พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

พ่อแม่เลี้ยงลูก

TikTok แอพพลิเคชั่นยอดฮิตที่พ่อแม่ควรใส่ใจ

TikTok เป็นแอพพลิเคชันยอดนิยม นอกเหนือไปจากเฟซบุ๊กและอินสตราแกรม ซึ่งผู้ใช้จำนวนมากเป็นเด็กและเยาวชน คุณพ่อคุณแม่เองอาจยังไม่รู้จักแอพพลิเคชั่นนี้ดีพอ ทั้งที่จริงแล้วเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกครองต้องรู้จักและทำความเข้าใจเทคโนโลยีและโซเชี่ยลมีเดียเหล่านี้ไว้เพื่อจะได้ใกล้ชิดและสามารถสอดส่องดูแลบุุตรหลานได้เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาจากการใช้เทคโนโลยีโดยไม่รู้เท่าทัน [embed-health-tool-bmr] แอพพลิเคชั่น TikTok คืออะไร TikTok เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ใช้สำหรับแชร์วิดีโอซึ่งเป็นเพลง ซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในสังคมออนไลน์ ในปี 2020 แอพพลิเคชั่นนี้ถูกดาวน์โหลดจากคนทั่วโลกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 จากการจัดอันดับโดยวารสาร Nikkei Asia โดยผู้ใช้สามารถสร้างและอัปโหลดคลิปวิดีโอของตัวเองที่กำลังลิปซิงก์เพลง เต้น หรือเพียงพูดคุย ลงไปในโลกออนไลน์ นอกจากนั้นแล้ว วิดีโอต่างๆ ที่ถูกอัปโหลดลงไปจะถูกจัดกลุ่มตามแฮชแท็ก ซึ่งมักจะเป็นแฮชแท็กที่ใช้การท้าทาย หรือเป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น โดยเนื้อหาที่ถูกอัปโหลดลงในโลกโซเชียลผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ จะเป็นเพียงคลิปวิดีโอที่มีระยะเวลาเพียง 60 วินาทีเท่านั้น แต่บางเนื้อหาที่ถูกแชร์ลงไปอาจจะมีเนื้อหาที่หยาบคาย เกินจริง รวมไปถึงเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ นอกจากนั้น หากไม่มีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในแอพพลิเคชั่นนี้ คนแปลกหน้ายังสามารถส่งข้อความมาหาผู้ใช้ได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าเด็กๆ กำลังเล่นแอพพลิเคชั่นนี้อยู่ ผู้ปกครองควรจะต้องให้คำแนะนำ สอดส่องดูแล รวมถึงควบคุมในบางครั้ง เพื่อลดความอันตรายต่าง ๆ รวมถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ด้วย สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น TikTok พบเนื้อหาไม่เหมาะสมได้ง่าย แม้ว่าเด็ก ๆ จะตั้งค่าบัญชีของตัวเองเอาไว้เป็นส่วนตัวแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็อาจได้รับเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศหรือความรุนแรงที่ถูกโพสต์ลงในฟีดสาธารณะได้อยู่ดี ซึ่งเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมส่วนใหญ่ที่อยู่ในแอพพลิเคชั่นนี้ มักจะเป็นการแสดงที่ผาดโผน และเป็นอันตรายต่อร่างกาย […]


สุขภาพเด็ก

เลือก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน อย่างไร ไม่ให้กระทบต่อสุขภาพลูกรัก

ขณะอยู่ในบ้านหรือที่พักอาศัย ในบางครั้งเด็ก ๆ อาจดูมีอาการเจ็บป่วยแปลก ๆ หรือแสดงอาการป่วยออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีประวัติการเจ็บป่วย หรือโรคประจำตัวมาก่อน สัญญาณและอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจาก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ที่มีส่วนผสมเป็นสารเคมีรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพลูกรักได้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ใดบ้าง ที่ส่งผลต่อ สุขภาพลูกรัก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน มีหลากหลายประเภทด้วยกัน  ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายในครัวเรือน ภายในบ้าน ที่จอดรถ ส่วนใหญ่แล้วมักมีสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ โดยลูกรักเสี่ยงสัมผัสโดนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเหล่านี้มากที่สุด ดังต่อไปนี้ ผงซักฟอก นอกจากจะเป็นสิ่งที่แม่บ้านนำมาใช้ซักผ้าแล้ว ยังสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตามพื้นที่มีคราบสกปรกได้อีกด้วย แต่ถ้าหากชำระล้างพื้นไม่สะอาด หรือล้างผงซักฟอกไม่หมด เมื่อลูกรักได้สัมผัสผงซักฟอก หรือซุกซนจนเผลอหยิบเข้าปาก อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ช็อค และป่วยเป็นโรคหอบหืดได้ ยาฆ่าแมลง สารในยากำจัดศัตรูพืชส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของไดอะซินอน (diazinon) โพรพ็อกเซอร์ (propoxur) และ คลอร์ไพริฟอส (chlorpyrifos) ที่ก่อให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาจรุนแรงขึ้นตามลำดับ ดังนั้น การพ่นกำจัดแมลงควรฉีดในขณะที่ไม่มีสมาชิกอยู่บ้าน หรือให้ลูกรักอยู่ห่างไกลจากขอบเขตบริเวณนั้น และระวังการฉีดที่ฟุ้งกระจาย เพราะอาจทำให้ละอองไปเกาะตามวัตถุต่าง ๆ กระทั่งลูกรักไปสัมผัสจนเกิดอาการแพ้ตามผิวหนังได้ น้ำยาล้างจาน ฟอสเฟต (phosphate) คือส่วนผสมหลักในน้ำยาล้างจานที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองตามผิวหนัง และอาจเป็นพิษต่อสุขภาพภายในของลูกรักได้จากสารตกค้าง หากล้างฟอสเฟตออกจากภาชนะไม่หมด น้ำยาล้างห้องน้ำ และสุขภัณฑ์ น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ประกอบไปด้วยสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกพร้อมอยู่บ้านคนเดียว

โดยปกติแล้วคงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน อยากจะปล่อยให้ ลูกอยู่บ้านคนเดียว อย่างแน่นอน เนื่องจากห่วงความปลอดภัยต่างๆ ของลูกน้อย แต่หากจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้พวกเขาอยู่บ้านคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ควรทราบวิธีสังเกตว่า ลูกพร้อมอยู่บ้านคนเดียว แล้ว [embed-health-tool-vaccination-tool] คำถามที่คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงถึง เมื่อต้องปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว โดยทั่วไปแล้วคุณไม่ควรทิ้งเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีไว้ตามลำพัง แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กทุกคนนั้นแตกต่างกัน แต่เด็กส่วนใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปีนั้น มักจะยังไม่มีวุฒิภาวะและทักษะในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เมื่อพวกเขาจะต้องอยู่คนเดียว ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ จำเป็นจะต้องคำนึงถึงเมื่อจะต้องปล่อยให้ลูกอยู่ในบ้านเพียงลำพัง มีดังนี้ ลูกของคุณจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างไร ลูกของคุณจะมีสติ และมีอารมณ์เช่นไร เมื่อสิ่งต่างๆ ที่ต้องเจออาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ลูกของคุณสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบได้หรือไม่ ลูกของคุณสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยได้หรือไม่ ลูกของคุณสามารถใช้วิจารณญาณที่ดีได้หรือไม่ ลูกของคุณรู้จักการปฐมพยาบาลเบื้อต้นได้หรือไม่ ลกของคุณสามารถทำตามคำแนะนำของคุณ เกี่ยวกับการอยู่ห่างจากคนแปลกหน้าได้หรือไม่ คำถามเหล่านี้เป็นเพียงคำถามเบื้องต้น ที่จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่า ลูกพร้อมอยู่บ้านคนเดียว หรือไม่ เช็กความพร้อมว่า ลูกพร้อมอยู่บ้านคนเดียว แล้วจริงๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ที่คุณพ่อคุณแม่มักจะเกิดความกังวล เมื่อต้องปล่อยลูกให้อยู่คนเดียว แต่บางครั้งอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้พวกเขาอยู่คนเดียว นอกจากนั้น การให้ลูกของคนอยู่บ้านคนเดียว ก็อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีของเด็กๆ ได้เช่นกัน เพราะพวกเขาจะได้มีความมั่นใจในตัวเองและเป็นอิสระ แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรเช็กความพร้อมอีกครั้ง โดนสามารถทำได้ดังนี้ ทราบกฎหมายในพื้นที่ของคุณ อย่างเพิ่งตัดสินใจปล่อยให้ลูกอยู่บ้านเพียงคนเดียว ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องศึกษากฎหมายในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ให้ดีเสียก่อน โดยตรวจสอบจากสำนักงานของรัฐ หรือเว็บไซต์ของรัฐบาลเพื่อยืนยันความถูกต้อง เพราะบางประเทศการปล่อยให้เด็กอยู่ลำพังคนเดียว […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

คาร์ซีท กับข้อควรรู้ก่อนใช้งาน

คาร์ซีท หรือ เบาะนิรภัยสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์ที่อาจช่วยป้องกันเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่ออยู่บนรถยนต์ เนื่องจากอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา การเลือกคาร์ซีทอาจต้องเลือกน้ำหนัก ขนาด ให้เหมาะสมกับเด็ก รวมถึงยังอาจต้องเลือกให้เหมาะกับอายุ และเหมาะกับรถยนต์ที่ใช้อยู่ด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] คาร์ซีท คืออะไร คาร์ซีท หรือ เบาะนิรภัยสำหรับเด็ก คือ อุปกรณ์ที่อาจช่วยปกป้องเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่อโดยสารรถยนต์ เช่น รถชน คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเลือกคาร์ซีทให้เหมาะสมกับน้ำหนักและขนาดตัว วัยของเด็ก รวมถึงรุ่นรถยนต์ที่ใช้อยู่ด้วย สำหรับเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรก่อนเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูก อาจมีดังนี้ เลือกคาร์ซีทที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ เรียนรู้วิธีติดตั้งและใช้งานคาร์ซีท เช่น การใช้สายรัด ก่อนจะให้ลูกใช้คาร์ซีทจริง ๆ หากต้องการความช่วยเหลือหรือตรวจสอบว่าติดตั้งคาร์ซีทได้ถูกต้องหรือไม่ อาจต้องไปยังที่สถานที่ที่ซื้อคาร์ซีท เพื่อให้ผู้ขายช่วยตรวจสอบอีกครั้ง ทารกอาจเริ่มต้นการใช้คาร์ซีทด้วยการหันหน้าไปทางด้านหลังของรถยนต์ หรือใช้เบาะแบบที่เปลี่ยนได้ และเมื่อเด็กโตขึ้น อาจเปลี่ยนให้เด็กนั่งหันหน้าไปทางด้านหน้าของรถยนต์ นอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว อาจมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องรู้ก่อนที่จะทำการเลือกซื้อคาร์ซีท ดังนี้ 1. ศึกษาให้ดีก่อนซื้อคาร์ซีทมือสองมาใช้งาน หากกำลังพิจารณาที่จะซื้อคาร์ซีทมือสองมาใช้งาน อาจจะต้องแน่ใจเสียก่อนว่า คาร์ซีทมือสองมาพร้อมกับคำแนะนำ ฉลากแสดงวันที่ผลิต และหมายเลขรุ่น คาร์ซีทนั้น ๆ ปลอดภัย ไม่ถูกเรียกคืน หรือให้งดใช้งาน ไม่หมดอายุ หรืออายุยังไม่เกิน 6 ปี ไม่มีความเสียหายที่มองเห็น หรือไม่มีชิ้นส่วนที่หายไป […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

โรคดักแด้ ในเด็ก อาการ สาเหตุ วิธีดูแล

โรคดักแด้ คือ ความผิดปกติทางผิวหนังที่ทำให้ผิวบอบบาง เป็นแผลง่าย ในเด็กที่มีอาการรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กที่เป็นโรคดักแด้ด้วยวิธีการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาอาการ และทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายขึ้น เช่น การให้เด็กรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก การให้ทาโลชั่นเป็นประจำ [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคดักแด้ คืออะไร โรคดักแด้ (Epidermolysis Bullosa) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ค่อนข้างยาก ทำให้ผู้ป่วยมีผิวหนังบอบบางจนฉีกขาดได้ง่าย หรือเกิดแผลพุพองเมื่อถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อย โดยเด็กแรกเกิดที่เป็นโรคดักแก้มักถูกเรียกว่า เด็กผีเสื้อ เนื่องจากมีผิวที่เปราะบางเหมือนผีเสื้อ สำหรับเด็กที่มีอาการไม่รุนแรงมาอาจดีขึ้นได้เอง ส่วนผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจรู้สึกเจ็บปวด ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากเด็กมีอาการดังกล่าวข้างต้นนี้ ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งนี้ โรคดักแด้แบ่งตามชั้นผิวหนังที่เกิดโรคออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่ ตุ่มน้ำพองใสในชั้นหนังแท้ (Dystrophic Epidermolysis Bullosa หรือ DEB) เด็กที่ป่วยเป็นโรคดักแด้ชนิดนี้  จะพบอาการในชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวหนังไม่ผนึกติดกัน เนื่องจากขาดคอลลาเจนในการสมานไว้ สำหรับบางราย โรคดังกล่าวอาจไม่แสดงอาการออกมาจนเข้าสู่ช่วงวัยเด็ก ตุ่มน้ำพองใสระหว่างชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ (Junctional Epidermolysis Bullosa หรือ JEB) ผู้ป่วยโรคดักแด้ชนิดนี้จัดว่าเป็นชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ทำให้เกิดการพองตัวในชั้นลึกของผิวหนัง […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

scarlet fever คือ ไข้อีดำอีแดงจากเชื้อแบคทีเรียที่มักเกิดขึ้นในเด็ก

scarlet fever คือ ไข้อีดำอีแดง เป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียมักเกิดขึ้นกับเด็กวัย 5-15 ปี โดยผู้ป่วยมักมีอาการไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าเป็นเพียงอาการไข้หวัดธรรมดาทั่วไปของเด็กๆ ทั้งที่จริงแล้วหากลูกรักเป็นโรคนี้ควรพาไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยโรคและรับการรักษาอย่างถูกวิธี คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จักสังเกตและทำความรู้จักความแตกต่างของไข้อีดำอีแดงกับอาการไข้หวัดทั่ว ๆ ไป [embed-health-tool-vaccination-tool] คุณพ่อคุณแม่ควรจัก  Scarlet Fever หรือ ไข้อีดำอีแดง Scarlet Fever คือ ไข้อีดำอีแดงซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปเอ (A Streptococcus) ผู้ป่วยจะมีอาการคออักเสบ มีลักษณะเป็นผื่นแดงบนร่างกาย และมีไข้สูง โดยส่วนใหญ่จะพบในเด็กอายุระหว่าง 5-15 ปี  คุณหมออาจะใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อบรรเทาอาการ สาเหตุของไข้อีดำอีแดง สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นไข้อีดำอีแดง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) มีระยะการฟักตัว 2-5 วัน  โดยอาศัยอยู่ในปากและระบบทางเดินหายใจ แบคทีเรียจะปล่อยสารพิษออกมาทำให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นตามร่างกาย  มีอาการไอ จาม เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคผ่านการสัมผัสกับละอองน้ำลาย การไอ หรือจามจากผู้ติดเชื้อ รวมถึงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน รับประทานอาหารจานเดียวกัน อาการผู้ป่วยไข้อีดำอีแดง หากลูกมีอาการเจ็บป่วย คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตดูอาการอย่างใกล้ชิด หากเป็นไข้อีดำอีแดง จะมีอาการแสดงออกดังต่อไปนี้ ผื่นแดง จะมีผื่นแดงเริ่มขึ้นที่ใบหน้าหรือลำคอและแพร่กระจายไปยังลำตัวแขนขา เมื่อสัมผัสรอยผื่นจะมีผิวหยาบคล้าย ๆ กับกระดาษทราย […]


สุขภาพเด็ก

โรคโพรจีเรีย อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคโพรจีเรีย โรคแก่ก่อนวัยในเด็ก หรือ โรคชราในเด็ก เป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหลายพันธุ์ของยีน LMNA ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนลามินา (Lamina) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างในที่เก็บนิวเคลียสของเซลล์ชำรุด และนำไปสู่กระบวนการความแก่ก่อนวัย ทั้งยังอาจทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดของสมอง และการแข็งตัวของหลอดเลือด จนส่งผลให้เลือดไม่สามารถลำเลียงสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเป็นปกติ จนอาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ โรคโพรจีเรีย คืออะไร โรคโพรจีเรีย (Hutchinson-Gilford Progeria Syndrome หรือ HGPS) หรือ โรคแก่ก่อนวัยในเด็ก หรือ โรคชราในเด็ก เป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของยีน LMNA ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนลามินา (Lamina) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างในที่เก็บนิวเคลียสของเซลล์ชำรุด จนเกิดความไม่เสถียรภายในร่างกาย และนำไปสู่กระบวนการความแก่ก่อนวัย โดยภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กเพศชาย และเพศหญิงทั่วโลก บางกรณี หากเด็กมีร่างกายไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้มีอายุขัยสั้นลง และมักเสียชีวิตเมื่ออายุเฉลี่ย 13-14 ปี นอกจากนี้ โรคโพรจีเรียยังก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับปัญหาหลอดเลือดของสมอง และการแข็งตัวของหลอดเลือด จนส่งผลให้เลือดไม่สามารถลำเลียงสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเป็นปกติ จนอาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ อาการโรคโพรจีเรีย อาการทางกายภาพของโรคโพรจีเรียที่คุณพ่อคุณแม่ หรือคนในครอบครัวสามารถสังเกตได้ตั้งแต่กำเนิด หรือภายในระยะเวลาช่วงปีแรกหลังคลอด อาจได้แก่ ส่วนสูง และน้ำหนักไม่สมมาตรฐาน ผมร่วง มองเห็นเส้นเลือดบนหนังศีรษะเด่นชัด ผิวหนังหย่อนคล้อย […]


การเติบโตและพัฒนาการ

พัฒนาสมองของลูกน้อยให้ฉับไวด้วย เกมซูโดกุ

เกมซูโดกุ (Sudoku) เป็นเกมเติมตัวเลขลงในช่องตาราง โดยใช้ตัวเลขที่กำหนดให้ซึ่งเป็นตัวเลขตั้งแต่เลข 1 ถึงเลข 9 ใส่ลงในแต่ละแถวของตาราง โดยที่ตัวเลขจะต้องไม่ซ้ำกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง เกมซูโดกุจัดว่าเป็นหนึ่งในเกมลับสมองที่อาจมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง และอาจช่วยกระตุ้นทักษะการคำนวณได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก ๆ ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเติบโต การใช้เกมหรือกิจกรรมสำหรับพัฒนาทักษะจะช่วยให้เด็กมีการพัฒนาเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว [embed-health-tool-vaccination-tool] ซูโดกุ กับ คณิตศาสตร์ หลายคนอาจยังเข้าใจผิดว่า ซูโดกุ เป็นเกมคณิตศาสตร์ แต่โธมัส ซินเดอร์ (Thomas Snyder) แชมป์ซูโดกุระดับโลกกล่าวว่า ซูโดกุ เป็นเกมที่เหมือนกับเกมตัวต่อ ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะความรู้ขั้นสูงในการเล่น มีเพียงตัวเลข 9 ตัว ที่แตกต่างกันและต้องนำไปวางลงในตารางเพื่อเชื่อมต่อกับจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการที่คล้ายกับการต่อตัวต่อทั่วไป ดังนั้น ต่อให้ไม่เก่งคณิตศาสตร์ ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้อย่างแน่นอน  ประโยชน์ของเกมซูโดกุ ซูโดกุ ได้ชื่อว่าเป็นเกมลับสมองที่มีส่วนในการเสริมพัฒนาการของระบบสมอง โรงเรียนหลายแห่งได้มีการนำเกมนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน โดยมุ่งหวังให้เด็ก ๆ ได้มีการกระตุ้นระบบความคิดของตนเอง รวมถึงประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ช่วยเพิ่มความจำ ในระหว่างเล่น ซูโดกุ ระบบความจำกับระบบความคิดแบบตรรกะจะทำงานไปพร้อม ๆ กัน โดยสมองจะใช้ทั้งความจำในการจดจำตัวเลข และใช้ความคิดแบบตรรกะในการจำแนกตัวเลขที่แตกต่างกันสำหรับเติมลงในช่องว่างช่องต่อไป ช่วยกระตุ้นระบบความคิด การเล่น ซูโดกุ เป็นประจำมีประโยชน์ในการกระตุ้นการทำงานของสมอง […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ภายในบ้านที่อาจทำให้ลูกเสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ปกครองใช้เพื่อทำความสะอาดบ้าน เสื้อผ้าและที่นอนของลูก เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและป้องกันเชื้อโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกรัก แต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเหล่านี้ อาจเป็นหนึ่งตัวการที่ทำให้ลูกเสี่ยงเป็นโรคหอบหืดได้ เนื่องจากสารเคมีรุนแรงที่เป็นอันตรายอาจซึมเข้าสู่ผิวและระบบทางเดินหายใจ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอักเสบ จนอาจส่งผลให้เกิดภาวะหายใจมีเสียงหวีดและโรคหืดในเด็กได้ [embed-health-tool-vaccination-tool] ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหอบหืดในเด็ก ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Canadian Medical Association Journal เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดกับสุขภาพทางเดินหายใจ เผยว่า เด็กวัยแรกเกิดถึง 3 เดือน ที่สัมผัสหรือสูดดมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ่อยครั้ง จะทำให้เด็กมีความเสี่ยงเกิดโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นถึง 37% โดยจะพบอาการเมื่อเด็กมีอายุได้ 3 ปี และไม่ใช่แค่โรคหอบหืด แต่ความเสี่ยงในการเกิดภาวะหอบเฉียบพลันและฟังปอดพบเสียงหวีด หรือภาวะหายใจมีเสียงหวีดกำเริบซ้ำหลายครั้ง (Recurrent Wheezing) อาจเพิ่มขึ้นถึง 35% โดยนักวิจัยเผยว่า สาเหตุที่เด็กทารกได้รับผลกระทบจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมากกว่าเด็กวัยอื่น อาจเป็นเพราะเด็กวัยนี้ใช้เวลากว่า 80-90% ในบ้าน อีกทั้งยังมีอัตราการหายใจสูงกว่า และมักสัมผัสกับพื้นผิวในบ้านเป็นประจำ สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจึงเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปอดและผิวหนังได้มากกว่า ทีมนักวิจัยทำการเก็บข้อมูล โดยให้ผู้ปกครองของเด็กที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4 เดือน กว่า 2,000 คน ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ผู้ปกครองใช้ ได้แก่ สบู่เหลวล้างมือ น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้นสูตรสำหรับหลายพื้นผิว น้ำยาเช็ดกระจก […]


โรคเด็กและอาการทั่วไป

ปวดหัวไมเกรนในเด็ก อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาที่เหมาะสม

อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการปวดหัวอย่างรุนแรง โดยจะมีอาการปวดตุบ ๆ ปกติแล้วอาการปวดหัวไมเกรนนั้นจะปวดศีรษะเพียงข้างเดียว แต่บางครั้งก็อาจจะเริ่มต้นจากอาการปวดเพียงข้างเดียวก่อน แล้วจึงปวดทั้งสองข้าง โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเจออาการปวดหัวไมเกรนในผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วอาการ ปวดหัวไมเกรนในเด็ก ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน อาการปวดหัวไมเกรนในเด็ก  อาการปวดหัวไมเกรน เป็นอาการของการปวดหัวที่จะมีอาการรุนแรงกว่าการปวดหัวแบบอื่นๆ อาการปวดหัวไมเกรนในเด็กอาจจะมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น อาการปวดหัวไมเกรนในเด็ก อาจจะมีระยะเวลาในการเกิดอาการน้อยกว่าอาการปวดหัวไมเกรนในผู้ใหญ่หรืออาจจะมีอาการดังนี้ มีอาการปวดศีรษะปานกลางจนถึงขั้นรุนแรงทั้งสองข้างของศีรษะ ปวดหัวแบบตุบๆ มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน มีความไวต่อแสง หรือดวงตาแพ้แสง (photophobia) มีความไวต่อเสียง ไม่ชอบเสียงดังๆ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังอาจทำให้เกิดความวิตกกังวล มีความไวต่อกลิ่น (osmophobia) เป็นอาการของการกลัวกลิ่น กลิ่นบางกลิ่นอาจทำให้เกิดอาการกลัว วิตกกังวล และมีความเกี่ยวของกับอาการปวดหัวไมเกรน มีอาการปวดท้อง ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นอาการปวดท้องที่มีความเกี่ยวข้องกับไมเกรน บางครั้งก่อนที่จะมีอาการไมเกรน อาจมีปัญหาในการมองเห็น มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีปัญหาทางด้านการสื่อสาร สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกคุณอาจมีอาการ ปวดหัวไมเกรนในเด็ก มีอาการพูดช้า ไม่ชัด หรือสื่อสารไม่ได้ความ (Dysarthria) วิงเวียนศีรษะบ้านหมุน ได้ยินเสียงดังในหู เห็นภาพซ้อน (Diplopia) ซึ่งเป็นความผิดปกติของดวงตาที่จะเห็นวัตถุชิ้นเดียวเป็นสองชิ้น มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานงานกัน ทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว เดินเงอะงะ ขาดสมาธิ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน