พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) สาเหตุและวิธีรักษา

ในช่วงเวลาเด็กของใครหลายคน จนกระทั่งตอนนี้ หากจะถามว่าเกลียดวิชาอะไรมากที่สุด คำตอบยอดนิยมคงไม่พ้น วิชาคณิตศาสตร์เป็นแน่ เมื่อย้อนกลับไปในวัยที่กำลังเรียน เราอาจรู้สึกว่าวิชานี้ยาก ครูดุ จึงทำให้ไม่ชอบเรียนวิชาคำนวณ และทำผลการเรียนในวิชานี้ได้ไม่ดีนัก แต่… มีเด็กอีกหลายคนเรียนคณิตศาสตร์ได้ไม่ดี เนื่องจากอาการทางสุขภาพที่เรียกว่า ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ หรือ ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการในการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เกือบทั้งหมด คนที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์อาจยังพอทำความเข้าใจหลักการของตัวเลขได้บ้าง แต่ผู้ที่มีภาวะบกพร่องดังกล่าว อาจประสบกับความสับสนหรือยุ่งยากได้มากกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะนี้ ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) คืออะไร ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ (Dyscalculia) คือ ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ในทางคณิตศาสตร์ ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ในหลายระดับที่แตกต่างกันออกไป เช่น ไม่สามารถจำแนกหรือแยกแยะโจทย์ปัญหาได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นโจทย์ปัญหาง่าย ๆ ไม่สามารถแยกรูปทรงทางคณิตศาสตร์ได้ ใช้เวลานานในการแยกแยะว่ารูปทรงใดมีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่ากัน ซึ่งภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณนี้ ทำให้การเรียนคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่การคิดเลขง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน กลายเป็นช่วงเวลาอันอย่างลำบากและเลวร้ายเกินกว่าที่จะผ่านไปได้  สาเหตุของภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ ผู้เชี่ยวและนักวิจัยทั้งหลายยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่า อาการบกพร่องทางคณิตศาสตร์ นั้นเกิดจากอะไร แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดอาจมาจาก ระบบพันธุกรรม ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ อาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม หรือความผิดปกติทางใดทางหนึ่งในระบบพันธุกรรม กระบวนการพัฒนาของสมอง จากผลการศึกษาพบว่า โครงสร้างและการทำงานในสมองของผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์กับผู้ที่ไม่มีภาวะดังกล่าวนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ อาการของ ภาวะบกพร่องทางการคิดคำนวณ เป็นอย่างไร เด็กที่มี ภาวะบกพร่องทางคณิตศาสตร์ จะมีพัฒนาการทางด้านการคำนวณที่ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ขณะที่เด็กคนอื่นสามารถจะนับเลขในใจได้แล้ว แต่เด็กที่มีภาวะบกพร่องชนิดนี้อาจยังใช้การนับนิ้วอยู่ หรืออาจไม่สามารถแยกได้ว่าตัวเลขจำนวนใดมากกว่าจำนวนใด รวมถึงไม่เข้าใจในกระบวนการทางคณิตศาสตร์รูปแบบอื่น ๆ เช่น มีความสับสนในการประเมินสิ่งต่าง […]


สุขภาพเด็ก

ลูกไม่ยอมนอน คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไร

ลูกนอนไม่หลับ อาจเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นยังอายุน้อยเกินไป ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรก ทารกแรกเกิดมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง/วัน และจะนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนเมื่ออายุ 9 เดือนขึ้นไป นอกจากนั้น ยังอาจเกิดจากการที่เด็กเหนื่อยมากเกินไป ความวิตกกังวล รวมไปถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องสังเกตลูกน้อย เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น เหตุผลที่ทำให้ ลูกไม่ยอมนอน ส่วนใหญ่แล้ว เด็กที่อยู่ในช่วงวัยประถมประมาณ 20-30% พยายามที่จะนอนให้หลับตลอดทั้งคืน แต่ความวิตกกังวลบางอย่าง อาจทำให้พวกเขาไม่ยอมนอน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ยอมนอนอาจมีดังนี้ ลูกยังเด็กเกินไป โดยปกติแล้วมีทารกเพียงไม่กี่คนที่นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ในช่วง 2 เดือนแรก ทารกแรกเกิดมักจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง/วัน และจะนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนเมื่ออายุ 9 เดือนขึ้นไป ซึ่งการนอนหลับตลอดทั้งคืนของทารกนั้น หมายถึง 5-6 ชั่วโมงติดต่อกัน เหนื่อยมากไป เด็กวัยหัดเดินและเด็กก่อนวัยเรียนต้องการการนอนหลับ 11-14 ชั่วโมง ซึ่งเวลาที่เด็กต้องการนั้นรวมถึงตอนกลางคืนและงีบหลับด้วย ดังนั้น กิจวัตรประจำวันของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร […]


โรคทางเดินหายใจในเด็ก

โรคครูป เกิดจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไร

โรคครูป (Croup) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่จะมาจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งพบมากในเด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 6 เดือน-3 ปี โดยการติดเชื้อดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดอาการอักเสบที่บริเวณกล่องเสียงจนถึงหลอดลมส่วนต้น เป็นผลให้หลอดลมมีลักษณะบวมและตีบแคบ เพราะหลอดลมของเด็กเล็กมีขนาดเล็กจึงแสดงอาการได้ชัดเจน [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคครูป เกิดจากอะไร โรคครูปนั้นมักจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) ซึ่งสามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้จากการหายใจหรือสัมผัสกับพื้นผิวของวัตถุที่มีเชื้อนี้เกาะอยู่ แต่บางรายก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยจะมีอาการรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อไวรัส นอกจากนี้ โรคครูปยังเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคภูมิแพ้หรือแม้แต่หายใจเอาสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเข้าไป ภาวะกรดไหลย้อน มักจะเริ่มจากมีอาการคล้ายโรคหวัดที่เป็นระยะเวลา 3-5 วัน เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล คัดจมูก และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแดง มีผื่นขึ้น เสียงแหบ ต่อมน้ำเหลืองบวม หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก ไอแบบมีเสียงก้องหรือคล้ายเสียงเห่า จะมีอาการไอมากขึ้นเมื่อเกิดการอักเสบและโดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน วิธีการรักษาโรคครูป เมื่อพาลูกไปพบคุณหมอก็จะได้รับการรักษาด้วยการวัดระดับออกซิเจน รวมถึงคุณหมออาจตรวจลักษณะการหายใจของเด็กว่ามีลักษณะเหนื่อยหอบหรือไม่ จากนั้นจะประเมินความรุนแรงของโรค ดังนี้ อาการไม่รุนแรง คุณหมอจะให้ยาสเตียรอยด์โดยการฉีดหรือรับประทาน หากมีอาการดีขึ้นก็สามารถกลับบ้านได้แล้วนัดติดตามอาการภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการรุนแรงปานกลาง คุณหมอจะให้พ่นยาอะดรีนาลีนเพิ่มเติมจากยาสเตียรอยด์ จากนั้น ประเมินอาการที่โรงพยาบาล 2-4 […]


สุขภาพเด็ก

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกโรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก และวิธีการรับมือ

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive disorder หรือ OCD) เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหรือความคิดซ้ำไปซ้ำมาเนื่องจากความไม่สบายใจ เช่น ล้างมือซ้ำ ๆ เปิดปิดประตูบ้านซ้ำ ๆ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะ โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความเข้าใจ และคอยสังเกตสัญญาณเตือนของโรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก เพื่อจะได้สามารถรับมือกับโรคได้อย่างเหมาะสม โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก คืออะไร โรคย้ำคิดย้ำทำ เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ผู้ป่วยจะการคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา เนื่องจากมีเหตุที่ทำให้รู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ จนเป็นผลให้ทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาด้วยเช่นกัน ซึ่งอาการนี้แม้ตัวผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดและการกระทำได้ โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็กนี้มักจะพบได้กับเด็ก 1 ใน 100 คน เด็กที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นจะมีความคิดเกี่ยวกับ ความกังวลหรือความหวาดกลัวในเรื่องบางอย่าง เช่น ความกลัวที่จะสัมผัสกับสิ่งที่สกปรก และแสดงออกตามความคิด เพื่อพยายามควบคุมหรือลดทอนความกลัวนั้น เช่น การล้างมือที่บ่อยขึ้น หรือล้างมือมากจนเกินไป แต่การบรรเทานั้นมักจะช่วยได้แค่ชั่วคราว เพราะลักษณะการย้ำทำนั้นสุดท้ายแล้วจะหลายเป็นตัวการที่ทำให้การย้ำคิดรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นวงจรย้ำคิดย้ำทำไปเรื่อยๆ สาเหตุในการเกิดโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีงานวิจัยที่ให้ความเห็นว่า โรคนี้อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมอง เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นมักจะขาดแคลนสารเซโรโทนิน (serotonin) ในสมอง หรืออาจเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม นอกจากนี้ การติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส (Streptococcus) ก็อาจกระตุ้นให้เกิดโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือทำให้โรคมีอาการรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ การจะสังเกตว่าลูกเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือไม่ อาจจะเป็นการยากในช่วงวัยทารก เพราะเด็กยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาการเรียนรู้ ยังมีความอยากรู้อยากเห็น […]


เด็กทารก

จุกนมหลอก ป้องกันภูมิแพ้ ได้จริงเหรอ

จุกนมหลอก หมายถึง จุกนมที่ทำจากยางหรือซิลิโคนที่ปลอดภัยสำหรับการนำเข้าปาก มีไว้ให้เด็กดูดแทนการดูดนมหรือจุกขวดนม ช่วยให้เด็กรู้สึกสงบและนอนหลับง่ายขึ้น หลายคนสงสัยว่า จุกนมหลอก ป้องกันภูมิแพ้ ได้จริงหรือไม่ แล้วเกี่ยวข้องกันอย่างไร คุณพ่อคุณแม่อาจศึกษาถึงประโยชน์ของจุกนมหลอกเพื่อนำไปใช้ในการเลี้ยงลูก [embed-health-tool-vaccination-tool] จุกนมหลอก ป้องกันภูมิแพ้ ได้จริงเหรอ ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่นำเสนอในงานประชุมวิทยาศาสตร์ประจำปีของ American College of Allergy, Asthma and Immunology (ACAAI) ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2018 ระบุว่า การดูดจุกนมหลอกให้ลูกนั้นเชื่อมโยงกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในเด็กที่ลดลง ทีมนักวิจัยได้สัมภาษณ์คุณแม่ลูกอ่อนจำนวน 128 ราย เป็นเวลาหลายครั้ง ตลอดระยะเวลา 18 เดือน โดยหนึ่งในคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ก็คือ “คุณแม่มีวิธีทำความสะอาดจุกนมหลอกของลูกอย่างไร” ผลออกมาว่า ส่วนใหญ่ใช้วิธีล้างทำความสะอาดจุกนมหลอก รองลงมาคือใช้การอบฆ่าเชื้อ และแม่ส่วนหนึ่งก็ใช้วิธีทำความสะอาดจุกนมหลอกให้ลูกด้วยการดูด จากการรวบรวมข้อมูล ทีมวิจัยพบว่า เด็กที่แม่ทำความสะอาดจุกนมหลอกให้ด้วยการดูดจุกนมหลอกของลูก มีระดับอิมมูโนโกลบูลิน อี (IgE) ต่ำกว่าเด็กที่แม่ทำความสะอาดจุกนมหลอกให้ด้วยวิธีอื่น ซึ่งอิมมูโนโกลบูลิน อี เป็นสารภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดี (Antibody) ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายสารก่อภูมิแพ้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีบางชนิดออกมาได้ เช่น ฮีสตามีน และเมื่อร่างกายมีฮีสตามีนมากเกินไป […]


เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ลูกสำลักนม อันตรายใกล้ตัวที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม

คุณแม่มือใหม่ต้องคอยสังเกตและดูลูกน้อยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกรณีที่ ลูกสำลักนม นับเป็นอันตรายใกล้ตัวที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากสำลักนมและได้รับการดูแลไม่ถูกวิธี อาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ คุณแม่ควรหาวิธีป้องกันและวิธีแก้ไขเพื่อไม่ให้ลูกน้อยสำลักนมบ่อยเกินไป เรื่องน่ารู้ สำหรับคุณแม่ให้นม หลังคลอดลูก คุณแม่ควรให้นมลูกเร็วที่สุดภายใน 1 ชั่วโมง ให้นมลูกบ่อยๆ หรือทุก 2-3 ชั่วโมง หลังจากคลอดลูก เพื่อกระตุ้นให้ลูกชินกับเต้านม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นอาหารบำรุงน้ำนม เช่น หัวปลี ตำลึง หลังคลอดอย่าทำความสะอาดหัวนมมากจนเกินไปจะทำให้หัวนมแห้ง และไหลน้อย ใช้ลูกประคบอุ่นๆ นวดเต้านมเพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำนม งดเว้นการอาบน้ำอุ่นเพราะจะทำให้หัวนมขาดความชุ่มชื้น และหัวนมแตกได้ สาเหตุที่ทำให้ลูกสำลักนม สาเหตุที่ทำให้ลูกสำลักนมนั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกันทั้งสาเหตุจากคุณแม่เองและตัวคุณลูก  โดยสาเหตุจากคุณแม่นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การให้นมที่ผิดท่า การที่คุณแม่ดึงเต้านมออกก่อนขณะที่ลูกกำลังดูดนม หรือการที่ให้ลูกน้อยกินนมมากจนเกินความต้องการ รวมถึงน้ำนมที่ไหลเร็วจนเกินไป  ส่วนสาเหตุที่เกิดจากตัวลูกเอง เช่น ลูกน้อยมีอาจมีปัญหาเรื่องความผิดปกติภายในร่างกายอย่างปอดและหัวใจ หรืออาจมีพัฒนาการที่ช้า สังเกตอาการลูกสำลักนมอย่างใกล้ชิด ลูกจะมีอาการไอ เหมือนขย้อนนมหรือคายออกมา หากมีอาการสำลักแบบรุนแรง หน้าลูกจะเริ่มเปลี่ยนสี ลูกมีอาการหายใจผิดปกติ ระหว่างที่คุณแม่ให้นมลูกควรปรับการไหลของปริมาณน้ำนมโดยการกดบริเวณลานหัวนมเพื่อไม่ให้น้ำนมไหลเข้าปากลูกเร็วจนเกินไป จับลูกน้อยนอนตะแคงระหว่างการให้นมเพื่อป้องกันการสำลัก อย่าให้นมลูกบ่อยจนเกินไป หากลูกน้อยร้องไห้ควรสังเกตอาการให้แน่ใจว่าลูกนั้นร้องไห้เพราะหิวจริงๆ หรือเพราะสาเหตุใด รับมืออย่างไร เมื่อลูกสำลักนม หากลูกมีอาการสำลักนม ไม่ควรจับลูกอุ้มขึ้นทันทีเมื่อเกิดอาการสำลัก ควรจับลูกนอนตะแคงให้ศีรษะต่ำลง เป็นการป้องกันนมที่อยู่ในปากลูกไหลย้อนกลับไปที่ปอด ถึงแม้ว่าลูกสำลักนม อาจจะไม่ได้เป็นภาวะที่ร้ายแรงมากนัก แต่ย่อมดีกว่าหากคุณแม่ให้นมลูกอย่างถูกวิธี และรู้จักระมัดระวัง […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

เขย่าทารก พฤติกรรมอันตรายที่ผู้ใหญ่ควรระวัง

เขย่าทารก เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะ Shaken Baby Syndrome เพราะเมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกน้อยด้วยการจับลูกเขย่า หรือเขย่าเพื่อให้ลูกหยุดร้อง อาจส่งผลให้เกิดเลือดออกในสมอง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี Shaken Baby Syndrome เกิดจากอะไร เขย่าทารก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Shaken Baby Syndrome พบในเด็กทารกวัย 3 – 8 เดือน เพราะแรงเขย่านั้นส่งผลให้เนื้อสมองเกิดการกระแทกกับผนังกะโหลกศีรษะ โดยสมองของเด็กวัยนี้จะมีน้ำในช่องสมองมากกว่าเนื้อสมอง เมื่อเขย่าตัวเด็กแรงๆ เนื้อสมองจึงเกิดการแกว่งไปแกว่งมาแล้วกระแทกกับกะโหลก จนทำให้เนื้อสมองเกิดความบอบช้ำเสียหาย เพราะเหตุใดจึงห้าม เขย่าทารก สมองของเด็กทารกนั้นมีขนาดใหญ่ อีกทั้งกล้ามเนื้อคอก็ยังไม่แข็งแรงมากพอต่อการพยุงศีรษะได้ ดังนั้นการเขย่าทารกอย่างรุนแรงจะทำให้เนื้อสมองกระทบกระแทกกับกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เส้นเลือดที่หุ้มสมองอันบอบบางนั้นเกิดการฉีกขาดได้ จนกระทั่งเกิดภาวะเลือดออกจากสมองที่เป็นอันตราย อาการที่เกิดจากการเขย่าทารก เมื่อเด็กทารกถูกเขย่าตัวแรง ๆ อาจเกิดบาดแผลภายในที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตจากความผิดปกติบางอย่าง เช่น ซึม ไม่กินนม อาเจียน  ร้องไห้งอแงตลอดเวลา หายใจลำบากจนกระทั่งไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกได้ ซึ่งเป็นอาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจมีอาการรุนแรงขึ้นจนถึงเสียชีวิตได้ การกระทำแบบไหนที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรระวัง เพื่อป้องกันการเกิด Shaken Baby Syndrome คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ต้องการเล่นกับเด็กทารกควรหลีกเลี่ยงการกระทำเหล่านี้ จับตัวทารกเหวี่ยงไปมา การจับตัวทารกเหวี่ยงไปมาแรง ๆ จนหัวสั่นคลอน ย่อมส่งผลต่อสมองของทารก […]


โรคติดเชื้อในเด็ก

Herpangina อาการ สาเหตุ และการรักษา

Herpangina เป็นโรคระบาดในเด็กที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอ เป็นไข้ อาจมีแผลที่ช่องปากบริเวณเพดาน และในโพรงคอหอยด้านหลัง อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่รุนแรง และอาจหายได้เอง [embed-health-tool-vaccination-tool] Herpangina คืออะไร  Herpangina (โรคเฮอร์แปงไจน่า) คือ โรคระบาดในเด็กที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) อาจพบมากในเด็กอายุ 3-10 ปี รวมถึงเด็กที่ต้องไปโรงเรียน หรือต้องอยู่ที่สถานบันดูแลเด็กเล็ก หรือค่าย โรคนี้อาจเกิดขึ้นบริเวณเพดานปาก อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อาจทำให้เกิดตุ่มเล็ก ๆ ในปาก เป็นแผลในฝาก มีอาการเจ็บคอ มีไข้สูง ในเด็กทารกที่อายุต่ำกว่า 1 ปี อาจสังเกตอาการของโรคเฮอร์แปงไจน่าได้ยาก เพราะในทารกบางคนอาจไม่ปรากฏอาการใด ๆ โรคเฮอร์แปงไจน่าที่เกิดในเด็กทารกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาร้ายแรงอื่น ๆ เช่น การบวมของสมอง การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง โดยส่วนใหญ่โรคเฮอร์แปงไจน่าอาจพบได้ในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน อาการของโรคเฮอร์แปงไจน่า อาการของโรคเฮอร์แปงไจน่าอาจแสดงให้เห็นภายใน 2-5 วัน หลังจากได้รับเชื้อ อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาการอาจหายไปเองใน 7-10 วัน โดยอาการที่ปรากฏอาจมีดังนี้ มีไข้เฉียบพลัน รู้สึกเจ็บคอ รู้สึกเจ็บปวดขณะกลืนอาหาร เบื่ออาหาร […]


การเติบโตและพัฒนาการ

เล่านิทาน ให้ลูกฟังก่อนนอน มีประโยชน์อย่างไร

เล่านิทาน ให้ลูกฟัง เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่อาจช่วยส่วนในการเพิ่มทักษะและพัฒนาการของเด็ก เสริมสร้างจินตนาการ ฝึกให้ลูกรู้จักเรียนรู้ ช่างสังเกต อีกทั้งยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกได้ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับพัฒนาการของลูก และควรหลีกเลี่ยงหนังสือที่อาจมีเนื้อหารุนแรงหรือสยองขวัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กกลัวจนฝังใจอีกด้วย [embed-health-tool-vaccination-tool] ประโยชน์ของการ เล่านิทาน ให้ลูกฟังก่อนนอน คุณพ่อคุณแม่หลายคน อาจมีปัญหากับการบอกให้ลูก ๆ เข้านอน แต่จนแล้วจนรอดเด็ก ๆ ก็ยังคงนั่งทำตาแป๋ว ทำอย่างไรก็ไม่ยอมง่วงสักที หลายครอบครัวจึงหันมาใช้วิธีทำกิจกรรมร่วมกันก่อนเข้านอน โดยเฉพาะ การเล่านิทาน อ่านหนังสือ ให้ลูกฟังก่อนนอน ซึ่งกิจกรรมเช่นนี้ นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เด็ก ๆ พร้อมที่จะเข้านอนแล้ว ก็ยังให้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนี้ พัฒนาทักษะทางภาษา การเล่านิทานหรือการ อ่านหนังสือ ก่อนนอน มีส่วนช่วยพัฒนาทักษะทั้งการฟังและการอ่าน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้กลไก ทักษะทางภาษาผ่านถ้อยคำ รูปประโยค และบริบทต่าง ๆ แรกเริ่มผู้ปกครองอาจจะอ่านให้ลูกฟัง จากนั้นจึงค่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนมาให้เด็กอ่านให้ฟังบ้าง หรือต่างคนต่างอ่านแล้วมาสรุปพูดคุย แลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้อ่านจบลงไป เพื่อให้มีกระบวนการแลกเปลี่ยนทางภาษาเกิดขึ้นหลังการอ่าน หรืออาจเลือกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศที่แท้จริง เสริมสร้างจินตนาการ จินตนาการก็สำคัญไม่แพ้ความรอบรู้ มีผลการศึกษาเกี่ยวกับเด็กวัยก่อนเข้าเรียนว่า หากเด็กในวัยนี้มีการ อ่านหนังสือ […]


สุขภาพเด็ก

แปรงฟันแห้ง คืออะไร ดีต่อสุขภาพฟันเด็กอย่างไร

แปรงฟันแห้ง เป็นวิธีแปรงฟันโดยไม่ทำให้แปรงสีฟันเปียกก่อนแปรง และไม่บ้วนปาก ซึ่งอาจช่วยป้องกันฟันผุให้ลูกได้ดีกว่าการแปรงฟันแบบเปียก อย่างไรก็ตาม การทราบขั้นตอนในการแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง อาจช่วยให้ได้ประโยชน์จากการแปรงฟันวิธีนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยดูแลรักษาสุขภาพฟันให้แข็งแรงสมบูรณ์ [embed-health-tool-vaccination-tool] แปรงฟันแห้ง คืออะไร การแปรงฟันแห้ง (Dry Toothbrushing) คือ วิธีการแปรงฟันโดยไม่ใช้น้ำ ไม่ต้องให้แปรงสีฟันเปียกน้ำหลังบีบยาสีฟันหรือก่อนแปรงฟัน เพราะการจุ่มแปรงสีฟันในน้ำอาจทำให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันฟันผุเจือจางลง และหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็ให้บ้วนเอาฟองออก โดยไม่ต้องบ้วนน้ำ เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังคงเคลือบอยู่บนผิวฟัน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ และทำให้ฟันแข็งแรง ขั้นตอนการแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง การแปรงฟันแห้งที่ถูกต้อง อาจมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ บีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันสะอาดโดยไม่ชุบหรือจุ่มน้ำ แล้วแปรงฟันตามปกติอย่างน้อย 2 นาที บ้วนยาสีฟันและฟองทิ้งให้หมด โดยไม่ใช้น้ำบ้วนปาก หรือหากไม่ชินอาจบ้วนน้ำได้เล็กน้อย 1 ครั้ง หลังแปรงฟันแห้ง ควรทิ้งระยะเวลาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการแปรงฟันแห้ง แปรงฟันแห้งดีกว่าแปรงฟันแบบเปียกอย่างไร ส่วนผสมในฟลูออไรด์มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันฟันผุ แต่แม้เด็กจะใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์แล้ว ก็อาจยังประสบปัญหาฟันผุได้ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการแปรงฟันเปียกหรือการบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน จนทำให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันถูกชะล้างออกไป ซึ่งต่างจากการแปรงฟันแห้ง ที่จะช่วยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังคงเคลือบอยู่บนผิวฟันได้นานก่วา จึงอาจป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเด็ก ๆ แปรงฟันแห้งเป็นประจำทุกวัน จึงอาจช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรง ลดความสี่ยงในการเกิดฟันผุได้มากกว่าการแปรงฟันแบบเปียก เคล็ดลับการแปรงฟันเด็กอย่างถูกวิธี วิธีการแปรงฟันสำหรับเด็กที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ คือ เทคนิคการแปรงฟันแบบถูไปมาในแนวนอน (Horizontal Scrub Technique) โดยวางแปรงสีฟันในแนวนอน และขยับแปรงสั้น ๆ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน