สามารถส่งผ่านไปได้ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการรับรู้ความรู้สึก หรือการเคลื่อนไหว หากกระดูกสันหลังบริเวณใกล้คอได้รับบาดเจ็บ จะทำให้ร่างกายส่วนใหญ่เป็นอัมพาต ได้มากกว่าการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว การบาดเจ็บไขสันหลังพบบ่อยแค่ไหน โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม อาการอาการ บาดเจ็บไขสันหลัง อาการทั่วไปของไขสันหลังบาดเจ็บ มีดังนี้ การเดินมีปัญหา ไม่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ได้ ไม่สามารถขยับแขนหรือขาได้ มีอาการเหน็บชาที่แขนขา หมดสติ ปวดศีรษะ รู้สึกปวด และเมื่อยล้าบริเวณหลังหรือคอ มีอาการช็อก ศีรษะอยู่ในตำแหน่งต่างไปจากเดิม สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณคิดว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการบาดเจ็บไขสันหลัง ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ โทรเรียกหน่วยฉุกเฉินในทันที ยิ่งได้รับการช่วยเหลือเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อย่าเคลื่อนย้าย หรือรบกวนผู้ป่วยถ้าไม่จำเป็น และไม่ควรขยับศีรษะของผู้ป่วย พยายามให้ผู้ป่วยอยู่นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้สึกว่าสามารถลุกขึ้น หรือเดินได้เอง หากผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ปฏิบัติการกู้ชีพ (CPR) โดยไม่ต้องหมุนคอกลับมา เมื่อผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและระบบประสาทเพื่อหาว่า มีอาการบาดเจ็บไขสันหลังหรือไม่ และในบริเวณไหน วิธีที่แพทย์จะใช้เพื่อวินิจฉัยโรค มีดังนี้ การทำซีทีสแกน (CT scans) การทำเอ็มอาร์ไอ (MRIs) ตรวจเอ็กซเรย์ที่กระดูกสันหลัง การตรวจการตอบสนองของระบบประสาทตาต่อการกระตุ้น (Evoked potential […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะขาดเอนไซม์G6PD (G6PD Deficiency)

ภาวะขาดเอนไซม์G6PD (Glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency) ความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจากการที่ปริมาณของเอนไซม์ G6PD ในเลือดมีไม่เพียงพอ การขาดเอนไซม์นี้ อาจจะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก และกลายเป็นโรคโลหิตจางจากเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกในที่สุด คำจำกัดความภาวะขาดเอนไซม์G6PD คืออะไร ภาวะขาดเอนไซม์G6PD (Glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency) ความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจากการที่ปริมาณของเอนไซม์ G6PD ในเลือดมีไม่เพียงพอ เอนไซม์ชนิดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการควบคุมปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงมีสุขภาพดี และสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ การขาดเอนไซม์นี้ อาจจะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก และกลายเป็นโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกในที่สุด ภาวะขาดเอนไซม์G6PDเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ผู้คนประมาณ 400 ล้านคนทั่วโลกมีภาวะขาดเอนไซม์G6PD โรคนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในบางส่วนของแอฟริกา เอเชีย แถบเมดิเตอเรเนียน และตะวันออกกลาง โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของภาวะขาดเอนไซม์G6PD อาการทั่วไปของภาวะขาดเอนไซม์G6PDได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ ปัสสาวะเป็นสีเข้มหรือสีส้มอมเหลือง เป็นไข้ เหนื่อยล้า วิงเวียนศีรษะ ตัวซีด ดีซ่าน หรือผิวและตาขาวเป็นสีเหลือง อาจมีอาการที่ไม่ได้ระบุถึงข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์ เมื่อไหร่ที่ฉันควรไปโรงพยาบาล หากคุณมีสัญญาณ หรืออาการที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถามอื่นๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายแต่ละคนตอบสนองต่างกัน ทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์ว่า อะไรเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของภาวะขาดเอนไซม์G6PD ภาวะขาดเอนไซม์G6PD เป็นโรคทางพันธุกรรม ที่ส่งต่อจากบิดามารดา หรือคนใดคนหนึ่งสู่บุตร ยีนผิดปกติบนโครโมโซมเอ็กซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครโมโซมเพศสองโครโมโซม จะเป็นสาเหตุของภาวะนี้ ผู้ชายจะมีโครโมโซมเอกซ์เพียงโครโมโซมเดียว แต่ผู้หญิงจะมีโครโมโซมเอกซ์สองโครโมโซม ในผู้ชาย สำเนายีนที่เปลี่ยนไปเพียงสำเนาเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดภาวะขาดเอนไซม์G6PD อย่างไรก็ตาม ในผู้หญิง การเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมอาจเกิดขึ้นกับสำเนายีนทั้งสองสำเนา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (Thyroid Disorder)

คำจำกัดความความผิดปกติของต่อมไทรอยด์คืออะไร ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (thyroid disorder) เป็นอาการที่ส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ ต่อมที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ และอยู่ด้านหน้าของคอ ต่อมไทรอยด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบเผาผลาญหลายระบบทั่วทั้งร่างกาย ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์แต่ละชนิด ล้วนส่งผลต่อโครงสร้าง หรือการทำงานของต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์อยู่ใต้ลูกกระเดือกโอบอยู่รอบๆ หลอดลม เนื้อเยื่อบางๆ ที่กลางต่อมเรียกว่าคอคอด (isthmus) เชื่อมกลีบของต่อมไทรอยด์ในแต่ละด้าน ต่อมไทรอยด์ใช้ไอโอดีนเพื่อสร้างฮอร์โมนที่สำคัญ ฮอร์โมนไทรอกซิน (Thyroxine หรือ T4) เป็นฮอร์โมนหลักที่ผลิตโดยต่อมนี้ หลังจากร่างกายลำเลียงฮอร์โมนไทรอกซินผ่านกระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ฮอร์โมนไทรอกซินส่วนเล็กๆ ที่ออกมาจากต่อมไทรอยด์ จะเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (triiodothyronine หรือ T3) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์มากที่สุด การทำงานของต่อมไทรอยด์ถูกควบคุมโดยการตอบสนองของกลไกที่เกี่ยวข้องกับสมอง เมื่อระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ต่อมไฮโพทาลามัส (hypothalamus) ในสมอง จะผลิตฮอร์โมนที่เรียกว่าฮอร์โมนสำหรับปล่อยไทโรโทรปิน (thyrotropin releasing hormone หรือ TRH) ที่ทำให้ต่อมใต้สมอง (ตั้งอยู่ที่ส่วนฐานของสมอง) ปล่อยฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (thyroid stimulating hormone หรือ TSH) ฮอร์โมนดังกล่าวจะกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ปล่อยฮอร์โมนไทรอกซินเพิ่มขึ้น เนื่องจากต่อมไทรอยด์ถูกควบคุมโดยต่อมใต้สมอง และต่อมไฮโพทาลามัส ความผิดปกติของเนื้อเยื่อเหล่านี้ อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ และทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติได้เช่นกัน ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism) ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) โรคคอพอก ก้อนเนื้อที่ต่อมไทรอยด์ มะเร็งต่อมไทรอยด์ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ปรึกษาแพทย์เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการของความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ได้แก่ เหนื่อยล้า ไม่ค่อยมีสมาธิ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย มาดูกันว่ากรุ๊ปเลือดไหนเป็นคนอย่างไร

งานวิจัยกรุ๊ปเลือดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อนักวิจัยชี้ว่า กรุ๊ปเลือดมีความเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยส่วนตัว ทุกวันนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับ กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย นี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า กรุ๊ปเลือด ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอุปนิสัยส่วนตัวของคุณ แต่ยังอาจสะท้อนถึงสุขภาพ และโอกาสในการเกิดโรคบางอย่างได้ด้วย ในประเทศญี่ปุ่น ผู้คนเชื่อว่าลักษณะทางกายภาพของคุณ สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการทำงานได้ มีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ใช้กรุ๊ปเลือดเป็นฐานข้อมูลในการแยกแยะและประเมินพนักงานของตัวเอง อีกตัวอย่างหนึ่งของการนำกรุ๊ปเลือด มาใช้ในชีวิตจริง คือ การที่มีตัวแทนหรือหน่วยงานจัดหาคู่เดท โดยใช้กรุ๊ปเลือดในการจับคู่ โดยดูว่ากรุ๊ปเลือดไหนมีโอกาสเข้ากันได้ กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ยังไงได้บ้าง กรุ๊ปเลือด หรือหมู่โลหิต มีทั้งหมด 4 ชนิด คือ เอ บี เอบี และโอ แต่ละกรุ๊ปมีลักษณะเฉพาะที่สามารถสะท้อนถึงอุปนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน หรือเรียกง่ายๆ ว่ากรุ๊ปเลือดบอกนิสัยของแต่ละคนได้ ไม่เพียงเท่านั้น กรุ๊ปเลือดยังสามารถแสดงระดับความเข้ากันได้กับคนอื่น และคุณภาพการดำเนินชีวิตของแต่ละคนได้อีกด้วย เลือดกรุ๊ปเอ ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอ มักจะเป็นพวกแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะมีบรรทัดฐานต่อตัวเองและคนอื่นสูง พวกเขามักจะดูสงบนิ่งเมื่อมองจากภายนอก แต่มีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอยู่ภายใน พวกเขาอาจจะขี้อาย แต่ไว้ใจได้ อ่อนโยน และมีความเป็นศิลปินในตัว อย่างไรก็ตาม หลายคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ มักชอบเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ จนมันระเบิดออกมา ความสามารถของพวกเขาทำให้พวกเขาเป็นผู้นำที่ดีได้ แต่อาจทำให้พวกเขาเครียด ซึ่งไม่ดีต่อระบบทางกายภาพและจิตใจ คนดังที่มีกรุ๊ปเลือดเอ เช่น จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน