พ่อแม่เลี้ยงลูก

ในทุกช่วงชีวิตของลูกน้อย เหล่าคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องรู้วิธีดูแลและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของลูกน้อย เพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกน้อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นใน พ่อแม่เลี้ยงลูก คุณจะได้พบกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลลูกให้แข็งแรง มีความสุข และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

เรื่องเด่นประจำหมวด

พ่อแม่เลี้ยงลูก

โปลิโอ เป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โปลิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งเคยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันโรคนี้จะลดลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาวัคซีน แต่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันยังคงมีความสำคัญ [embed-health-tool-vaccination-tool] โปลิโอ คืออะไร โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Picornavirus โดยไวรัสนี้แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ PV1, PV2 และ PV3 ซึ่งไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย มันจะแพร่กระจายในลำไส้และระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออัมพาต การแพร่กระจายของโรค โรคโปลิโอแพร่กระจายได้ง่ายในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเชื้อไวรัสจะถูกขับออกจากร่างกายผู้ติดเชื้อผ่านทางอุจจาระ แล้วปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร นอกจากนี้ การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสมือหรือของใช้ส่วนตัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ก็เป็นอีกเส้นทางที่โรคสามารถแพร่กระจายได้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน อาการของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีลักษณะอาการหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอัมพาตรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ (70-90%) ไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ อาการเบื้องต้น รวมถึงไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และคลื่นไส้ อาการรุนแรง ได้แก่ อัมพาตของแขนขา หรือในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ส่งผลให้เสียชีวิต สำหรับบางคนที่เคยติดเชื้อ อาจเกิดภาวะ กลุ่มอาการหลังโปลิโอ (Post-Polio Syndrome) ในระยะเวลาหลายปีหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ การป้องกันด้วยวัคซีน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคโปลิโอเฉพาะเจาะจง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรับวัคซีน […]

หมวดหมู่ พ่อแม่เลี้ยงลูก เพิ่มเติม

สำรวจ พ่อแม่เลี้ยงลูก

ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

อาการสมาธิสั้นในเด็ก ปัจจัยเสี่ยง วิธีป้องกัน

อาการสมาธิสั้นในเด็ก เป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดขึ้นก่อนเด็กมีอายุ 12 ปี เด็กบางคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุ 3 ขวบและอาจเป็นต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตว่าเด็กสมาธิสั้นหรือไม่ได้จากอาการกระสับกระส่ายอยู่ไม่นิ่ง หรือไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาวิธีรับมือเมื่อเด็กมีอาการสมาธิสั้น ก่อนนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้นจนกระทบกระเทือนการใช้ชีวิตเมื่อเตบโตขึ้นในอนาคต [embed-health-tool-vaccination-tool] อาการสมาธิสั้นในเด็ก อาการของเด็กสมาธิสั้นมีความรุนแรงหลายระดับ และพบได้มากในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง สำหรับเด็กผู้ชาย มักมีอาการอยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่นเป็นหลัก ส่วนเด็กผู้หญิงอาจมีอาการขาดสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาการของเด็กสมาธิสั้นแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ สมาธิสั้นแบบขาดสมาธิ (Predominantly Inattentive) เด็กที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้อาจไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งรอบตัว เช่น ไม่ใส่ใจรายละเอียดจนเกิดความผิดพลาด มีปัญหาในการจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำ มีอาการเมินเฉย ไม่ตอบโต้เมื่อมีคนพูดด้วยมีอาการลืมบ่อย ฟุ้งซ่าน สมาธิสั้นแบบอยู่ไม่นิ่งและหุนหันพลันแล่นเป็นหลัก (Predominantly Hyperactive/Impulsive) เด็กที่สมาธิสั้นในกลุ่มนี้จะมีอาการอยู่ไม่สุข พูดมากเกินไป ชอบขัดจังหวะผู้ถาม ไม่ชอบการรอ ไม่สามารถทำกิจกรรมใด ๆ หรืออาจทำอย่างเงียบ ๆ ไม่สามารถอยู่นิ่งได้จะต้องวิ่ง ปีน หรือเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลา สมาธิสั้นแบบผสม เด็กที่มีลักษณะโรคสมาธิสั้นแบบผสมจะมีอาการของทั้ง 2 ลักษณะผสมกันไปตามสถานการณ์หรืออารมณ์ของเด็กที่ไม่อาจคาดเดาได้ ปัจจัยเสี่ยงเด็กสมาธิสั้น อาการเด็กสมาธิสั้นอาจจะมีสาเหตุไม่แน่ชัด แต่เป็นไปได้ว่าอาจมาจากปัจจัยเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กรรมพันธุ์ หากมีคนในครอบครัว เป็นโรคสมาธิสั้นหรือเป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ อาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เด็กมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้ […]


ปัญหาสุขภาพเด็กแบบอื่น

ไบโพลาร์ในเด็ก อาการ ปัจจัยเสี่ยง และการรับมือ

ไบโพลาร์ในเด็ก อาจสังเกตได้จากอาการอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ สมาธิสั้น หุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย หรือมีพฤติกรรมที่ดปลี่ยนแปลงไป คุณพ่อคุณแม่ควรคอยสังเกตอาการของลูก และปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีการรับมือกับโรคไบโพลาร์ในเด็กอย่างเหมาะสม อาการของไบโพลาร์ในเด็ก โรคไบโพลาร์ในเด็ก เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกเพศ ทุกวัย โรคไบโพลาร์ในเด็กสามารถทำให้อารมณ์ของพวกเขามีความแปรปรวน ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับต่ำ พวกเขาอาจมีอาการสมาธิสั้น อาการสงบ หรือบางครั้งก็เกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาการอารมณ์แปรปรวนในเด็ก ๆ ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่หากเด็ก ๆ มีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญานที่บ่งบอกว่าเขามีอาการโรคไบโพลาร์ มีอารมณ์แปรปรวนที่รุนแรง แตกต่างจากอารมณ์แปรปรวนตามปกติที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วัน มีอาการสมาธิสั้น มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว หรือมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม มีปัญหาในการนอนหลับ หรือเป็นโรคนอนไม่หลับ มีอารมณ์หงุดหงิด เกือบทั้งวันในช่วงที่มีอาการซึมเศร้า มีความคิดที่อยากฆ่าตัวตาย พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศหรือแสดงพฤติกรรมที่มีความสนใจทางเพศ รู้สึกไร้ค่า มีอาการร่าเริงผิดปกติ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดไบโพลาร์ในเด็ก ยังไม่มีความชัดเจนถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ไบโพลาร์ในเด็ก แต่ปัจจัยหลาย ๆ อย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงของเด็กในการพัฒนาความผิดปกตินี้ เช่น พันธุกรรม การที่คนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคไบโพลาร์ เป็นหนึ่งในความน่าจะเป็นที่เป็นความเสี่ยง ที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด หากสมาชิกในครอบครัวคนอื่นมีความผิดปกติของโรคไบโพลาร์ เด็กที่เกิดมาก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะมีอาการโรคไบโพลาร์ ปัญหาระบบประสาท โครงสร้างของสมองหรือการทำงานของสมอง ที่มีความผิดปกติสามารถทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคไบโพลาร์ได้ สภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่เจอในชีวิตประจำวันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไบโพลาร์ได้ หากเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียด กดดัน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไบโพลาร์ บาดแผลทางจิตใจ การมีเหตุการณ์ในวัยเด็กที่ไม่พึงประสงค์ เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง […]


เด็กทารก

โรคฉี่หอม ในเด็กแรกเกิด สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย เคยสังเกตกลิ่นปัสสาวะของลูกน้อยตนเองกันหรือไม่ ว่ามีกลิ่นที่แปลกๆ แตกต่างจากกลิ่นฉี่ทั่วไปอยู่หรือเปล่า แม้จะเป็นโรคที่ทุกคนยังไม่คุ้นเคยกันมากนัก จึงทำให้เพิกเฉยไม่ทันระวัง ซึ่งอาจก่อเกิดเป็นภัยร้ายแรงได้ โรคฉี่หอม (MSUD) อันตรายต่อลูกหรือไม่ โรคปัสสาวะกลิ่นน้ำเชื่อม หรือเรียกสั้นๆ ว่าโรคฉี่หอม (Maple syrup urine disease ; MSUD) เกิดจากความผิดปกติของยีนตั้งแต่กำเนิด และการเผาผลาญพลังงานที่ไม่สามารถสลายกรดอะมิโนบางชนิด รวมถึงร่างกายขาดเอนไซม์ BCKDC (ฺBranched-chain alpha-keto acid dehydrogenase complex) ทำให้กระแสเลือด และระบบปัสสาวะเป็นพิษ ซึ่งสังเกตได้จากกลิ่นฉี่ที่แปลกกว่าเด็กทารกทั่วไป ระดับความรุนแรงของ โรคฉี่หอม ที่ควรได้รับการรักษา ระดับรุนแรงทั่วไป มักพบได้ในทารกแรกเกิดหลังจากคุณแม่คลอดได้ประมาณ 2 – 3 วัน โดยเริ่มมีอาการเนื่องจากได้รับโปรตีนในอาหารที่มากเกินไป ซึ่งมีความรุนแรงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ระดับปานกลาง ระดับนี้จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก และมีอาการที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล รวมทั้งปัจจัยของช่วงอายุ ด้านสุขภาพ ซึ่งจัดอยู่ในความอันตรายระดับสูง เกิดขึ้นเป็นระยะ อาการจะเริ่มออกให้เห็นในเด็กที่มีช่วงอายุประมาณ 1-2 ปี และหากมีความเครียดเพิ่มเติม หรืออาการเจ็บป่วย รวมถึงระดับของโปรตีนที่ไม่ย่อยสลายนั้นสูงขึ้น นอกจากจะมีกลิ่นปัสสาวะที่ผิดปกติแล้ว แล้วยังสามารถเพิ่มความรุนแรงได้พอๆ กับระดับปานกลางที่กล่าวมาข้างต้นอีกด้วย ภาวะเสี่ยงเป็นโรคฉี่หอมของลูก อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

สัญญาณเตือนออทิสติก ที่พ่อแม่ควรสังเกต

ออทิสติก คือความผิดปกติของพัฒนาการเด็ก ซึ่งส่งผลให้เด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะทางสังคม ทักษะทางภาษาได้อย่างเหมาะสมตามวัย และจะแสดงพฤติกรรมอย่างเดิมซ้ำ ๆ สัญญาณเตือนออทิสติก ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ชัด คือ เด็กไม่ตอบสนองต่อเสียง ไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อทราบถึงวิธีเสริมสร้างพัฒนาการ เพื่อกระตุ้นให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม [embed-health-tool-vaccination-tool] ออทิสติก คืออะไร ออทิสติก หรือกลุ่มอาการออทิสติก คือ ภาวะความผิดปกติของสมองตั้งแต่กำเนิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีน จนส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเข้าสังคม ด้านการสื่อสาร ด้านพฤติกรรม ด้านอารมณ์ ทำพฤติกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ชอบพูดเลียนแบบ สะบัดมือไปมา เด็กที่เป็นโรคออทิสติกแต่ละคนอาจแสดงอาการต่างกัน บางคนอาจมีอาการเล็กน้อย ไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก ในขณะที่บางคนอาจต้องได้รับการดูแลอย่างเต็มรูปแบบ ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติเองได้ หากพ่อแม่สงสัยและกังวลว่าลูกจะเป็นออทิสติกหรือไม่ คุณหมออาจแนะนำให้ทำการทดสอบและสังเกตพัฒนาการของลูก เช่น ทารกอายุ 6 เดือนไม่มีการยิ้มหรือแสดงความรู้สึกมีความสุข อายุ 12 เดือนแล้วไม่ร้องอ้อแอ้ อายุ 14 เดือนไม่แสดงท่าทาง ชี้ไปที่สิ่งของ หรืออายุ 16 เดือน ยังไม่สามารถพูดคำใด ๆ ได้ สัญญาณเตือนออทิสติก การสังเกตอาการ […]


ความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรม

สัญญาณและการดูแลเด็กที่เป็น Dyslexia

Dyslexia (ดิสเล็กเซีย) เป็นความผิดปกติทางด้านการเรียนรู้และการอ่านรูปแบบหนึ่ง ส่งผลให้เด็กมีปัญหาเรื่องการจดจำคำศัพท์ การอ่าน การสะกด และการเขียนคำศัพท์ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่เป็น Dyslexia อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสามารถเรียนรู้ตัวหนังสือแต่ละตัว ดังนั้น ผู้ปกครองและคุณครูจึงควรทำความเข้าใจและให้การดูแลเด็กที่เป็น Dyslexia อย่างเหมาะสม ทำความเข้าใจกับ Dyslexia Dyslexia หมายถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการเรียนรู้และการอ่าน โรคนี้มักจะส่งผลให้เด็กไม่สามารถจดจำและจัดการกับภาษาได้ เด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซียทักจะมีปัญหากับการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และไม่สามารถแบ่งย่อยคำ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านออกเสียง จึงทำให้เกิดปัญหาในการอ่าน การเขียน และการสะกดคำ เด็กที่เป็นโรคนี้อาจจะสามารถจดจำคำศัพท์ได้ แต่จะมีปัญหาในการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ ๆ และอาจจะนึกคำที่เคยเรียนรู้แล้วได้ช้า โรคดิสเล็กเซียนั้นไม่ใช่ความบกพร่องในการเรียนรู้ (learning disability) เพราะไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางสติปัญญาของเด็ก ในช่วงระยะแรกของการเรียน เด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซียอาจสามารถเรียนตามทันเพื่อนๆ ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อยิ่งโตขึ้นและต้องเจอกับบทเรียนที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจเริ่มแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการเรียนรู้ของเด็กที่เป็นเด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซีย โรคดิสเล็กเซียเป็นปัญหาที่จะอยู่ไปตลอดชีวิต แต่การช่วยเหลืออย่างถูกวิธี อาจสามารถช่วยชดเชย และทำให้เด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซียสามารถเรียนรู้ความรู้ทางวิชาการ และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็น Dyslexia สัญญาณของโรคดิสเล็กเซียอาจจะสังเกตได้ยากในช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงก่อนวัยเรียน แต่ก็อาจมีสัญญาณของโรคบางอย่างที่สามารถสังเกตได้ในช่วงวัยต่างๆ ของลูก ดังต่อไปนี้ ก่อนวัยเรียน สัญญาณของโรคดิสเล็กเซียในเด็กก่อนวัยเรียน ได้แก่ เริ่มพูดได้ช้า เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้ช้า ไม่สามารถออกเสียงคำได้อย่างถูกต้อง หรือสับสนว่าคำๆ นั้นออกเสียงอย่างไร มีปัญหากับการจดจำชื่อ ตัวเลข หรือสีต่างๆ มีปัญหากับการจับจังหวะเสียงดนตรีง่ายๆ วัยเรียน สัญญาณของโรคดิสเล็กเซียในวัยเรียนอาจสังเกตได้ง่ายมากขึ้น […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ตะคอก ใส่เด็กบ่อย ๆ ส่งผลเสียอย่างไร

ตะคอก เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกโกรธ โมโห ไม่พอใจ หรือรู้สึกหนักใจจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การตะคอกใส่ผู้อื่นอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่รับฟัง เช่นเดียวกับการที่คุณพ่อคุณแม่ตะคอกใส่เด็กก็อาจทำให้พวกเขาหยุดพฤติกรรมที่ทำอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่สาเหตุของปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งยังอาจทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และอาจทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวได้ด้วย ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงต้อง ตะคอก ตะคอก เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกโกรธ โมโห ไม่พอใจ การแสดงออกทางอารมณ์จะเป็นในลักษณะที่รุนแรง โทนเสียง และน้ำเสียงที่ใช้พูดก็จะเริ่มดังขึ้น เสียงสูงขึ้น ซึ่งนั่นไม่ได้ช่วยในการแก้ปัญหา การที่คุณพ่อคุณแม่แสดงออกถึงพฤติกรรมของการตะคอก ตะโกน หรือแผดเสียงใส่เด็ก ๆ ก็เป็นเพียงการทำให้เด็กเงียบและสงบลงได้แค่เพียงชั่วคราว แต่สาเหตุของปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ยิ่งไปกว่านั้น เด็กจะเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ หากคุณพ่อคุณแม่โมโหและตะคอกใส่เด็กบ่อย ๆ ก็อาจมีแนวโน้มที่จะทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบและนำไปปฏิบัติกับผู้อื่น ทั้งยังอาจทำให้เด็กโตมาเป็นคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ขี้โมโห และชอบหงุดหงิดใส่ผู้อื่น เนื่องจากคิดว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำใส่ตัวเองที่บ้านเป็นเรื่องปกติ ตะคอก ใส่เด็กบ่อย ๆ ส่งผลเสียอย่างไร การตะคอกใส่เด็กบ่อย ๆ อาจมีผลกระทบทั้งทางร่างกาย สภาพจิตใจ รวมถึงสถานภาพความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เปลี่ยนไป ดังนี้ ทางร่างกาย พฤติกรรมก้าวร้าว การกระทำของคุณพ่อคุณแม่ในช่วงที่มีอารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจ เช่น การตะโกนเสียงดังใส่เด็ก อาจเพิ่มโอกาสที่จะทำให้พฤติกรรมของเด็กจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี หรือก้าวร้าว มีผลต่อสมอง สมองของผู้ที่มีเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต มีความแตกต่างกับผู้ที่ไม่มีเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจ โดยมีความแตกต่างกันในส่วนของสมองที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการประมวลผลของเสียงและภาษา โรคซึมเศร้า เด็กที่ความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว และความเสียใจเกิดจากการตะคอกของคุณพ่อคุณแม่ที่ปฏิบัติต่อเด็กในแต่ละวัน รวมถึงการละเมิดทางวาจาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า […]


สุขภาพเด็ก

วิธีแปรงฟัน สำหรับเด็ก และประโยชน์ของการแปรงฟันเด็ก

วิธีแปรงฟัน สำหรับเด็กที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ แม้เด็กจะยังมีเพียงฟันน้ำนมก็ตาม เพราะหากไม่ดูแลสุขภาพฟันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ฟันผุ ฟันขึ้นช้า รากฟันติดเชื้อ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็กได้ด้วย ความสำคัญของสุขภาพฟัน สุขภาพฟันของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณพ่อคุณต้องใส่ใจ ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสุขภาพฟันและสุขภาพปากอย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นเพียงฟันน้ำนม แต่ถ้าหากไม่ดูแลใส่ใจจนปล่อยให้ฟันผุอาจส่งผลเสียต่าง ๆ ตามมา ดังนี้ หากฟันน้ำนมผุไว อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ฟันแท้ผุไวขึ้น หากฟันน้ำนมผุไว อาจทำให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาช้ากว่าปกติ หรือปัญหาฟันซ้อนฟันเอียงได้ หากฟันน้ำนมผุหลายซี่ อาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขณะฟันผุ จนส่งผลการเจริญเติบโตของลูกได้ เช่น น้ำหนักตัวลดลง รับประทานอาหารได้น้อยลง หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นขาดสารอาหาร  3 ท่า แปรงฟันให้ลูก เพื่อสุขภาพฟันที่แข็งแรง ท่าที่ 1 อาจเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 10 เดือนขึ้น ซึ่งอาจทำได้โดยจับลูกไว้ระหว่างขา 2 ข้าง หรือใช้ขาพาดทับแขนลูกไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกใช้มือปัดขณะแปรงฟัน รวมทั้งอาจใช้ขาไขว้ล็อคตัวลูกไว้ เพื่อไม่ให้ลูกดิ้นหนี ท่าที่ 2 เมื่อลูกโตในระดับนึงแล้ว แต่ยังแปรงฟันไม่ค่อยสะอาด คุณพ่อคุณแม่อาจยืนซ้อนด้านหลังของลูก ให้หัวลูกพิงกับตัวเอง จากนั้นจับคางลูกเงยหน้าเล็กน้อย […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

เลี้ยงลูกยุคดิจิทัล กับ 4 รูปแบบการเลี้ยงดูลูกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ

ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก อินเทอร์เน็ตช่วยให้เราได้รับรู้ข่าวสารต่าง ๆ และใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายมากขึ้น แต่ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะมีข้อดีมากมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อเสียใด ๆ เลย เพราะเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตนั้นเปิดกว้างจากทั่วโลกแถมยังเข้าถึงได้ง่าย หากเราเปิดรับเนื้อหาที่เป็นโทษย่อมส่งผลเสียด้านต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ คำถามจากคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ คือ เราจะ เลี้ยงลูกยุคดิจิทัล อย่างไร ให้รู้ทั้งคุณประโยชน์และโทษของการใช้สื่อเทคโนโลยี เพราะเราไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา [embed-health-tool-vaccination-tool] เลี้ยงลูกยุคดิจิทัล อย่างไร ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไกลขนาดนี้ การเลี้ยงลูกในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ลูกเราสามารถเลือกรับรู้ข่าวสารและเรื่องราวต่าง ๆ ได้เองผ่านสื่อออนไลน์ ฉะนั้น สิ่งที่พ่อแม่ต้องเข้าใจในการ เลี้ยงลูกยุคดิจิทัล ก็คือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการที่ดีเติบโตสมวัย พร้อมกับสร้างเกราะป้องกันในโลกยุคดิจิทัล ที่ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและรู้จักเท่าทันโลก สอนให้ลูกรู้จักใช้เหตุผล การสอนลูกให้รู้จักใช้สติ มีเหตุผลในการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล รู้จักคิดนอกกรอบ พร้อมเปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง โดยมีพ่อแม่เฝ้าดูและแนะแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้องให้เด็ก จะทำให้เขาได้ฝึกวิธีคิดและได้พัฒนาสมองอีกทางหนึ่ง เป็นตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีที่ดีให้กับลูก หากคุณพ่อคุณแม่เองก็ยังทำในสิ่งที่อยากให้ลูกทำไม่ได้ เด็กเองก็คงไม่เชื่อ และก็อาจจะเป็นที่มาของการต่อต้าน ต่อรอง ไม่อยากที่จะทำตาม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องหัดเป็นคนมีวิจารณญานในการรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รวมถึงควบคุมเวลาในการเล่นอินเทอร์เน็ตของตัวเอง และแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอื่นให้ลูกดูเป็นตัวอย่างด้วยนะคะ สอนให้ลูกรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง การสอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ที่เหมาะสมกับช่วงวัยของตัวเอง เช่น รู้จักวางแผนทำการบ้าน ช่วยทำงานบ้าน เป็นการฝึกให้เด็กเกิดความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน […]


เด็กทารก

ปานสตรอว์เบอร์รี่ อันตรายต่อเด็กแรกเกิดหรือไม่

ปานสตรอว์เบอร์รี่ หมายถึง จุดสีแดงบนผิวทารกซึ่งคล้ายสีแดงของผลสตรอว์เบอร์รี่บนร่างกาย ซึ่งอาจปรากฎได้ตามแขน ขา คอ ลำตัว มีขนาดใหญ่หรือเล็กต่างกันไป แต่ทั้งนี้เป็นความผิดปกติของสีผิวที่ไม่เป็นอันตราย และมักหายไปได้เองเมื่อทารกโตขึ้น ปานสตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry Hemangioma or Strawberry Nevus) คืออะไร ปานสตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry Hemangioma or Strawberry Nevus) คือ ปานมีลักษณะเป็นสีแดง ๆ หรือชมพู คล้ายคลึงกับสีผลของสตรอว์เบอร์รี่ เกิดจากการรวมตัวของเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในชั้นบนสุดของผิวหนังเด็กทารก พบมากที่สุดในบริเวณ แขน ขา ลำตัว คอ ศีรษะ การเจริญเติบโตของปานในเด็กแรกเกิดนั้นมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนไปถึงขนาดใหญ่ มีทั้งลักษณะเรียบหรือเป็นรอยนูนขึ้นมา ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดและมักหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น ปานในเด็กแรกเกิดมีกี่ประเภท  ปานในทารกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ ปานที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเส้นเลือดฝอย (Capillary hemangiomas) เป็นการรวมกลุ่มของเส้นเลือดฝอยที่อยู่ชั้นผิวบนสุดสามารถพบบ่อยมากที่สุดในเด็กทารก เนื่องจากอยู่ใกล้กับพื้นผิวของผิวหนังจึงปรากฏให้เห็นเป็นสีแดง อาจมีลักษณะแบนกับผิวหนังหรือพื้นผิวนูน ปาน นี้สามารถอยู่ที่จุดในจุดหนึ่งหรือกระจายอยู่ตามทั่วร่างของเด็กทารกแรกเกิดได้ ปานที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนัง (Cavernous hemangioma) ถูกสร้างขึ้นจากหลอดเลือดที่มีโพรงขนาดใหญ่ที่ขยายกว้างอยู่ใต้ผิวหนัง เส้นเลือดนี้จะไม่จับก้อนแน่นเหมือนกลุ่มของเส้นเลือดฝอย มักปรากฏออกมาเป็น ปาน […]


พ่อแม่เลี้ยงลูก

ลูกฝันร้าย คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไร

ลูกฝันร้าย เป็นอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับจินตนาการที่กระทบจิตใจ จนทำให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวลหรือความเศร้า เช่น อุบัติเหตุ การบาดเจ็บ สถานการณ์น่ากลัว การจดจำรูปภาพหรือสื่อที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวหรือฝังใจรุนแรง การแยกจากพ่อแม่ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เด็กอาจเก็บไปฝันในขณะนอนหลับ ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจรบกวนการนอนหลับ กระทบต่อการใช้ชีวิตและอาจสร้างความรู้สึกกลัวก่อนเข้านอนได้ การเรียนรู้กับวิธีรับมือเมื่อลูกฝันร้ายจึงอาจเป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกผ่อนคลายและนอนหลับได้ยาวนานขึ้น [embed-health-tool-vaccination-tool] ลูกฝันร้ายเกิดจากสาเหตุอะไร สาเหตุที่แน่ชัดของอาการฝันร้ายยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจมีสาเหตุมาจากความเหนื่อยล้า การนอนหลับไม่เพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือการพบเจอกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า โดยการฝันร้ายสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย ซึ่งในเด็กนั้นอาการฝันร้ายอาจเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 3-6 ปี  ซึ่งอาจรบกวนการนอนหลับของเด็กและคุณพ่อคุณแม่ในตอนกลางดึกได้ แต่อาจมีแนวโน้มลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นหรือหลังจากอายุ 10 ขวบขึ้นไป  อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่ทราบสาเหตุของอาการลูกฝันร้ายที่แน่ชัด แต่อาการฝันร้ายอาจสามารถเกิดขึ้นจากปัจจัยเหล่านี้ ฝันร้ายอาจเชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ที่โรงเรียน อาจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ทำให้เด็กเป็นกังวลหรือรู้สึกไม่สบายใจ เช่น การไปโรงเรียน การได้รับความพ่ายแพ้ การถูกบูลลี่ ถูกเพื่อนแกล้ง การทำความผิดหรือกำลังปกปิดความลับ ฝันร้ายจากการถูกแยกจากพ่อหรือแม่ ฝันร้ายจากสื่อ เช่น ละคร ภาพยนตร์ โฆษณา อาจเป็นฉากที่มีความน่ากลัวหรือทำให้เด็กรู้สึกกลัวจนเก็บเอาไปฝัน ฝันร้ายของเด็กที่เกิดขึ้นติดกันบ่อยครั้ง อาจมีสาเหตุมาจากการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเหนื่อยล้าหรือมีกิจวัตรการนอนที่ไม่เหมาะสม วิธีรับมือเมื่อลูกฝันร้าย เพื่อรับมือกับปัญหาลูกฝันร้าย วิธีต่อไปนี้อาจช่วยให้ลูกผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น การดูแลให้ลูกนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยจัดการตารางการเข้านอนของลูกให้เหมาะสม ควรให้ลูกนอนอย่างน้อย 8-9 ชั่วโมง/คืน เพื่อให้ลูกได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

กำลังมองหาเรื่องราวในการเลี้ยงดูบุตรใช่หรือไม่?

เข้าร่วมชุมชนการเลี้ยงดูบุตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณแม่และคุณพ่อคนอื่น ๆ เข้าร่วมชุมชนได้เลย!





ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน