การดูแลตัวเองหลังคลอด

แม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งการคลอดไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่จะควรหยุดดูแลตัวเอง เพราะ การดูแลตัวเองหลังคลอด ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการดูแลขณะตั้งครรภ์เลยทีเดียว เรียนรู้ข้อมูลสุขภาพดี ๆ เกี่ยวกับ การดูแลตัวเองหลังคลอด สำหรับคุณแม่ ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

การดูแลตัวเองหลังคลอด

‘ผมร่วงหลังคลอด’ ปัญหากวนใจคุณแม่ แต่รับมือได้!

นอกจากจะต้องเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกน้อยที่เพิ่งคลอดแล้ว เชื่อว่าคุณแม่หลายๆ คนโดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่กำลังหนักใจกับปัญหา ‘ผมร่วงหลังคลอด’ เพราะแค่ใช้มือสางผมเบาๆ ผมก็ร่วงหลุดออกมาเต็มฝ่ามือกันเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ต้องเผชิญกับปัญหาผมร่วงหลังคลอดนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายระหว่างตั้งครรภ์ แล้วอาการดังกล่าวจะหายไปหรือไม่ และจะรับมืออย่างไรดี? ตามมาค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันในบทความนี้ได้เลย   ผมร่วงหลังคลอด เกิดจากอะไร?  ปกติแล้วคนเราจะมีเส้นผมทั้งศีรษะประมาณ 80,000 - 120,000 เส้น และผมจะหลุดร่วงประมาณ 50-100 เส้นต่อวัน แต่ในช่วงหลังคลอดนั้นคุณแม่อาจต้องเผชิญกับภาวะผมร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวัน โดยสาเหตุของอาการผมร่วงหลังคลอดนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย  ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผมของคนเราจะมีการหลุดร่วงเป็นประจำทุกวัน แต่ในช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มจำนวนขึ้นส่งผลให้ผมร่วงลดลง อย่างไรก็ตาม หลังคลอดลูกแล้วระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะค่อยๆ ลดลงเพื่อกลับเข้าสู่ระดับปกติ ส่งผลให้เส้นผมที่หยุดร่วงไปหลายเดือนก่อนหน้านี้กลับมาร่วงอีกครั้ง เป็นเหตุผลว่าทำไมจำนวนของเส้นผมที่ร่วงหลังคลอดจึงดูเยอะผิดปกตินั่นเอง   อาการผมร่วงหลังคลอด มักเกิดขึ้นตอนไหน?  โดยทั่วไปแล้วคุณแม่จะเริ่มสังเกตุอาการผมร่วงช่วงประมาณ 3 เดือนหลังคลอด ซึ่งอาจพบว่ามีผมหลุดร่วงออกมาจำนวนมากตอนหวีผมหรือตอนสระผม อย่างไรก็ตาม อาการผมร่วงหลังคลอดนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยอาการจะค่อยๆ ทุเลาลงและจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายในระยะเวลา 1 ปีหลังคลอด ดังนั้น คุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกและเกิดอาการผมร่วงไม่ต้องวิตกกังวล ทั้งนี้ หากพบว่าอาการผมร่วงยังไม่หายไปหลังจากคลอดลูกมานานแล้วกว่า 1 ปี ควรนัดหมายปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาการผมร่วงที่นานติดต่อกันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่างเช่น การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็ก หรือโรคทางต่อมไทรอยด์ เป็นต้น วิธีรับมือกับอาการผมร่วงหลังคลอด แม้ว่าอาการผมร่วงหลังคลอดจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปได้เอง แต่หากคุณแม่รู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ สามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้ด้วยวิธีต่อไปนี้  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ […]

สำรวจ การดูแลตัวเองหลังคลอด

การดูแลตัวเองหลังคลอด

สาเหตุของปัสสาวะเล็ด หลังคลอด และการดูแลตัวเอง

ปัสสาวะเล็ด หลังคลอด อาจเกิดขึ้นจากการที่อุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง หย่อนคล้อย ทำให้ไม่สามารถรองรับและควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีพอ จนทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น มดลูกขยาย น้ำหนักตัวมาก การดูแลตัวเองอาจช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดหลังคลอดได้ อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม [embed-health-tool-bmi] สาเหตุของ ปัสสาวะเล็ด หลังคลอด หากจะเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ ว่า การคลอดลูกก็เหมือนการผลิตสินค้าล็อตใหญ่ในโรงงาน กว่าจะได้สินค้าล็อตใหญ่ออกมา เครื่องจักรต่าง ๆ ต้องทำงานกันจนเครื่องร้อน การคลอดลูกก็เช่นกัน  อวัยวะต่าง ๆ ต้องทำงาน ‘อย่างหนัก’ และสอดประสานกันเพื่อให้การคลอดเด็กเป็นไปอย่างสำเร็จ บางครั้งก็อวัยวะก็ทำงานหนักจนทรุดไปเล็กน้อย อย่างเช่น อุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นส่วนรองรับมดลูกกับกระเพาะปัสสาวะเอาไว้ เมื่อการคลอดลูกส่งผลให้อุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง หรือหย่อนลงมา ก็ส่งผลต่ออาการมือไม้อ่อนแรง หยิบจับอะไรก็ลำบาก มากไปกว่านั้น เมื่ออุ้งเชิงกรานหย่อน การกลั้นและควบคุมปัสสาวะก็ทำได้ยากเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น การที่คุณแม่หลังคลอดฉี่เล็ด ฉี่ไหล จนควบคุมได้ลำบาก ก็มาจากสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คุณแม่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้วหลายคน การที่มดลูกขยายใหญ่จนไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ หากคุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่และยังไม่คลอด สามารถป้องกันได้ในส่วนหนึ่ง ด้วยการไม่รับประทานของไขมันเยอะจนน้ำหนักขึ้นมากเกินไป เพราะหากแม่ตั้งครรภ์อ้วนมากจะทำให้คลอดยาก และทำให้อุ้งเชิงกรานยิ่งทำงานหนักขึ้นจนหย่อนมากกว่าปกติ การดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ด […]


การดูแลตัวเองหลังคลอด

ปัสสาวะไม่ออกหลังคลอด ควรรับมืออย่างไร

ปัสสาวะไม่ออกหลังคลอด อาจเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูก นอกจากนี้ ยังมีอารการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะรั่ว ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะติด ๆ ขัด ๆ ปัสสาวะแล้วแสบ ซึ่งอาการดังกล่าวมีที่มาจากหลายสาเหตุมาก ดังนั้น การดูแลตัวเองหลังคลอด จึงเป็นสิ่งที่คุณแม่หลังคลอดควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อจะได้ดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี [embed-health-tool-ovulation] ปัสสาวะไม่ออกหลังคลอด เกิดจากอะไร อาการปัสสาวะไม่ออก  (Urinary Retention หรือ UR) อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ ระหว่างการคลอด ศีรษะของทารกได้ไปกดกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะไว้ ส่งผลทำให้ท่อปัสสาวะบวมหรือบอบช้ำ จนทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออก อาจเกิดจากความเจ็บปวดบริเวณแผลฝีเย็บตอนที่คลอดลูกออกทางช่องคลอด จึงส่งผลให้คุณแม่ปัสสาวะได้ไม่คล่อง ปัสสาวะแล้วมีอาการแสบขัด อาจเกิดจาปกกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) หรือท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) ซึ่งควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษา สำหรับการคลอดของคุณแม่บางราย คุณหมออาจช่วยคลอดโดยใช้คีม (Foreceps Extraction) หรือการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ (Vacuum Extraction) เพื่อดึงศีรษะเด็กออกมา จึงอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะบอบช้ำ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะบวมแดง และทำให้คุณแม่พบกับภาวะปัสสาวะไม่ออกได้ วิธีรับมือกับอาการ ปัสสาวะไม่ออกหลังคลอด หากคุณแม่หลังคลอดมีอาการปัสสาวะไม่ออกที่ไม่ได้มีผลมาจากอาการติดเชื้อหรืออักเสบควรไปพบคุณหมอ แต่สำหรับวิธีรับมือกับอาการปัสสาวะไม่ออกหลังคลอด อาจลองปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังนี้ ดื่มน้ำให้มาก ๆ […]


การดูแลตัวเองหลังคลอด

อยู่ไฟ การดูแลสุขภาพหลังคลอดแบบไทยๆ คืออะไร

อยู่ไฟ เป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอดโดยใช้ความร้อนจากไฟ ซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเพราะเชื่อว่าการอยู่ไฟจะช่วยปรับสมดุลร่างกาย ขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้สุขภาพคุณแม่โดยเฉพาะร่างกายและระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงคืนกลับสู่สภาพเดิมก่อนคลอดได้อย่างรวดเร็ว แต่การอยู่ไฟแบบสมัยก่อนและการอยู่ไฟในปัจจุบันนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร [embed-health-tool-due-date] การ อยู่ไฟ คืออะไร อยู่ไฟ คือ การใช้ความร้อนจากไฟช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอดให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งที่มาของการอยู่ไฟมาจากความเชื่อในสมัยโบราณว่า การตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อเส้นเอ็นบริเวณหลังและขาถูกกดทับเป็นเวลานาน จากการตั้งครรภ์ทำให้ปวดเมื่อย  การเสียเลือดระหว่างคลอดบุตร ทำให้ร่างกายขาดความอบอุ่น เป็นสาเหตุของอาการหนาวสั่น ทั้งนี้ การอยู่ไฟช่วยปรับสมดุลร่างกายให้แข็งแรงขึ้นโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเกิดโรคแทรกซ้อนเนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงของคุณแม่หลังคลอดนั่นเอง การอยู่ไฟแบบดั้งเดิมเป็นอย่างไร วิธีการอยู่ไฟในสมัยโบราณ หญิงที่เพิ่งคลอดลูกจะอยู่ไฟในกระท่อมมุงจาก เรียกว่า เรือนไฟ ซึ่งอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ และมีอุณหภูมิอุ่นไปจนถึงค่อนข้างร้อน โดยภายในเรือนมีกระดานที่ทำจากแคร่ หรือเรียกว่า กระดานไฟ ตั้งไว้ระดับเดียวกับพื้น โดยให้คุณแม่มือใหม่นอนบนแคร่ ในท่าตะแคงที่เรียกว่า เข้าตะเกียบ เพื่อให้แผลฝีเย็บติดกัน และก่อเตาไฟอยู่ข้าง ๆ มีคนคอยดูแลควบคุมความร้อนด้วยการพรม หรือราดน้ำลงบนเตาไฟเมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป โดยหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรจะต้องอยู่เรือนไฟเป็นเวลา 7-15 วัน ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด เพราะจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลไม่ทันส่งผลให้เจ็บป่วยได้ หากอยู่ไฟครบตามเวลาจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย วิธีการ อยู่ไฟ ในปัจจุบัน วิธีการ อยู่ไฟ สมัยโบราณค่อนข้างลำบาก และไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน เนื่องจากสถานที่ไม่เอื้ออำนวย ปัจจุบันนี้ จึงมีการประยุกต์วิธีการอยู่ไฟ โดยคงภูมิปัญญาเดิมด้วยการใช้ความร้อน แต่ปรับเปลี่ยนให้สามารถทำได้ง่ายที่สุด […]


การดูแลตัวเองหลังคลอด

อาหารบำรุงฟื้นฟูคุณแม่ ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูก มีอะไรบ้าง

อาหารบำรุงฟื้นฟูคุณแม่ สำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก เนื่องจากยังเป็นช่วงระยะเวลาที่ทารกยังกินนมแม่อยู่นั่นเอง และน้ำนมของแม่จะทำให้ทารกได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าจากนมคุมากที่สุด ดังนั้น คุณแม่มือใหม่จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บำรุงทั้งสุขภาพคุณแม่เองและสุขภาพลูกน้อย รวมทั้งพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจที่สมวัย [embed-health-tool-ovulation] อาหารบำรุงฟื้นฟูคุณแม่ มีอะไรบ้าง อาหารบำรุงฟื้นฟูคุณแม่ นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกายของคุณแม่หลังคลอดแล้ว ยังอาจมีส่วนช่วยบำรุงร่างกายของทารกที่กินน้ำนมแม่อีกด้วย โดยอาหารบำรุงฟื้นฟูคุณแม่อาจมีดังนี้ โปรตีนอาจช่วยเรื่องพัฒนาการของทารก พัฒนาการของทารกเป็นสิ่งที่คุณแม่หลายคนให้ความสำคัญ ดังนั้น การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงอาจช่วยในเรื่องของพัฒนาการของทารกผ่านการดื่มนม โดยโปรตีนที่คุณแม่ควรได้รับ คือ ประมาณ 54 กรัม แต่สำหรับคุณแม่บางคนอาจต้องการโปรตีนมากกว่านี้ ซึ่งอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว โฟเลตอาจช่วยป้องกันความพิการ โฟเลตอาจจะช่วยในเรื่องของการป้องกันความพิการให้แก่ทารก ทั้งยังอาจช่วยป้องกันความพิการทางสมองและไขสันหลังได้อีกด้วย ซึ่งอาหารที่อุดมด้วยโฟเลต ได้แก่ ธัญพืช ถั่ว อะโวคาโด ไอโอดีนอาจช่วยพัฒนาสมอง ไอโอดีนอาจช่วยในเรื่องของการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ทั้งยังช่วยในเรื่องของการพัฒนาของสมอง การพัฒนาระบบประสาท ดังนั้น ช่วงในที่คุณแม่ยังต้องให้นมแก่ทารกอาจต้องได้รับสารไอโอดีนในปริมาณที่มากกว่าปกติ โดยอาหารที่เป็นแหล่งของไอโอดีน ได้แก่ อาหารทะเล นม ผัก สังกะสีอาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน สังกะสี ถือเป็นสารอาหารที่อาจช่วยในเรื่องของการกระตุ้นและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยคุณแม่ที่อยู่ในระยะให้นมลูก ควรได้รับสังกะสีประมาณ 10 มิลลิกรัม/วัน เพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันให้กับทารก ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี ได้แก่ ซีเรียลธัญพืช นม อาหารทะเล ถั่ว วิตามินเอาจช่วยสร้างความแข็งแรง คุณแม่ที่กำลังให้นมลูกอาจต้องได้รับอาหารที่มีวิตามินเอมากพอสมควร เนื่องจาก วิตามินเออาจช่วยในการสร้างความแข็งแรงให้กับทารก ทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับการต่อสู่กับเชื้อโรคอีกด้วย […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ใช่หรือไม่?

หยุดกังวลได้แล้ว มาเข้าชุมชนสนทนาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และว่าที่คุณแม่คนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!


advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม