บลูเบอร์รี่ประกอบไปด้วยไฟเบอร์ โพแทสเซียม โฟเลต วิตามินซี วิตามินบี 6 และไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง นอกจากนี้ บลูเบอร์รี่ยังเป็นผลไม้ที่ปราศจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจ ส่วนไฟเบอร์ก็ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ที่สำคัญวิตามินบี 6 และโฟเลตยังป้องกันการสะสมของสารโฮโมซิสทีน (Homocysteine) หากร่างกายสะสมสารนี้มากเกินไป อาจทำลายหลอดเลือดและทำให้เกิดปัญหาโรคหัวใจได้
นอกจากนี้ งานศึกษาวิจัยของ Harvard School of Public Health และ University of East Anglia ยังพบว่า การบริโภคอาหารที่มีแอนโธไซยานินเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายได้ถึง 32%
ป้องกันมะเร็ง
วิตามินซี วิตามินเอ และไฟโตนิวเทรียนท์ที่พบได้ในบลูเบอร์รี่ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลาย การวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารต้านอนุมูลอิสระอาจยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก ลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยขับไล่หรือชะลอการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ นอกจากนี้ บลูเบอร์รี่ยังมีโฟเลต ซึ่งมีบทบาทในการสังเคราะห์และซ่อมแซมดีเอ็นเอ ซึ่งช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากการกลายพันธุ์ในดีเอ็นเอ
ช่วยย่อยอาหารและช่วยลดน้ำหนัก
บลูเบอร์รี่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่มีส่วนช่วยป้องกันอาการท้องผูก และช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ยังอาจช่วยลดน้ำหนักและมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทานบลูเบอร์รี่
สำหรับผู้ที่รับประทานยาเจือจางเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบลูเบอร์รี่ เพราะบลูเบอร์รี่มีวิตามินเค (Vitamin K) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด การได้รับวิตามินเคมากเกินไปอาจลดประสิทธิภาพของยาได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย