วิธีการนับอายุครรภ์สามารถนับได้ 2 รูปแบบ คือ แบบสัปดาห์และแบบเดือน โดยคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ได้ 20 week (สัปดาห์) หรือ 5 เดือน อาจอยู่ในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ควรดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองและทารกเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ การคลอดก่อนกำหนด เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
คุณแม่ตั้งครรภ์ 20 week เท่ากับกี่เดือน
คุณแม่ตั้งครรภ์ 20 week เท่ากับตั้งท้องได้ 5 เดือน เป็นการตั้งครรภ์ที่อยู่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งร่างกายของคุณแม่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- ขนาดหน้าท้องโตขึ้น
เมื่อทารกในครรภ์เจริญเติบโต มดลูกของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้ทารกในครรภ์มีพื้นที่เคลื่อนไหวร่างกาย ไม่รู้สึกอึดอัด จึงทำให้หน้าท้องของคุณแม่ขยายตามการเจริญเติบโตของลูกน้อยจนกว่าจะคลอด
- หน้าอกขยาย คัดเต้า
ในการตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสแรก คุณแม่อาจเริ่มมีอาการเต้านมคัด เจ็บหน้าอกเมื่อถูกเสียดสีและสัมผัส แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 อาการเจ็บหน้าอกจะลดลง เต้านมจะขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนม กักเก็บน้ำนมให้ทารกกินหลังคลอด คุณแม่ควรเลือกสวมใส่เสื้อชั้นในที่พอดีตัว ใส่สบาย ไม่กดทับหน้าอก เช่น สปอร์ตบรา
- ความเครียด วิตกกังวล
ในช่วงไตรมาสที่ 2 คุณแม่อาจรู้สึกเหนื่อยน้อยลงกว่าช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก แต่อาจมีความเครียดมากขึ้นเพราะใกล้ถึงกำหนดคลอดขึ้นเรื่อย ๆ คุณแม่อาจคลายเครียดด้วยการทำงานอดิเรก นั่งสมาธิ ฟังเพลง หรืออาจศึกษาเกี่ยวกับการดูแลตัวเองก่อนคลอด วิธีจัดการกับความเจ็บปวดช่วงใกล้คลอด และวิธีเลี้ยงทารกหลังคลอด เพื่อคลายความวิตกกังวล และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคต
- วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว
คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดหัว เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรหลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแก้ปวดอื่น ๆ ระหว่างตั้งครรภ์ นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง เช่น ยาไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้ปิดกั้นทางเดินเลือดในหัวใจของทารก เพิ่มความเสี่ยงที่ส่งผลให้ไตทารกทำงานผิดปกติ นำไปสู่ทารกพิการแต่กำเนิด การแท้งบุตร ถ้าอาการปวดศีรษะไม่ดีขึ้น คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ดื่มน้ำให้มาก ๆ และเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
- ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
ร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์อาจผลิตเลือดมากขึ้น เพื่อนำเลือดไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ ทำให้อาจมีอาการเยื่อบุจมูกบวม คัดจมูก หายใจไม่สะดวก และเสี่ยงเลือดกำเดาไหล คุณแม่ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เปิดเครื่องทำความชื้น และทาปิโตเลียมเจลเพิ่มความชุ่มชื้นรอบจมูก และช่วยลดน้ำมูก
- สุขภาพช่องปาก
ระหว่างการตั้งครรภ์ เหงือกของคุณแม่อาจอ่อนแอลง ทำให้มีเลือดออกง่าย โดยเฉพาะขณะขัดฟันหรือแปรงฟัน อีกทั้งอาการแพ้ท้องอาจทำให้คุณแม่อาเจียนบ่อยครั้งส่งผลให้สารเคลือบฟันถูกทำลาย เสี่ยงต่อฟันผุคุณแม่จึงควรรักษาสุขภาพช่องปากให้ดี เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม และกลั้วปากด้วยน้ำเกลือเพื่อลดการระคายเคือง
- สีของผิวหนังเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์อาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเมลานินที่เป็นเซลล์สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าบนหน้า เส้นสีดำบนหน้าท้อง รอยแตกลายที่ขา หน้าอก หน้าท้อง ก้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้นกับสตรีตั้งครรภ์และอาจหายเองหลังคลอด
คุณแม่อาจทาครีมโลชั่นลดรอยแตกลาย และควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-14.00 น. ที่มีแดดแรงจัด หรือทาครีมกันแดดอย่างน้อย SPF 30 เพราะแสงแดดอาจส่งผลให้ปัญหาผิวแย่ลง
- ปวดขา
เนื่องจากหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นจากการเจริญเติบโตของทารกอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ส่งผลให้มีอาการปวดขาและข้อต่อต่าง ๆ เพราะต้องรองรับน้ำหนักตัว บางคนอาจเป็นตะคริว โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตะคริวควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนอน เลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย หรือประคบน้ำแข็งหรือนวดเมื่อเกิดเป็นตะคริว
- มดลูกหดตัว
การหดตัวของมดลูกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็นของวัน ที่อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการปวดท้อง เกร็งหน้าท้องเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนการคลอดก่อนกำหนด หากคุณแม่มีความกังวลสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอได้
- ตกขาว
อาการตกขาวเป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงตั้งครรภ์ แต่หากสังเกตว่าตกขาวมีสีผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เหนียวข้น หรือเกิดอาการแสบคันบริเวณช่องคลอด ควรเข้ารับการตรวจทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อในช่องคลอด
- ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ
คุณแม่ตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 2 อาจมีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะค่อนข้างสูง เนื่องจากมดลูกขยายไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ หากสังเกตพบอาการไข้ ปวดหลัง แสบร้อนขณะปัสสาวะ ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนและมีสีขุ่น ควรแจ้งคุณหมอให้ทราบทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อปัสสาวะรุนแรงและอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในไตร่วมด้วย
การเปลี่ยนแปลงของทารกในครรภ์อายุ 20 week
ทารกในครรภ์อายุ 20 สัปดาห์ หรือ 5 เดือน ทารกอาจมีการเคลื่อนไหวถี่ขึ้น เนื่องจากทารกมักหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่เป็นประจำ บางครั้งก็อาจตื่นจากการได้ยินเสียงดังภายนอก ซึ่งสามารถสังเกตได้จากทารกดิ้น ถีบท้องคุณแม่ ในช่วงสัปดาห์นี้ทารกอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ได้แก่
- มีลำตัวยาวประมาณ 160 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 320 กรัม
- เริ่มมีผมบนหนังศีรษะ ขนอ่อนตามลำตัว
- กล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรง มีการเคลื่อนไหว
- เล็บขึ้นที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า และมีนิ้วเท้าแยกออกจากกันไม่เป็นพังผืด
- เปลือกตาเริ่มเปิดขึ้น
วิธีดูแลตัวเองและทารกในครรภ์
วิธีดูแลสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ อาจทำได้ดังนี้
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีสารอาหารครบถ้วน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด เนื้อแดง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ ที่อุดมไปด้วย แคลเซียม โฟเลต เหล็ก เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยรักษามวลกระดูก เพิ่มการไหลเวียนของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ น้ำตาล และไขมันสูง เช่น ชีส ไข่ดิบ เนื้อสัตว์ดิบ อาหารแปรรูป รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทารก ส่งผลให้ทารกพิการแต่กำเนิด ทารกมีพัฒนาการล่าช้า และเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
- ออกกำลังกาย
คุณแม่ตั้งครรภ์อาจออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ด้วยการเดิน ว่ายน้ำ เล่นโยคะ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย ได้รับแรงกระแทกสูง เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่กระทบต่อทารกในครรภ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่อาจมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีความเครียด วิตกกังวล ดังนั้น จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ โดยปรับท่าทางการนอนที่สบายตัว อาจนอนตะแคงซ้ายเพื่อลดการกดทับหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี หรืออาจนอนหงายโดยใช้หมอนรองหลัง ระหว่างขา และใต้ท้อง เพื่อลดแรงกดทับ
- งดสูบบุหรี่
บุหรี่มีสารนิโคตินและคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกได้ เนื่องจากสารเคมีเหล่านี้อาจเข้าสู่กระแสเลือดส่งไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ปริมาณออกซิเจนลดลง ส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต พิการตั้งแต่กำเนิด มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และเพิ่มความเสี่ยงการแท้งบุตร